บทที่ 249 บรรยากาศอันเร้าร้อน

ความจริงแล้ว ผู้ฝึกวิญญาณนั้นต้องมีวรยุทธ์ระดับ 5 ปีจึงจะสามารถสร้างกายหยาบขึ้นมาได้ แหวนมิติที่ซูเฟยหยิ่งให้มามีสมบัติสวรรค์เก็บอยู่มากมาย ดังนั้น การจะเพิ่มระดับวรยุทธ์ของจ้าวอี้เป่ยและหลิงเฉินขึ้นเป็นระดับ 5 ปีย่อมไม่ใช่เรื่องยาก แต่จุดสำคัญคือพวกเขาต้องใช้เวลาราวๆหนึ่งเดือนเพื่อทำการขยายเส้นลมปราณ ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถรองรับวรยุทธ์ระดับ 5 ปีได้

และเผื่อเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้นมา เย่เฟิงจึงให้กำหนดเวลาเป็นสองเดือนเพื่อให้มั่นใจว่าหลิงเฉินจะสามารถสร้างกายหยาบขึ้นได้ก่อนถึงเวลานั้นแน่นอน

“ไอ้หนู เมื่อไหร่จะเล่าเรื่องของหลงโม่หรันให้ฉันฟังสักที”

เมื่อเย่เฟิงหันกลับเข้าไปในห้อง เสียงของเย่เวิ่นเทียนก็ดังขึ้นข้างหูของเขา “แต่เอาเถอะ ตอนนี้ฉันก็ยังไม่อยากรบกวนพวกคนหนุ่มสาวเท่าไหร่ หุหุหุ”

เมื่อเงยหน้ามองขึ้นไป เย่เฟิงก็เห็นเย่เวิ่นเทียนกำลังอารมณ์ดีเป็นพิเศษ

ดูเหมือนชายชราคนนี้จะอยากให้เขารีบผลิตลูกหลานออกมาเหลือเกิน เมื่อคิดไปถึงคุณหนูหลิน เสี่ยวเยวี่ย และเสี่ยวฉี เขาก็รู้สึกปวดหัว การยิ่งสาวสวยอยู่ข้างกายมากขึ้นนั้น ย่อมนำพาปัญหาเข้ามาไม่หยุดหย่อน เย่เฟิงก็เข้าใจเรื่องนี้ดี

เขาส่ายหัวไล่ความคิดออกไป ตอนนี้มีเรื่องที่ต้องทำเต็มไปหมด

เมื่อเย่เฟิงหันกลับไปมองก็พบหลงหวางเอ๋อและซูเหมิงหานยืนอยู่หน้าประตู เมื่อหลี่เสวียนไปแล้ว พวกเธอจึงค่อยโล่งใจ

ส่วนชูชูที่ยืนอยู่บนระเบียงนั้น เมื่อเห็นเย่เฟิงสามารถไล่ชายชราที่แข็งแกร่งคนนั้นกลับไปอย่างง่ายดายก็ยิ่งรู้สึกชื่นชมเด็กหนุ่มมากขึ้นกว่าเดิม และคิดว่าหลงหวางเอ๋อมองคนไม่ผิดจริงๆ

“กลับเข้าบ้านเถอะ”

เย่เฟิงอ้าแขนออกราวกับต้องการดึงร่างของสองสาวมากอดไว้

แต่ใครจะรู้ว่าหลงหวางเอ๋อกลับยิ้มจากนั้นก็หลบวงแขนเขาไป ด้วยระดับวรยุทธ์ของหญิงสาว เธอสามารถหลบหลีกได้อย่างง่ายดาย “ฉันกับน้าจะนอนแล้ว ทั้งสองคนก็เล่นกันเบาๆล่ะ”

นี่ทำให้เย่เฟิงรู้สึกเคืองใจ ลูกเจี๊ยบตัวนี้นี่ชอบขัดใจเขาไปเสียทุกที สงสัยต้องรีบเพิ่มระดับวรยุทธ์หน่อยแล้ว ไม่งั้นคงอดกินเธอแหง

สำหรับผู้ชายแล้ว การที่ผู้หญิงของตัวเองมีวรยุทธ์สูงกว่า เป็นเรื่องอันตรายมากในโลกเทวะ

แม้เย่เฟิงจะเชื่อใจหลงหวางเอ๋อ แต่เขาก็ไม่ต้องการให้อยู่ในสภาพนี้นานนัก ไม่อย่างนั้นหากหญิงสาวไม่เชื่อฟังขึ้นมาก็อาจก่อให้เกิดปัญหาตามมาได้

อืม….ยกตัวอย่างเช่นเรื่องบนเตียง

หรือว่าอาจารย์จะจงใจให้เป็นแบบนี้กันนะ?

