บทที่ 20 ดาบ
พลบค่ำ
เย่เฟิงนั่งอยู่บนเตียงขณะถือหินจิตวิญญาณไว้ในมือ เขาเริ่มดูดซับหลิงฉีที่อยู่ภายในหินก้อนนี้ และในเวลาเดียวกัน ระดับวรยุทธ์ของเขากำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วพร้อมกับเส้นลมปราณของเขาที่ค่อยทวีความแข็งแกร่งขึ้น

เมล็ดพันธุ์ภายในร่างกำลังดูดซับหลิงฉีจากหินจิตวิญญาณอย่างต่อเนื่อง และเมื่อใดที่กระบวนการนี้เสร็จสิ้น เขาจะกลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งอย่างแท้จริงเหมือนดั่งหญิงสาวใบหน้ารูปไข่ หรือเหล่าผู้ฝึกยุทธ์คนอื่นๆที่ได้รับพลังจากหลิงฉี
“เส้นลมปราณของเรายังแข็งแกร่งไม่พอ มันมีขีดจำกัดเพียงระดับสามถึงห้าปีเท่านั้น ดูเหมือนจะถึงเวลาที่เราต้องปลดขีดจำกัดให้ตัวเอง……….”

มีเพียงเส้นลมปราณที่หนาและแข็งแรงเท่านั้น จึงจะกักเก็บเจินฉีในปริมาณมากและสามารถใช้ออกมาในระยะเวลาที่ยาวนานได้

ยามใกล้เที่ยงคืน ในที่สุดกระบวนการดูดซับหลิงฉีก็เสร็จสิ้น ระดับวรยุทธ์ของเขาเพิ่มขึ้นเป็นระดับ 1ปี 4เดือน และตอนนี้ หินจิตวิญญาณครึ่งก้อนในมือของเขาได้สลายกลายเป็นผุยผง

เพื่อต้องการตรวจสอบพลัง เย่เฟิงได้ปล่อยหมัดออกไปในอากาศ เขารู้สึกได้ถึงกระแสการไหลของอากาศ และการระเบิดของอากาศที่ออกมาจากหมัดของเขา
หากหมัดของผู้ชายทั่วไปสามารถวัดแรงได้ 150 kg เช่นนั้น หมัดปากั้วของเย่เฟิงในตอนนี้ สามารถสร้างความรุนแรงได้มากกว่าถึง 2 เท่า นี่ไม่ใช่เพียงเพราะเทคนิคหมัดปากั้วเท่านั้น รูปแบบการเคลื่อนไหวก็เป็นส่วนช่วยส่งเสริมความรุนแรงให้ถึงระดับนี้เช่นกัน และแม้เทคนิกหมัดปากั้วจะเป็นเพียงทักษะพื้นฐานในโลกเทวะ แต่มันกลับให้ผลที่น่าเหลือเชื่อในโลกใบนี้

“แต่น่าเสียดาย ความแข็งแกร่งของหมัดนี้ยังไม่อาจหยุดกระสุนได้”
เย่เฟิงตระถึงความจริงข้อนี้ ดังนั้นหลังจากคุ้นเคยกับระดับความแข็งแกร่งในปัจจุบัน เขาจึงเตรียมตัวฝึกทักษะเสริมความรวดเร็วทักษะหนึ่งอีกครั้งซึ่งเขาเคยฝึกมาแล้วในตอนยังอยู่ในโลกเทวะ ทักษะนี้มีชื่อว่า‘ย่างก้าวไร้เงา’

ในโลกแห่งวรยุทธ์แล้ว มีเพียงต้องเร็วที่สุดเท่านั้นจึงจะไม่พ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใด และในโลกเทวะก็เช่นกัน ที่นั่นทุกๆล้วนจดจ่อกับการฝึกฝนทักษะเสริมความรวดเร็ว ธิดาน้ำแข็งอาจารย์ของเย่เฟิงจึงได้สอนทักษะเสริมความเร็วชั้นสูงให้เขา

