บทที่ 29: เกาะกลาง (2)

 

 

 

คว้างงงง

ฮันซูมองไปยังง้าวที่พรุ่งตรงมายังเขาด้วยสีหน้าไร้อารมณ์ <ง้าวของเอริแพน>

อาร์ติเฟคไร้สีที่เพิ่มพลังในการตัด

มันเป็นอาวุธที่ค่อนข้างดีอันหนึ่ง

การตัดนั้นนับเป็นสกิล ดังนั้นแล้วมันจึงเป็นสิ่งที่ต้องการทั้งพลังป้องกันเวทมนต์และกายภาพ

ทว่าฮันซูมองไปยังมันด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

มันง่ายที่จะหลบ

ทว่าชายหนุ่มกลับทำเพียงพุ่งเข้าไปหามัน

การหลบไม่ได้ดีเสมอไป

ถ้าหลบ ความสมดุลของร่างกายก็จะเสีย และมันจะทำให้การตอบโต้เชื่องช้าลงไป

แน่นอนว่าพลังป้องกันนั้นเป็นบางสิ่งที่ช่วยลดพลังโจมตี ทว่ามันไม่ใช่โล่

มันไม่ได้ทำให้การโจมตีหายไปแม้ว่ามันจะอยู่ในระดับไร้สี ดังนั้นแล้วการรับการโจมตีไม่มีทางที่จะไม่ได้รับบาดเจ็บ

หากมันเป็นแบบนั้น เขาอาจจะไม่สามารถเอาชนะสัตว์อสูรกินเนื้อได้

ทว่ามันเป็นเพียงเมื่อยามที่รับการโจมตีนั้นตรงๆ ในสถานการณ์ที่สามารถเห็นการโจมตีได้อย่างชัดเจน มันกระทั่งยากที่จะรับการโจมตีแบบตรงๆ

‘ฉันเห็นมันทั้งหมด’

ความเข้าใจที่ได้เข้าสู่ระดับไร้สีไม่อาจกระทั่งเทียบกับก่อนหน้าได้

เนตรต่อสู้ที่สมบูรณ์แบบกว่าก่อนหน้ายามที่เขาต่อสู้กับสัตว์อสูรกินเนื้อได้ปรากฏขึ้นในสมองของเขา

เคร้ง

ฮันซูเบี่ยงง้าวนั้นออกไปอย่างสมบูรณ์แบบด้วยแหวนบนนิ้วของเขา

ตึง

ในตอนนั้นเอง <พลังลบล้าง> ของแหวนเนอร์มาฮาร์ก็ได้ทำงานและทำลายเวทตัดบนง้าวนั้น

“เอ๋?”

กระทั่งก่อนหน้าที่ศัตรูจะประหลาดใจ หมัดของฮันซูก็ได้ผลักอาวุธของอีกฝ่ายให้ถอยหลังไป

จากนั้นง้าวที่ถูกสลายเวทตัดไปแล้วก็ไม่อาจทะลวงผ่านพลังป้องกันกายภาพของเขาไปได้

ตุบ

เสียสละเลือดเนื้อเพื่อทำลายกระดูก

นั่นคือรูปแบบการต่อสู้ที่เขาได้เรียนรู้ระหว่างการเดินหน้าไปในอบิส

คุณไม่อาจโจมตีได้ถ้าเพ่งความสนใจไปยังการหลบหลีก

ศัตรูจะมีชีวิตอยู่นานขึ้นและมันจะทำให้เพื่อนที่เหลืออยู่ไม่กี่คนข้างกายต้องตาย

ตราบเท่าที่คุณไม่ตาย เช่นนั้นคุณก็ต้องฆ่ามันในการโจมตีเพียงครั้งเดียว

คุณไม่อาจฆ่าได้หากกลัวที่จะเจ็บ

เมื่อตราบเท่าที่คุณยังหายใจ คุณก็สามารถฟื้นตัวขึ้นได้

หนึ่งการโจมตี หนึ่งชีวิต

รูปแบบการต่อสู้ของเขาที่เขาไม่อาจใช้ได้เนื่องจากพลังป้องกันที่ไม่เพียงพอ เริ่มที่จะกลับมาเมื่อพลังป้องกันของเขาและแหวนเนอร์มาฮาร์ได้ปรากฏขึ้น

