บทที่ 29  คิดจะแบล็กเมล์ฉันหรือไง?

เย่เฟิงขบคิดเรื่องนี้มานานแล้ว

เมื่อดูจากตำแหน่งของสถานที่จัดงานในจดหมายเชิญชวน เขาสั่งให้ชายร่างผอมขับรถไปส่งยังหมู่บ้านที่แห่งหนึ่ง ซึ่งห่างจากที่ตั้งของงานจัดแสดงสินค้าโบราณเกือบสองกิโลเมตร

เย่เฟิงลงจากรถตู้แล้วบอกให้ชายร่างผอมไม่ต้องรอ เขาหาสถานที่ที่ไร้ผู้คนจากนั้นจึงหยิบหน้ากากที่เตรียมไว้ขึ้นมาสวมใส่

แม้จะมีวรยุทธ์อยู่บนโลกใบนี้ แต่มันกลับไม่เป็นที่เปิดเผยออกสู่โลกภายนอก เย่เฟิงจึงเชื่อว่าน่าจะไม่มีใครที่เปิดเปิดเผยตัวตนที่แท้จริงในงานจัดแสดงสินค้านี้เช่นกัน

และแม้เขาสามารถใช้ทักษะอำพรางตัวเองได้ แต่ด้วยระดับวรยุทธ์ตอนนี้ เขาคงไม่สามารถหน่วงสภาพอำพรางไว้ได้นานนัก การใช้ทักษะนี้เป็นหลักจึงไม่ใช่ความคิดที่ดีเท่าไหร่

หลังจากสวมใส่หน้ากากเป็นที่เรียบร้อย เย่เฟิงจึงมุ่งหน้าไปยังปลายทางของเขา และหลังจากวิ่งไม่หยุดเกือบสิบนาที ในที่สุดเขาก็มาหยุดอยู่หน้าลานบ้านแห่งหนึ่งซึ่งดูค่อนข้างโบราณ

ทางเข้าที่นี่ มีชายรูปงามคนหนึ่งยืนอยู่ เขาหันไปมองรอบๆและพบเข้ากับเย่เฟิง จึงจ้องมองมาพร้อมกับเลิกคิ้วขึ้น

“คุณเป็นใครครับ?”

ชายรูปงามคนนั้นเปิดปากถาม รูปร่างของเขาอ้อนแอ้นอรชรคล้ายกับผู้หญิง นอกจากนั้นยังมีไฝเม็ดหนึ่งที่บริเวณคาง ทำให้เขาดูเหมือนคนที่ภายนอกอ่อนน้อมแต่จิตใจชั่วร้าย

“โม่จิ่ว”

เย่เฟิงตอบเสียงต่ำ

เขาไม่มีทางใช้ชื่อจริงในสถานการณ์ไม่แน่นอนแบบนี้แน่ ‘โม่จิ่ว’ เป็นชื่อของชายคนหนึ่งที่เย่เฟิงไม่ชอบที่สุดสมัยยังอยู่โลกเทวะ เพราะมันเป็นคู่หมั้นของอาจารย์คนสวยของเขา

เย่เฟิงเดาว่าในอนาคต เขาอาจไปมีเรื่องกับคนมากมาย ฉะนั้นการให้โม่จิ่วรับกรรมไปก็ถือเป็นเรื่องไม่เลว

เย่เฟิงยังคิดอีกว่าเมื่อไหร่ที่เขามีระดับวรยุทธ์สูงกว่านี้ การอำพรางตัวเองเป็นโม่จิ่วไว้แหกตาคนอื่นก็เป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

“โม่จิ่วงั้นหรือ? ผมไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน”

ชายหนุ่มรูปงามมองเย่เฟิงอย่างดูถูก เขาไม่ให้ความสนใจกับเย่เฟิงเลยแม้แต่น้อย

“นี่คือบัตรเชิญ”

เมื่อเห็นการแสดงออกแบบนั้น เย่เฟิงจึงหยิบบัตรเชิญออกมา

“โอ้? นี่มันบัตรเชิญจาก‘หวงเหล่า’ ถ้างั้นเชิญครับเชิญ”