เย่เฟิงครุ่นคิดเล็กน้อยและได้ข้อสรุปว่าทักษะที่เขากำลังจะฝึกนี้ มีลักษะณะคล้ายคลึงกับทักษะวรยุทธ์ในโลกใบนี้ที่เรียกว่า Surging Waves Micro Step แต่ทักษะนี้ให้ผลลัพท์แค่เพียงผิวเผินเท่านั้นเมื่อเทียบกับทักษะย่างก้าวไร้เงาในโลกเทวะ
“หากต้องการสำเร็จ ‘ย่างก้าวไร้เงา’ในระดับสูงสุด อย่างน้อยต้องมีระดับวรยุทธ์อยู่ที่ห้าปี แต่ถ้าเราฝึกตอนนี้ แม้มันจะไม่ให้ผลลัพธ์ที่สูงสุด แต่มันก็ช่วยให้เรารอดชีวิตในช่วงวิกฤตได้……..”

ความทรงจำเริ่มไหลเวียนในหัวของเย่เฟิง เขานึกถึงรูปแบบการควบคุมเจินฉีของทักษะย่างก้าวไร้เงา ที่ใช้การไหลเวินเจินฉีไปตามเส้นลมปราณและควบแน่นมันไว้ที่ขาทั้งสองข้าง ทันใดนั้นสิ่งที่เขาทำก็แสดงผลออกมา!

ร่างของเย่เฟิงเคลื่อนที่ไปข้างหน้าเล็กน้อยในพริบตาโดยทิ้งภาพติดตาที่เลือนรางไว้ข้างหลัง
“ไม่เลว”
เย่เฟิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ จากนั้นเขาจึงรู้สึกถึงความเจ็บปวดของเส้นลมปราณที่ขาทั้งสองข้างเล็กน้อย ชัดเจนว่าแม้จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ แต่หากเขาใช้ทักษะนี้อีกครั้ง มันต้องส่งผลเสียต่อร่างกายของเขาแน่นอน ตัวเขาในปัจจุบันสามารถใช้ทักษะย่างก้าวไร้เงานี้ได้เพียงไม่กี่วินาทีเท่านั้น เมื่อใดที่เขามีระดับวรยุทธ์ที่สูงขึ้น เขาจะสามารถใช้ทักษะนี้ได้นานขึ้นเช่นกัน

“ระดับความเร็วของย่างก้าวไร้เงา ทำให้เราสามารถเคลื่อนที่ได้ 100 เมตรในเวลาเพียง 3 วินาทีเท่านั้น การหลบกระสุนย่อมเป็นเรื่องง่ายมากในตอนนี้……”
เย่เฟิงมีความมั่นใจมากขึ้น แต่นี่เป็นเพียงการหลบหนีอย่างรวดเร็วในหนึ่งครั้งเท่านั้น หากอีกฝ่ายกราดยิงเข้าใส่ เขาคงไม่อาจหลีกหนีสถานการที่น่าอนาถได้อย่างแน่นอน
หากอีกฝ่ายกราดยิ่ง เขาควรมีเทคนิคป้องกันกระสุนสินะ?

แต่นี่ยังไม่ใช่เรื่องที่เขาควรคิดถึงตอนนี้
ในเวลานี้ เย่เฟิงชูมือขึ้นเพื่อแสดงความพึงพอใจ แต่ทันใดนั้น เขารู้สึกถึงความเย็นเล็กน้อยจากนิ้วที่สวมแหวนดาบมังกรโบราณไว้ ตอนนี้ มีกระแสพลังบางอย่างทะลักออกมา

“เกิดอะไรขึ้น?”
สีหน้าของเย่เฟิงเปลี่ยนไปทันที นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพบเจอกับสถานการณ์แบบนี้ เจินฉีของเขาที่ไหลเวียนในเส้นลมปราณค่อยๆถูกดูดซับและควบแน่นอยู่ภายในแหวนวงนี้ จากนั้นมันก็เกิดการระเบิดออกมา
ปัง!
หลังจากเสียงเบาลง แสงสีแดงได้ปรากฏออกมาจากแหวนดาบมังกรโบราณและกระจายไปทั่ว จนห้องของเขาเต็มไปด้วยแสงแวววาวสีแดงเลือด!
เย่เฟิงลืมตาขึ้นและมองไปยังสิ่งที่อยู่ในมือ ใบหน้าของเขาแสดงความเหลือเชื่อออกมา
“นี่มัน…ดาบ?”