เมื่อเขาได้ป้องกันมันแล้ว คราวนี้ก็ถึงเวลาจัดการ

อาวุธในมือของเขาพุ่งออกไปด้วยความเร็วสุดยอดยังคอของกั้กจินหลังจากที่อีกฝ่ายเสียสมดุลไป

“อ๊ากกกก…”

กั้กจินรู้สึกราวกับวิญญาณของเขาจะหลุดออกจากร่างยามที่เขาเห็นคมอาวุธของอีกฝ่ายที่ราวกับจะบั่นคอเขาออกจากบ่า

ควงามคล่องแคล่วและความเข้าใจบัดซบที่ได้เพิ่มขึ้นแสดงให้เห็นภาพของดาบที่พุ่งตรงไปยังคอของเขาอย่างชัดเจน

‘โอ้ ใช่แล้ว ฉันไม่ควรฆ่าพวกเขา’

ฮันซูได้สติพร้อมกับที่เขาหมุนอาวุธในมือ

ง้าวที่เขาได้รับจากชั้นใต้ดิน

มันเองก็เป็นอาร์ติเฟคไร้สีเช่นกัน

มันไม่ใช่อาร์ติเฟคที่ยอดเยี่ยม ทว่าหากเขาโจมตีแบบนี้ หัวของอีกฝ่ายก็จะปลิวออกไปโดยไร้ทางต่อต้านอยู่ดี

เขายกเลิกสกิลบนคมง้าวของเขา และกระทั่งเปลี่ยนทิศทางของมันไปยังท้องของอีกฝ่าย

มันไม่ใช่ว่าบริเวณท้องปลอดภัยกว่า แต่เขามีอาร์ติเฟคที่เขาเก็บได้ก่อนหน้า

<ผ้าพันแผลท้อง>

มันจะไม่ทำลายอวัยวะภายในของอีกฝ่าย แต่มันจะผลาญพลังกายจากการโจมตี

พลั่กก!

“อ๊ากกกก!”

‘การไม่ฆ่านี่ค่อนข้างเหนื่อยเลย’

ฮันซูขมวดคิ้ว ทว่าเขาต้องทำแบบนี้

หากเขาจัดการทั้งหมดอย่างระมัดระวัง เขาก็ยังสามารถส่งคนพวกนี้เข้าไปในสนามรบได้หลังจากที่รักษาพวกเขาแล้ว

เขาต้องผ่อนปรนเสียหน่อย

มันไม่ใช่ในอบิส

‘ฉันต้องช่วยพวกเขา ทรัพยากรที่มีค่า’

เหตุการณ์ในเกาะกลางนั้นแตกต่างจากก่อนหน้า

มันไม่ใช่ที่ที่จะสามารถเคลียร์ได้ด้วยตัวคนเดียว

เขาต้องใช้ให้ได้มากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้

เขาได้จัดการไปแล้วราวๆ ครึ่งหนึ่ง แต่ว่าบุหรี่เมฆายังเหลือเวลาอีกราวๆ 8 นาที

‘… มันค่อนข้างที่จะเสียเปล่าในการสูบทั้งตัว’

ทว่าชายหนุ่มก็โยนความเสียใจของเขาทิ้งไป

เมื่อเขาสามารถเพิ่มรูนทั้งหมดของเขาให้เข้าสู่ขั้นไร้สีได้ในวันพรุ่งนี้

ซึ่งหมายความว่า ‘หมอนี่’ จะไม่จำเป็นอีกต่อไป

ฮันซูผ่อนคลายเล็กๆ และจากนั้นจึงพุ่งเข้าหาคน 15 คนที่มองเข้าด้วยความหวาดกลัว

 

“…เอื้อก”