ชายหนุ่มรูปงามรับบัตรเชิญไปแล้วมองเย่เฟิงอีกครั้งด้วยท่าทีที่สุภาพขึ้น เขาผายมือเชิญให้เย่เฟิงเข้าไปข้างใน

เย่เฟิงทำท่าทางตามปกติเมื่อเดินผ่านชายหนุ่มคนนั้นไปเข้า เมื่อเขาไปข้างใน เย่เฟิงสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของผู้ฝึกวรยุทธ์ของโลกใบนี้ ดูเหมือนที่นี่จะเป็นแหล่งรวมตัวตามที่เขาคาดไว้

“หวงเหล่าที่ว่าคงจะเป็นเพื่อนของลุงอู๋……”

เย่เฟิงคิดในใจ หลังจากเข้าไปด้านใน เขาเห็นเส้นทางเพียงเส้นทางเดียวซึ่งทอดยาวไปสู่บ้านไม้ที่ดูทรุดโทรมหลังหนึ่ง มันดูไม่เหมือนกับสถานที่จัดงานแสดงสินค้าที่กำลังดำเนินอยู่เลยแม้แต่น้อย

แต่เมื่อเข้าไปข้างใน เขากลับเห็นด้านหนึ่งของกระท่อมมีทางเดินลงไปใต้ดิน

“หวางเอ๋อ ในที่สุดคุณก็มา พวกเรารอคุณอยู่นานแล้วครับ”

ทันใดนั้น ดูเหมือนว่าชายรูปงามจะเห็นใครบางคนที่ทำให้เขารู้สึกตื่นเต้น

เย่เฟิงอยากรู้อยากเห็น เขาหันกลับไปมองและเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่พึ่งเดินเข้ามาในภายในลานบ้านซึ่งนำโดยคนๆหนึ่งซึ่งเขาจำได้แม่นยำ เธอคือหญิงสาวแสนสวยใบหน้ารูปไข่! และดูเหมือนว่าชายหนุ่มรูปงามคนนั้นจะให้ความเคารพเธออย่างยิ่ง

เย่เฟิงรู้สึกตื่นตกใจ เขาไม่กล้าจะอยู่ที่นี่นานจึงรีบเดินไปตามทางเดิน

ถึงแม้ว่าทางเดินนี้จะแคบและยาวเป็นอย่างมาก แต่ปลายทางที่ปรากฏคือห้องใต้ดินที่กว้างขวางแห่งหนึ่งซึ่งส่องสว่างเรืองรองอยู่ข้างหน้า ประตูทางเข้าห้องนี้ค่อนข้างดูทันสมัย และมีเงาของคนนับร้อยปรากฏอยู่

เย่เฟิงซึ่งสวมหน้ากาก ค่อยๆก้าวเดินเข้าไปอย่างช้าๆ เขามองไปรอบห้องแล้วรู้สึกว่าห้องนี้ดูคล้ายกับตลาดสด มีผู้คนยืนอยู่ทั่วตามแผงลอยที่ถูกตั้งขึ้นอย่างเป็นระเบียบโดยไม่มีการวางแผงลอยตามอำเภอใจให้ดูวุ่นวายเลยแม้แต่น้อย

ถึงอย่างไรผู้คนที่นี่ ใช่ว่าพวกเขาจะเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์กันเสียทุกคน ยกตัวอย่างเช่นชายร่างอ้วนคนหนึ่งซึ่งคอยดูแลแผงลอยอยู่หน้าเย่เฟิง เขาเป็นคนอ้วนมากและกำลังคุยกับลูกค้าที่เข้ามาดูสินค้าของเขา

เย่เฟิงเห็นชายร่างอ้วนกำลังขายของบางอย่างซึ่งดูคล้ายกับวัตถุโบราณ แต่แหวนดาบมังกรโบราณของเขาไม่มีปฏิกิริยากับมันเลยแม้แต่น้อย ดูเหมือนว่ามันไม่ใช่สิ่งของสำหรับผู้ฝึกวรยุทธ์ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีผู้คนแวะเวียนเข้ามาต่อรองราคาสินค้าเหล่านี้เสมอ