เจินฉีในร่างของเขาถูกดูดซับโดยแหวนดาบมังกรโบราณ จากนั้นจึงปรากฏด้ามดาบขึ้นในมือของเขา และไม่นานตัวดาบก็ถูกสร้างขึ้นจากเจินฉีสีแดงที่ไหลเวียนออกมาจากตัวของเขา
เย่เฟิงไม่คิดเลยว่าแหวนวงนี้จะดูซับเจินฉีในร่างของเขา และแปรเปลี่ยนให้กลายเป็นดาบเจินฉี แต่แน่นอนว่าดาบเล่มนี้ คงดูน่ากลัวเกินกว่าจะนำมันออกไปเดินบนท้องถนน
ตัวดาบมีสีแดงเลือด ซึ่งถูกสร้างขึ้นจากซวนฉีบริสุทธิ์ ประกายแสงสีแดงที่ปรากฏถูกแยกออกเล็กน้อยส่งผลให้มันดูคมมากเช่นกัน

เย่เฟิงลองแกว่งดาบเจินฉีเล็กน้อย ผลคือมันสามารถตัดผ่านกำแพงกระเบื้องที่สวยงามของบ้านได้อย่างง่ายดาย และทิ้งรอยบาดลึกไว้ข้างใน นี่มันน่ากลัวมาก
มันคมถึงปานนี้เลยหรือ?
ปัง!
เมื่อเย่เฟิงใช้จิตดึงเจินฉีภายในแหวนดาบมังกรโบราณกลับมา ทันใดนั้นดาบเล่มแดงนี้ก็หายไปทันที และแหวนวงนี้ก็กลับสู่ปกติของมัน

“นำออกมาและเก็บคืนอย่างอิสระได้ด้วย?”
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ทำให้เขารู้สึกยินดีอย่างมาก ความจริงแล้ว เย่เฟิงอยากจะลองดูอีกสักครั้ง แต่ก็พบว่าปริมาณเจินฉีของเขาตอนนี้มีไม่มากพอที่จะปลุกดาบแดงออกมาอีก

ดาบแดงเล่มนี้ชัดเจนว่ามันคืออาวุธสังหาร และดาบเล่มนี้ทำให้ความมั่นใจของเขาเพิ่มมาหลายจุด คืนนี้เป็นคืนที่ท้องฟ้ามืดมิดและมีพายุ เย่เฟิงวางแผนที่จะมุ่งไปยังบ่อนเทียนหัวเพื่อหาตัวหัวหน้าแก๊งอสรพิษสวรรค์

เนื่องจากการทดสอบก่อนหน้านี้ทำให้เขาสูญเสียเจินฉีไปอย่างมาก เย่เฟิงจึงจำเป็นต้องพักอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นจึงตัดสินใจออกจากบ้านเพื่อมุ่งหน้าไปยังบ่อนเทียนหัว
แม้ว่าเวลานี้ ผู้คนทั่วไปล้วนหลับไหล แต่ชีวิตกลางคืนสำหรับผู้คนในสถานที่อย่างบ่อนเทียนหัวเพิ่งเริ่มต้นขึ้น! นี่ถือเป็นโอกาสอันดีสำหรับเย่เฟิงจริงๆ

……….

เวลานี้ ณ บ่อนเทียนหัว
ภายในห้องที่ถูกตกแต่งอย่างสวยงาม มีผู้คนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่งดื่มสังสรรค์ด้วยกัน ขณะที่มีหญิงสาวหลายคนในชุดที่ดูเปิดเผยกำลังนั่งอยู่ข้างผู้ชายเหล่านั้น และพยายามหาทางดึงเงินออกจากกระเป๋าพวกเขาให้มากที่สุด

หนึ่งในกลุ่มชายเหล่านั้นคือเทียนโย่วเหลียง
“พ่อ ในเมื่อพี่เถี่ยพูดมาแบบนี้ เราก็ไม่ต้องกังวลอะไรอีกแล้ว เอ้าชน!”