จีมินที่ยืนอยู่ข้างเยรินกลืนน้ำลาย

คนสามสิบคนตรงนั้นสามารถต่อกรกับกิลด์กิลด์หนึ่งได้หากพวกเขาร่วมมือกัน

แต่พวกนั้นกลับไม่สามารถเป็นคู่ต่อสู้ของหมอนั่นได้

หมอนั่นไม่แม้แต่จะหลบการโจมตี

เธอคิดว่าหมอนั่นเสียสติ แต่ตอนนี้เธอรู้แล้ว

ว่าเขามีความมั่นใจที่จะเมินเฉยต่อการโจมตีทั้งหมดนั่น

‘พลังป้องกันของหมอนั่นมีมากเท่าไหร่กัน…’

เธอเรียนรู้การป้องกันจากโอกาสของสกิล

มันยากที่จะเพิ่มจนคนที่มีพลังป้องกันสูงที่สุดมีอยู่ที่ราวๆ 30 แต้มเท่านั้น

ทว่าพวกเขาตระหนักได้ว่ามันดีกว่าที่จะเพิ่มความเข้าใจและความคล่องแคล่วเพื่อหลบแทนที่จะเพิ่มพลังป้องกัน ดังนั้นพวกเธอจึงได้ยอมแพ้ในการเพิ่มมัน

เมื่อมันไม่ใช่ว่าพลังป้องกันจะดูดกลืนความเสียหายทั้งหมดที่พวกเขาได้รับถ้าพวกเขาเพิ่มมัน

แต่ความคิดของเธอเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงหลังจากที่เห็นการต่อสู้ของฮันซู

มันไม่มีค่าสถานะใดอย่างพลังกาย ความอดทน ความคล่องแคล่ว หรือความเข้าใจที่โดดเด่นออกมา

ทว่าพลังป้องกัน ความสามารถในการควบคุมร่างกาย และความข้าใจการต่อสู้นั้นอยู่ระดับที่อยู่ในคนล่ะมิติกับพวกเธอโดยสิ้นเชิง

เทคนิคการต่อสู้ในการทำให้เรื่องมันจบลงเร็วที่สุดด้วยการตัดคอของศัตรูด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

เข้าใกล้ด้วยการหลบและพุ่งเข้าไปขณะที่ป้องกันด้วยร่างกายจนกระทั่งอีกฝ่ายเข้าสู่ระยะโจมตี จากนั้นก็จัดการด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว

ความใกล้เคียงทางกายภาพไม่สำคัญ

ไม่สิ มันกระทั่งตรงข้าม

หากสุดยอดค่าสถานะทั้งสี่ซึ่งคือพลังกาย ความอดทน ความคล่องแคล่ว และความเข้าใจได้คล้ายคลึงกับหมอนั่น คุณก็จะตายในวินาทีที่คุณยืนอยู่เบื้องหน้าคนคนนั้น

‘แล้วไอ้แหวนนั่นมันบ้าอะไรกัน เขาไปเอาไอ้ของแบบนั้นมาจากที่ไหน’

จีมินพึมพำขณะที่หญิงสาวมองไปยังฮันซูที่ได้จัดการคนทั้งสามสิบลงกระทั่งก่อนที่เขาจะสูบบุหรี่เสร็จ

ไม่มีใครตาย

ทว่าคนที่มีชีวิตอยู่นั้นไม่แม้แต่จะกล้ามองตาของชายหนุ่มผู้นั้น

จีมินสามารถคิดออกได้ว่าทำไมมันจึงเป็นเช่นนั้น

‘พวกนั้นอาจรู้สึกว่าคอของพวกเขาขาดไปแล้ว’

คนพวกนั้นอาจรู้สึกราวกับว่าโดนตัวหัว

เมื่อพวกเขาย่อมรู้สึกแบบนั้นในตำแหน่งนั้น

‘เวรเอ้ย… มันไม่ยุติธรรมเลย’

จีมินมีสีหน้าซับซ้อน

มันไม่ใช่สิ่งที่จะสามารถแก้ได้ด้วยการเพิ่มค่าสถานะ ได้รับสกิลที่ดีกว่า มีพลังจิต หรือมีอาร์ติเฟคที่ยอดเยี่ยมกว่า