“ชายร่างอ้วนคนนั้นคงจะเป็นคนธรรมดาเหมือนกับลุงอู๋ เราไม่รู้เลยว่าพวกเขารับของโบราณเหล่านี้มาจากที่ไหน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเขาตั้งใจมาขายให้ได้ราคาสูงๆที่งานจัดแสดงสินค้านี้……”

เย่เฟิงส่ายหัวแล้วหันตัวกลับ

สถานที่แบบนี้ ต่อให้มีของใช้ได้ แต่ย่อมมีราคาไม่น้อยอย่างแน่นอน และโดยพื้นฐานแล้ว ผู้ที่เข้าร่วมงานนี้ได้ ย่อมเป็นพวกคนที่ร่ำรวย อย่างเช่นลุงอู๋ที่มีหินจิตวิญญาณครึ่งก้อน

“เฮ้เพื่อน มาทางนี้สิ”

ทันใดนั้น มีชายร่างผอมท่าทางอัปลักษณ์คนหนึ่งปรากฏตัวต่อหน้าเย่เฟิงแล้วพูดกับเขาด้วยท่าทางลับๆล่อๆ “ฉันพึ่งรับต้นลายครามมาอันหนึ่งเมื่อตอนเช้า นายอยากดูหน่อยไหม?”

เย่เฟิงมองเห็นรูปร่างของชายคนนั้นดูผอมแห้งเหมือนลิง และไร้ซึ่งวรยุทธ์ใดๆ เขาไม่รู้เหตุผลว่าทำไมชายคนนี้ถึงต้องทำตัวลับๆล่อๆ แล้วถ้ามีของดี ทำไมไม่เอาไปตั้งขายในงาน?

ถึงแม้ต้นลายครามอันนั้นอาจจะเป็นของดี แต่เย่เฟิงไม่ได้รู้สึกสนใจเลยแม้แต่น้อย

ความจริงเย่เฟิงรู้สึกเสียดายมากกว่าที่ในงานนี้ไม่มีใครสามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับวรุยทธ์ในโลกใบนี้แก่เขาได้เลย ดังนั้นการได้พูดคุยกับชายคนนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องดี เขาจึงพยักหน้าแล้วเดินตามไป และในที่สุดพวกเขาก็เดินมายังมุมๆหนึ่งของห้อง

ทุกๆคนในห้องนี้ล้วนยุ่งอยู่กับการเดินดูสิ่งที่พวกเขาสนใจ จึงไม่ค่อยมีใครสังเกตเห็นเย่เฟิงกับชายคนนั้นที่เดินไปยังมุมห้อง และแม้จะมีบางคนเห็น สุดท้ายพวกเขาก็เลิกสนใจไปเอง

“ดูสิ นี่คือต้นลายครามชั้นยอด หากได้ดูดซับแล้วละก็ มันจะช่วยเพิ่มระดับวรยุทธ์ได้ถึง 5 ปี ฉันจะขายให้ในราคายุติธรรมแค่ห้าล้านเท่านั้นเอง”

ชายร่างผอมดึงพืชต้นหนึ่งออกมาจากกระเป๋าเสื้อของเขาแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

เมื่อเย่เฟิงมองดู เขาก็คิดในใจว่านี่น่ะหรือต้นลายครามชั้นยอด นี่มันกลิ่นดอกกระเทียมชัดๆ ตัวเขาซึ่งมาจากโลกเทวะ จะไปสับสนระหว่างกลิ่นยาสมุนไพรกับกับดอกกระเทียมได้อย่างไร?

“แกคิดจะหลอกลวงฉันรึไง?”