เทียนโย่วเหลียงมีผมขาวซีดและอยู่ในชุดแจ๊กแก็ตหนัง ทำให้เขาดูเหมือนพวกพังค์ ส่วนชายวัยกลางคนที่นั่งอยู่ข้างเขา สวมชุดที่ดูเป็นทางการสไตล์ตะวันตกพร้อมด้วยรองเท้าหนังและเน็คไท นี่คือเทียนจ้งไข่ พ่อของเทียนโย่วเหลียง และเป็นประธานบริษัทบลูสกายแอดเวอร์ไทซิ่ง

“ใช่แล้ว ชน! พี่เถี่ย ผมต้องรบกวนคุณแล้ว

เทียนจ้งไข่ชูแก้วขึ้นขณะพูดกับชายร่างกายกำยำคนหนึ่งที่สวมแว่นกันแดดและกำลังหัวเราะ เวลานี้ เขาพบว่าพี่เถี่ยแห่งแก๊งอสรพิษสวรรค์กำลังมีเรื่องบาดหมางกับเย่เฟิง เขาจึงได้ตัดสินใจจ่ายเงินจำนวนหนึ่งเพื่อจะสั่งสอนเจ้าเด็กเวรเย่เฟิงคนนั้นให้มันต้องพบกับบทเรียนที่แสนเจ็บปวด

ชายร่างกำยำที่สวมแว่นกันแดดคนนี้ จมูกของเขาถูกห่อด้วยผ้าก๊อซ ชัดเจนว่านี่คือพี่เถี่ยตัวจริงซึ่งได้รับบาดเจ็บมาไม่นานนี้
“หึ สบายใจได้เลย ฉันถึงกับส่งคำเชิญไปให้มันแต่มันกลับไม่ไว้หน้าฉัน มันคิดว่าพี่เถี่ยคนนี้จะปล่อยไปหรือยังไง? หากฉันทำให้มันกลายเป็นคนพิการไม่ได้ ฉันไม่ขอใช้ชื่อพี่เถี่ยอีกต่อไป!”

ชายแว่นดำคนนั้นแค่นเสียงทางจมูกอย่างเยียบเย็น คำพูดของเขาแสดงถึงความเกลียดชังต่อเย่เฟิงอย่างชัดเจน สำหรับเขาแล้วการทำสิ่งที่โหดร้ายมากกว่าการหักขาของใครสักคนก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับเขา
ชายแว่นดำคนนี้มองเย่เฟิงเป็นเพียงเด็กมัธยมปลายธรรมดาคนหนึ่ง แต่กลับกล้าหักจมูกของเขา ซ้ำยังทำร้ายคนของเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่า และแม้เขาจะส่งข้อความเชิญชวนให้เข้าร่วมแก๊ง มันก็ยังกล้าปฏิเสธอย่างไม่ไว้หน้า สำหรับเขาแล้ว นี่มันคือการฉีกหน้าอย่างชัดเจน

เทียนโย่วเหลียงรวบสาวสวยข้างกายเข้ามาแล้วบีบเค้นหน้าอกที่อวบอิ่มทั้งคู่จนอิ่มเอมใจ
เมื่อคิดถึงเหล่าเพื่อร่วมชั้นที่พูดคุยเกี่ยวกับเรื่องหางของเขาที่จู่ๆก็โพล่ออกมาแล้ว เทียนโย่วเหลียงก็รู้สึกอับอายเป็นอย่างยิ่ง เขาไม่รู้ว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่เขามีความรู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ต้องเกี่ยวข้องกับเย่เฟิงเป็นแน่
ขณะที่พวกเขายังคงดื่มกินกันต่อไป ไม่นาน พวกเขาก็ได้พวกคุยกันถึงเรื่องแผนการที่โหดเหี้ยมในการจัดการกับเย่เฟิงโดยไม่มีใครรู้เลยว่าเวลานี้ เย่เฟิงได้มายังบ่อนเทียนหัวตามคำเชิญแล้ว

………………..

แปลโดย : mikkunkkub

ปรับสำนวน : Solar Spark