เธอตระหนักได้ว่ามันเป็นเพียงแค่ไข่มุกบนคอของหมูถ้าเธอไม่อาจที่จะหลอมรวมมันให้กลายเป็นรูปแบบการต่อสู้ของตัวเองได้

เธออาจจะไม่สามารถแสดงพลังต่อสู้ได้ถึงครึ่งหนึ่งของฮันซูแม้ว่าเธอจะมีค่าสถานะ สกิล พลังจิต และอาวุธแบบเดียวกับเขา

และเยรินที่ยืนอยู่ข้างเธอก็มีความคิดที่ซับซ้อนบางอย่าง

‘พลังจิตของเขาคืออะไรกัน? เขาใช้สกิลรึเปล่า?’

เธอคิดว่านอกจากคนที่มีพลังจิตแบบเธอแล้ว ไม่มีใครที่จะสามารถเป็นคู่ต่อสู้ของเธอได้

เมื่ออัตราความเร็วที่คนคนหนึ่งจะแข็งแกร่งขึ้นไม่อาจเทียบเท่าได้กับพลังของคน 50 หรือ 100 คนแข็งแกร่งขึ้น

มันเป็นความเข้าใจผิดที่ใหญ่หลวง

‘มันมีอยู่’

สิ่งมีชีวิตที่สามารถบดขยี้กิลด์กิลด์หนึ่งได้ด้วยการปะทะตรงๆ เพียงตัวคนเดียว

ในขณะที่ทุกคนกำลังมองไปยังฮันซูด้วยสีหนซับซ้อน ชายหนุ่มก็ได้ตะโกนขึ้นหลังจากที่ได้สูบบุหรี่เมฆาอีกครึ่งไปสักพัก

‘ฉันควรจะแก้ไขทุกอย่างก่อนที่ฉันจะสูบบุหรี่เมฆาหมด’

“เริ่มจากวันพรุ่งนี้ สมาคมชั้นใต้ดินและสหพันธ์กิลด์จะสร้างพันธมิตรกันขึ้น จากนั้นจะล่าและป้องกันสลับกัน นี่คือความคิดเห็นของฉันและไม่ใช่คำตอบ ดังนั้นแล้วถ้าพวกนายมีข้อคัดค้านอะไร ออกมาพูดกันตอนนี้ ถ้ามันมีเหตุผล เราก็ควรจะคุยกัน คัดค้านไหม?”

แต่แน่นอนว่าไม่มีใครที่นี่ที่จะออกไป

แน่นอนว่าพวกเขาอาจชนะถ้าคนทั้งหนึ่งพันคนพุ่งเข้าไปหาหมอนั่น

แต่ไม่มีใครมีความคิดแบบนั้น

ตั้งแต่เริ่ม สมาคมชั้นใต้ดินเป็นกลุ่มที่ถูกสร้างขึ้นโดยคนที่มีความโลภมากเกินไป

พวกเขารู้ว่าคนที่พุ่งออกไปก่อนจะถูกบดขยี้ก่อน ดังนั้นแล้วใครจะออกไปคนแรก

และพูดคุยกัน

สิ่งเดียวที่พวกเขาอยากจะแนะนำคือสิ่งนี้

ให้พวกเขาล่าก่อนอีกสองสามวันโดยไม่ต้องสลับเปลี่ยนกัน

ง้าวในมือของหมอนั่นต้องบินมาในเสี้ยววินาที และพวกเขารู้จักวิธีการที่หมอนั่นสู้ว่าคนที่ไปก่อนจะถูกจัดการ

และสหพันธ์กิลด์ข้างหลังนั่นก็คงไม่ยืนอยู่เฉยๆ เช่นกัน

พวกเขาได้มีความสัมพันธ์ย่ำแย่ต่อกันแล้ว

‘แบบนี้สบายกว่าจริงๆ’

มันเร็วกว่าและสบายกว่าในการจัดการคนสามสิบคนเป็นตัวอย่าง แทนที่จะต่อต้านพวกนั้นทั้งหมด

ฮันซูที่ได้เหยียบย่ำปัญหาทั้งหมดลงในครั้งเดียวหมุนตัวไปยังสหพันธ์กิลด์ก่อนจะเอ่ยพูด

“มาคุยกันหน่อย”

“…หืม?”