ประกายตาของเย่เฟิงฉายวาบอย่างเยียบเย็น เขาพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

“อ้าว ทำไมพูดจาหมาๆอย่างนี้ละ? นี่คือต้นลายครามชั้นยอด นายดูให้ดีสิ อ่อ นายไม่ยากซื้อมันสินะ? หึ นั่นไม่ใช่ทางเลือกที่ดีเลยเพื่อน”

ชายร่างผอมเปล่งเสียงทางจมูกอย่างดัง จากนั้น เขาจึงหันไปด้านอื่น และพูดเป็นนัยให้เย่เฟิงมองตาม

เมื่อเย่เฟิงหันไปมองดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจ เขาเห็นชายเปลือยอกที่ดูน่ากลัวสองคนยืนอยู่อีกด้านหนึ่งของห้อง เวลานี้ พวกมันมองมาที่เขาด้วยแววตาที่ดูดุร้าย ซึ่งแสดงให้เห็นว่าพวกมันพร้อมจะจัดการกับเขาเสมอเหมือนเขาเป็นลูกไก่ในกำมือ

“เฮ้เพื่อน นายรู้จักพวกเขาไหม?”

ชายร่างผอมพูดด้วยน้ำเสียงอวดดี “นั่นคือคู่หูเจียงซู พวกเขาถูกเรียกว่า‘ขวานวายุ’กับ‘ดาบหมาป่า’ จะบอกให้ว่าพวกนั้นฆ่าคนมาหลายสิบชีวิตแล้ว! แน่นอนว่าหากนายไม่ซื้อต้นลายครามนี้ไปละก็……”

เย่เฟิงเข้าใจสถานการณ์ตอนนี้ดี

เขากำลังถูกแบล็กเมล์อย่างคาดไม่ถึง!

แม้ว่าในงานจัดแสดงสินค้านี้ คู่หูเจียงซูจะไม่กล้าทำอะไรเขา แต่ชัดเจนว่าหากเย่เฟิงปฏิเสธที่จะซื้อดอกกระเทียมราคาห้าล้านนี่ เมื่อออกจากงานนี้ไป พวกมันต้องตามไปจัดการกับเขาข้างนอกแน่ๆ

ขวานวายุดูเหมือนคนที่มีกำลังล้นเหลือ มันมีขวานด้ามใหญ่สองอันที่ดูเด่นสะพายอยู่ด้านหลัง ส่วนดาบหมาป่านั้นท่าทางดูโหดเหี้ยม เหมือนเคยสังหารผู้คนมาแล้วมากมายในการต่อสู้

เนื่องจากเย่เฟิงยืนห่างจากพวกนั้น จึงเป็นเรื่องค่อนข้างยากที่จะรู้ระดับวรยุทธ์ของพวกมัน แต่ก็ประมาณได้ว่าน่าจะสูงพอสมควร ……จากตัวเขาในปัจจุบันน่าจะเป็นเรื่องยากที่จะต่อกรกับพวกมัน ดังนั้นการลอบจู่โจมน่าจะเป็นทางเลือกที่เข้าท่ากว่า

มองดูแล้ว เจ้าอัปลักษณ์นี่ คงจะคิดว่าเขาเป็นแกะตัวอ้วนที่จัดการได้ง่ายๆ หึ ช่างน่าสงสาร เขาคือผู้ฝึกวรยุทธ์ที่ตั้งใจจะเป็นเซียน จะมาติดกับดักโง่ๆอย่างนี้นะรึ? ฝันไปเถอะ ยิ่งกว่านั้นเขามีเงินห้าล้านเสียที่ไหนกัน

ทันใดนั้น ความคิดอย่างหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัวเย่เฟิง ในเมื่อพวกมันไม่น่าจะกล้าจัดการกับเขาที่นี่ ทำไมเขาไม่ล้วงข้อมูลที่อยากรู้จากปากของเจ้าอัปลักษณ์นี่เสียเลยละ?

“ถ้าแกไม่อยากตายก็ตอบคำถามฉันมา”

เย่เฟิงคว้าปกคอเสื้อของฝั่งตรงข้าม แล้วกระซิบด้วยน้ำเสียงเยียบเย็น “แล้วถ้ากล้าพูดโกหกละก็ ฉันจะฆ่าแกทิ้งเสียตรงนี้เลย”

เมื่อได้ยินดังนั้น ชายร่างผอมถึงกับตัวสั่นด้วยความกลัว

…………………………….

แปลโดย : Solar Spark