เย่เฟิงรู้สึกประหลาดใจเมื่อคิดได้ว่าซูเฟยหยิ่งมอบสมบัติสวรรค์ให้หลงหวางเอ๋อมากมายจนเพิ่มระดับวรยุทธ์เป็น 25 ปี แบบนี้เขาจะไม่ถูกอีกฝ่ายรังแกหรือไง?

แน่นอนว่าเมื่อหลงหวางเอ๋อมีร่างชีพจรเทวะ ซูเฟยหยิ่งก็ต้องการเพื่อระดับวรยุทธ์ของหญิงสาวขึ้นอย่างรวดเร็วอยู่แล้ว และข่าวดีก็คือ มันทำให้เธอสามารถคุมเย่เฟิงให้อยู่ในโอวาทได้ง่ายขึ้นด้วย

“ฉ..ฉันเข้าบ้านก่อนนะ”

เมื่อหลงหวางเอ๋อกลับเข้าบ้านไปแล้ว ซูเหมิงหานเอ่ยขึ้นเบาๆ ราวกับจะแอบหนีเข้าบ้านตามไป

“จะหนีหรอ?”

เย่เฟิงกอดเด็กสาวไว้พร้อมกับยิ้ม “เข้าบ้านด้วยกันเถอะ”

เมื่อถูกกอดอย่างกระทันหันแบบนี้ ใบหน้าของเด็กสาวขึ้นสีแดงระเรื่อ เรือนผมที่ไหลลงมาปรกครึ่งหน้าทำให้เธอดูน่าเย้ายวนขึ้นไปอีก

“คนบ้า อย่าทำแบบนี้สิ อายคนอื่นเขา”

ซูเหมิงหานรู้สึกเขินอายแต่ไม่ได้ขัดขืน เพราะเมื่อมองไปรอบๆแล้ว มีแค่เธอและเย่เฟิงที่อยู่ในบริเวณนี้

การที่เย่เฟิงออกจากเหยียนจิง มุ่งหน้าไปยังทะเลจีนตะวันออกและอยู่ด้วยกันกับหลงหวางเอ๋อ ในใจของซูเหมิงหานย่อมรู้สึกหึงหวงอยู่แล้ว

แน่นอนว่าก่อนหน้านี้ เธอไม่ชอบใจที่มีหลงหวางเอ๋ออยู่ข้างกายเย่เฟิง แต่เมื่อได้รับรู้ถึงเรื่องราวอันขมขื่นของหญิงสาวซึ่งคล้ายกันกับเธอ เด็กสาวจึงยอมรับและรู้สึกเป็นมิตรกับอีกฝ่ายมากขึ้น รวมถึงเมื่อครู่นี้ที่ทั้งสองสาวเข้าไปหลบในห้องนอน พวกเธอต่างก็ได้เปิดใจพูดคุยกันแล้ว

ในไม่ช้า เย่เฟิงก็อุ้มซูเหมิงหานเข้าไปในห้องนอนและล๊อคประตูห้องทันที

ราวกับสัตว์ที่เก็บกดมาเป็นเวลานาน เย่เฟิงวางร่างอันบอบบางของเด็กสาวลงบนเตียงนุ่ม จากนั้นจึงปีนป่ายขึ้นไป มือทั้งสองข้างลูบไหล้ไปตามเรือนรางอันงดงาม

ซูเหมิงหานเปล่งเสียงครางเบาๆ สองมือขาวเนียนพยายามผลักดันร่างของอีกฝ่าย แต่เธอไม่อาจต่อต้านความปรารถนาของชายหนุ่มได้เลย

“คิดถึงฉันไหม?”

เย่เฟิงกระซิบถามจากนั้นจึงขบติ่งหูเด็กสาวเบาๆ

“ใครคิดถึงนายกัน”

ซูเหมิงหานแลบลิ้นใส่ จากนั้นจึงเอ่ยถาม “แล้วเกิดอะไรขึ้น หลิงเฉินยังมีชีวิตอยู่จริงหรอ?”