ทั้งหมดต่างกระวนกระวายขณะที่มองไปยังชายหนุ่ม

พูดตามตรง พวกเขามีความมั่นใจเล็กๆ ในการเอาชนะสมาคมชั้นใต้ดินถ้าพวกเขาเสียสติไปในตอนนี้

เมื่อคนที่รวมตัวกันจากความเข้าใจนั้นเป็นเช่นเศษขนมปัง ไม่เหมือนพวกเขาที่เป็นดังไม้อัด

แต่หากหมอนั่นทำตัวเป็นจุดศูนย์กลางและกลืนกินสมาคมใต้ดินทั้งหมดเข้าไป พวกเขาก็ไม่อาจที่จะดูถูกอีกฝ่ายได้

ไม่สิ พลังต่อสู้ของหมอนั่นมันเป็นปัญหาอย่างมากตั้งแต่เริ่มแล้ว

ฮันซูหัวเราะ

“อย่ากังวล ฉันไม่มีความคิดที่จะเป็นผู้นำ”

เขาไม่ได้มัดอีกใยรวมกันเพื่อที่จะกลายเป็นราชา

มันดีกว่าที่จะปล่อยให้ทุกสิ่งเป็นแบบที่มันเป็นกับผู้คนที่มีลักษณะพิเศษที่เหมาะสม

สิ่งที่เขาต้องการคือสัดส่วนอำนาจของเขา

‘อย่างแรก ฉันจะใส่กฎและระบบพื้นฐานลงไป’

ถ้าคนพวกนี้แตกซ่าน เขาก็ไม่อาจที่จะไปไหนได้เพราะเขาต้องป้องกัน

‘แน่นอนว่ามันคงอยู่ได้ไม่นาน แต่’

ชายหนุ่มพึมพำขณะที่เขาเดินตรงไปยังลอร์ดของกิลด์

 

“หืมมม…”

กั้กแตที่เป็นหนึ่งในสิบสองลอร์ดแย้มยิ้มอย่างพึงพอใจกับภาพเบื้องหน้า

‘หมอนั่นที่ชื่อฮันซู เขาได้ทำสิ่งที่น่าชื่นชมจริงๆ’

ขั้วอำนาจปกครองที่อยู่ภายในปราสาทนั้นได้แบ่งออกเป็นกิลด์ลอร์ดสิบสองคน

คำพูดของฮันซูนั้นเรียบง่าย

<การเป็นหัวหน้านั้นเป็นไปไม่ได้หากไม่มีพลังจิตของพวกนาย สนับสนุนคนที่มีประโยชน์ให้มากที่สุดเท่าที่พวกนายทำได้ เอาพวกเขาเข้าไปในกิลด์ของพวกนายในขณะที่ทำให้คนที่เหลืออยู่ในคำสั่ง>

คำพูดนั้นได้ทำให้ทั้งสิบสองเริ่มที่จะดูดกลืนคนของสมาคมชั้นใต้ดินอย่างรวดเร็ว

หากมีเพียงกิลด์เดียว พวกเขาก็คงไม่ต้องรวบรวมด้วยความยากลำบากแบบนี้

เมื่อพวกเขาต้องการที่จะเติมเต็มกิลด์ของพวกเขาด้วยยอดฝีมือให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

ทว่าพวกเขาไม่อาจเมินเฉยต่อใครก็ตามในสถานที่แห่งนี้ได้ ทุกคนล้วนเป็นผู้มีฝีมือชั้นแนวหน้า

พวกเขาต้องลดจำนวนของผู้มีฝีมือชั้นแนวหน้าเหล่านี้และเพิ่มจำนวนของลูกกิลด์ของพวกเขาเพื่อที่จะไม่ถูกทิ้งให้ล้าหลัง

และผลลัพธ์นั้นคือจำนวนของคนที่มีกิลด์ได้เพิ่มขึ้นเป็นราวๆ 1,100 คน

ทุกคนได้ชักจูงผู้คนให้เข้าไปอยู่ใต้กิลด์ของพวกเขาจนเข้าสู่ขีดจำกัด

ดังนั้นแล้วจึงเหลือคนเพียงราวๆ 800 คน

และคน 800 คนนี้ต่างถูกแบ่งออกไปยังกิลด์ต่างๆ อย่างเท่าเทียม

หลังจากนั้น กิลด์ทุกกิลด์จึงมีลูกกิลด์ราวๆ 90 คน และนักผจญภัยทั่วไป 70 คน

จำนวนที่กิลด์สามารถควบคุมได้

หลังจากที่พวกเขาจัดการเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย พวกเขาจึงตกลงในการที่จะป้องกันและล่าเป็นกะ

และเมื่อรูนและระบบที่ทุกคนต้องรักษาและทำตามได้ถูกสร้างขึ้น ฮันซูจึงปล่อยอำนาจของเขาไป

ชายหนุ่มหายไปในระหว่างการล่า และได้เข้าร่วมการป้องกัน ทว่าเขาไม่ได้มีความสนใจที่จะเป็นหัวหน้าแม้แต่น้อย

<มันไม่ใช่สิ่งที่ฉันทำได้ดี ฉันตามสิ่งที่พวกนายสร้างขึ้นด้วยพลังจิตไม่ทันหรอก>

‘อ่าใช่…’

พลังจิตที่พวกเขามีนั้นเป็นจุดที่แข็งแกร่งที่สุดในบรรดาความสามารถพิเศษ พลัง และความสามารถในการตัดสินใจทั้งหมด

‘แม้ว่าฉันจะอยากใช้พวกที่ไม่ได้เป็นลูกกิลด์อีกหน่อย…’

กั้กแตไม่ชอบความที่เขาต้องปฏิบัติกับนักผจญภัยทั่วไปและลูกกิลด์ของเขาแบบเดียวกัน

ทว่าเขาไม่อาจทำอะไรได้

เมื่อพวกเขาได้ตั้งกฎการแบ่งที่เท่าเทียมขึ้นมา และความที่ว่าสมาคมชั้นใต้ดินยังคงมีอยู่

‘ชิ มันคงจะดีกว่าถ้าไอ้ 30 คนนั่นถูกฆ่าก่อนหน้า’

พวกเขาไม่อาจปฏิบัติต่อพวกนั้นอย่างซี้ซั้วได้ เมื่อทั้ง 30 คนที่ถูกจัดการลงนั้นทำตัวราวกับหัวหน้าหลักและมองข้ามการแลกเปลี่ยนไป

เมื่อพวกเขาอาจย้ายไปที่กิลด์อื่นได้ และจำนวน 800 คนนั้นก็ยังคงเป็นจำนวนที่เป็นปัญหา

‘มันให้ความรู้สึกเหมือนกับสร้างสมาคมแรงงานขึ้นมา’

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ตอนนี้มันก็ค่อนข้างสบายขึ้นแล้ว

แม้ว่ามันจะเป็นเพียงเล็กน้อยก็ตาม

“อืมมม… งั้นมันก็ไม่มีเหตุผลที่จะส่งพวกเขาทั้งหมดไปป้องกัน’

1,900 คนที่รวมตัวกันยามนี้ไม่อาจสร้างกลุ่มขึ้นได้อย่างมั่นคง

เมื่อมันมักจะมีการทะเลาะเบาะแว้งกันระหว่างกิลด์กับกิลด์ และกิลด์กับสมาคมชั้นใต้ดินเพื่อที่จะได้ประโยชน์เพิ่มอีกเล็กน้อย

‘ฉันควรจะเตรียมพร้อมสักหน่อย’

กั้กแตที่คิดเสร็จได้เริ่มกระทำสิ่งที่คิดในทันที

 

เยรินเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา

“เท่าที่ฉันเห็น คนที่มีหน้าที่ป้องกันไม่ได้ทำแบบนั้น ไม่ใช่ว่ากิลด์ของนายรับผิดชอบทางฝั่งเหนือเหรอ? ผีดิบจำนวนหนึ่งผ่านแนวป้องกันอื่นมาเพราะนายเอาคนป้องกันด้านนั้นไปล่า”

กั้กแต หนึ่งในลอร์ดของกิล แย้มยิ้มอย่างผ่อนคลายขณะเอ่ยพูด

“โถ่ เอาน่า คุณเยริน ฟังฉันหน่อย มันค่อนข้างที่จะสบายก่อนหน้าใช่ไหมล่ะ? มันมีเหตุผลอะไรที่ให้กิลด์ทั้งหกกิลด์ป้องกันกำแพง?