เย่เฟิงนึกขึ้นได้ว่ายังไม่ได้เล่าเรื่องของหลงโม่หรัน ซูเฟยหยิ่ง และเรื่องของผู้ฝึกวิญญาณให้เด็กสาวฟัง จึงตำหนิตัวเองที่ดันลืมไปเสียได้

ถึงแม้เย่เฟิงจะไม่เข้าใจความคิดผู้หญิง แต่เรื่องที่หลงหวางเอ๋อได้รู้แล้ว หากซูเหมิงหานยังไม่รู้ก็ดูจะไม่ยุติธรรมต่อเธอเท่าไหร่

“ฉันได้พบอาจารย์แล้ว”

เย่เฟิงโอบกอดเด็กสาวไว้และอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้น เขาสอดมือเข้าไปใต้ชุดนอนของซูเหมิงหาน ลูบไหล้ไปตามเนินอกและยอดปทุมถัน ถึงแม้มันจะไม่ได้ใหญ่โตมากนักเมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นรอบตัวเขา แต่มันก็นุ่มละมุนและน่าดึงดูดใจ

“อะไรนะ? อาจารย์บินไปบนฟ้าได้ด้วยหรอ?”

“หลงโม่หรันตายแล้ว?”

“ผู้ฝึกวิญญาณ?”

ทุกๆครั้งที่ซูเหมิงหานได้ยินเย่เฟิงเล่าถึงเรื่องที่น่าประหลาดใจ เธอก็มักจะเอ่ยถามย้ำเสมอ จนถึงตอนนี้ ชุดนอนตัวบางของเด็กสาวก็ถูกเย่เฟิงแกะออกและโยนไปยังโซฟาหมดแล้ว

“อาจารย์รู้เรื่องของฉันไหม?”

เมื่อเย่เฟิงจูบไปยังยอดปทุมถัน เด็กสาวก็ร้องครางออกมา แต่ยังคงเอ่ยถามด้วยความกังวล

“ฉันบอกไปแล้ว เอาไว้ครั้งหน้าฉันจะพาเธอไปพบอาจารย์นะ”

“อืม”

ซูเหมิงหานพยักหน้าตอบรับ เด็กสาวรู้สึกได้ว่าภายใต้การเล้าโลมของเย่เฟิง ร่างกายของเธอรุ่มร้อนขึ้นเรื่อยๆ พร้อมกับความรู้สึกที่แปลกประหลาด

เวลานี้ เย่เฟิงก้มหัวลง จูบไปยังริมฝีปากสีชมพู สอดลิ้นเข้าไปพัวพันกับลิ้นของอีกฝ่าย

“อือ”

ในหัวของซูเหมิงหานว่างเปล่าไปหมด หน้าแดงด้วยความเขินอาย สองมือสอดเข้าไปที่ไหล่ของเย่เฟิงเพื่อตอบรับความปรารถนา

ในขณะที่เด็กสาวหอบหายใจอย่างหนักหน่วง ในที่สุดเย่เฟิงก็ได้รุกล้ำเข้าไปแดนศักดิ์สิทธิ์อันชุ่มชื่น ทั้งคู่ต่างโอบกอดกันและกันอย่างใกล้ชิดอยู่บนเตียง

“เบาๆหน่อยสิ”

เด็กสาวหอบหายใจ เรือนผมยาวสลวยแผ่กระจายไปบนผ้าปูที่นอนสีชมพู ร่างบอบบางอันขาวเนียนสั่นไหว ดวงตาคู่งามที่ปรือขึ้นอย่างเย้ายวน ทั้งหมดนี่รวมกันแล้ว ยากที่ชายคนใดจะต้านทานไหว

แน่นอนว่าเย่เฟิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น เขาต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะไม่กลืนกินเธอเข้าไปอย่างหื่นกระหาย

ทันใดนั้น เย่เฟิงก็รับรู้ได้ถึงทักษะสัมผัสวิญญาณที่กวาดมาถึงตัวพวกเขา นี่ทำให้ชายหนุ่มแอบยิ้มในใจ ดูเหมือนว่าหลงหวางเอ๋อจะอดไม่ไหวจนต้องใช้ทักษะสัมผัสวิญญาณเสียแล้ว

ระดับวรยุทธ์ของเย่เฟิงนั้นต่ำกว่าหญิงสาวถึง 10 ปี จึงเป็นเรื่องยากที่จะขัดขวางทักษะสัมผัสวิญญาณของเธอได้ ทำได้เพียงยอมรับและปล่อยให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงการกระทำของพวกเขา

“เจ้าตัวร้าย! คนบ้ากาม! สัตว์ป่า!”

เมื่อหลงหวางเอ๋อใช้ทักษะสัมผัสวิญญาณสำรวจไปยังห้องนอนข้างๆที่เต็มไปด้วยบรรยากาศอันเร้าร้อน ก็อดไม่ได้ที่จะก่นด่าออกมา ขณะกอดหมอนด้วยใบหน้าอันแดงก่ำ ส่วนชูชูนั้นป้องปากหัวเราะด้วยรอยยิ้ม

……………………..

แปลโดย Solar Spark