ลอร์ดบางคนผงกศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

เยรินกัดฟันกรอด

‘ผ่อนคลายบ้านพ่อแกสิ’

คนพวกนี้เป็นคนที่ได้แอบนำกำลังป้องกันจำนวนหนึ่งออกไปล่าระหว่างการโจมตีของผีดิบ

เธออาจจะทำเป็นมองไม่เห็นถ้าพวกนี้ป้องกันส่วนของตัวเองได้เป้นอย่างน้อย

เมื่อพวกเธอป้องกันโดยที่พยายามให้มีความสูญเสียน้อยที่สุด แต่มันได้มีการสุญเสียเกิดขึ้นจำนวนหนึ่งเมื่อแนวป้องกันของพวกนั้นถูกกดดัน และเพราะแบบนั้นมันจึงได้สร้างความเสียหายให้กับกิลด์อื่นเช่นกัน

กั้กแตหัวเราะก่อนที่จะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“แล้วดูสิ ตอนนี้เราค่อนข้างสบายอยู่บ้าง แต่มันเป็นไปได้เหรอที่แฟรี่จะปล่อยให้เราสบายแบบนี้? ปีศาจยังไม่ออกมาเลย เราต้องเตรียมพร้อมสำหรับตอนนั้นและแข็งแกร่งขึ้น…”

“พวกนายกำลังคุยกันในเรื่องที่น่าสนใจนี่ ให้ฉันร่วมด้วยสิ”

ฮันซูแสยะยิ้มขณะที่เขาเข้ามาในห้องของลอร์ด และในตอนนั้นเองที่สีหน้าของลอร์ดจำนวนหนึ่งรวมทั้งกั้กแตแข็งค้าง

‘เอาเถอะ สองวัน มันก็อยู่ได้สักพักแล้วถ้าขนาดนี้’

แต่มันดีกว่าที่จะแก้ไขสิ่งใดก่อนที่การต่อสู้ที่แท้จริงในวันที่สามที่ปีศาจปรากฏตัวจะเริ่มต้นขึ้น

‘คังฮันซู… ไอ้เวรนี่ มันหายตัวไปก่อนหน้า แต่ทำไมต้องมาตอนนี้ด้วย’

กั้กแตที่มองไปยังชายหนุ่มด้วยสีหน้ากระวนกระวายเล็กๆ ส่ายศีรษะ

พวกเขาต้องรักษากฎไม่ว่าอย่างไรก็ตาม แต่ใครจะโต้แย้งเขาถ้ามันเป็นเพียงแค่นี้?

และพวกเขาก็ได้แข็งแกร่งขึ้นในเวลาไม่กี่วันมานี้ และจำนวนของพวกเขาก็ได้เพิ่มขึ้นสู่ 160 เพิ่มขึ้น 50 คนจากอดีต

อีกฝ่ายเองก็ได้ล่า แต่ว่ามันดูเหมือนว่าอาร์ติเฟคของหมอนั่นจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงมาก และในเวลาสองวันหมอนั่นก็คงไม่แข็งแกร่งขึ้นมากเท่าไหร่

สถานการณ์ของพวกเขาต่างจากในอดีต

‘นายสร้างพวกเราขึ้นมาแบบนี้ ไหนดูสิว่านายจะพูดอะไร’

มันไม่มีเหตุผลอะไรที่จะต้องถอย

กั้กแตเยือกเย็นลงขณะที่เขาเริ่มมองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าเย็นชา

 


TL: เริ่มมีคนรนหาที่อีกแล้วค่ะ//หัวเราะ

 

 

ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