บทที่ 183 กำแพงน้ำแข็งอันหนาวเย็น

รังสีกระบี่พุ่งฝ่ากระแสน้ำที่ปั่นป่วนเข้าหาใบหน้าของหลงโม่หรันอย่างรวดเร็ว

“ท่านผู้นำ!”

ผู้ฝึกยุทธ์จากตระกูลหลงอีกสองคนเห็นดังนั้นก็รีบร้องตะโกนเตือน พวกเขาเข้าใจแจ่มแจ้งว่าหลงโม่หรันในตอนนี้ได้รับบาดเจ็บที่อกอย่างรุนแรง มันเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่จะป้องกันรังสีกระบี่นั้นได้!

แต่หลงโม่หรันนั้นไม่มีทางยอมเสียหน้าตัวเองอีกเด็ดขาด หากต้องหลบการโจมตีของเจ้าเด็กปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมนี่ เขาจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน?

เพราะฉะนั้น หลงโม่หรันจึงรีบรวบรวมพลังชี่ภายในมาไว้ที่ฝ่ามือทั้งสองข้าง จากนั้นจึงใช้ทักษะฝ่ามือละมุน ท่าแรก-สยบเมฆา! เพื่อเตรียมรับมือกับรังสีกระบี่ที่พุ่งเข้ามา

ตูม!

เสียงระเบิดใต้น้ำที่ทุ้มต่ำมาพร้อมกับคลื่นที่ปะทุขึ้นเป็นชั้นๆ จากการที่รังสีกระบี่กับพลังชี่จากฝ่ามือเข้าปะทะกัน คลื่นน้ำที่เกิดขึ้นมานี่รุนแรงเป็นอย่างยิ่ง!

ตำแหน่งที่พลังทั้งสองเข้าปะทะกันก่อให้เกิดคลื่นน้ำวนที่รุนแรงเหมือนกับพร้อมจะดึงดูดทุกสิ่งทุกอย่างเข้าไป มันคือคลื่นน้ำวนกระหายเลือด!

เย่เฟิงไม่รอช้า ชายหนุ่มหันตัวกลับแล้วพุ่งตัวทิ้งห่างหลงโม่หรันออกไปทันที

ภายใต้สถานการณ์นี้ หลงโม่หรันและคนตระกูลหลงอีกสองคนรีบปิดใช้งานระบบเครื่องพ่นใบพัด พวกเขาลังเลเล็กน้อยเพราะตำแหน่งที่เกิดการปะทะกันระหว่างพลังชี่ภายในกับเจินชี่ทำให้เกิดน้ำวนที่ปั่นป่วน ถ้าพวกเขายังคงไล่ตามชายสวมหน้ากากต่อไป ย่อมไม่มีทางรอดชีวิตไปจากน้ำวนอันใหญ่ยักษ์นี้ได้แน่

“กลับ! เรียกทุกคนให้ระดมพลออกค้นหาตามแนวชายฝั่ง ฉันไม่เชื่อว่ามันจะซ่อนตัวอยู่ในทะเลได้ตลอดไปและไม่โผล่หัวออกมา!”

หลงโม่หรันเป็นพวกชอบแค้นฝังหุ่น เมื่อเห็นว่าทุกสิ่งไม่เป็นไปตามที่หวังไว้ เขาจึงรีบคิดแผนต่อไปทันที

ด้วยเหตุนั้นเอง ทั้งสามคนจึงหันตัวกลับและจากไป

เป็นอีกครั้งที่พวกเขาต้องว่ายน้ำผ่านก้นทะเลที่เหมือนกับนรก ไม่นานนักทั้งสามคนก็มาถึงชายฝั่ง

หลงโม่หรันนั้นอยู่ในสภาพบาดเจ็บสาหัสจากการได้รับกำปั้นของผู้ฝึกยุทธ์ชั้นสูงจากหมัดเทพทวารา เป็นเหตุให้ชุดบริเวณอกเปียกชุ่มไปด้วยเลือด นอกจากนี้การที่ต้องป้องกันตัวเองจากรังสีกระบี่ของเย่เฟิง มันทำให้อาการบาดเจ็บภายในหน้าอกย่ำแย่ยิ่งกว่าเดิมจนเริ่มอันตรายต่อชีวิต

หลังจากขึ้นฝั่งมาแล้ว เมื่อพวกเขามองไปรอบๆก็พบผู้คนมากมายทยอยขึ้นฝั่งมาอย่างต่อเนื่อง เดิมทีมีผู้ฝึกยุทธ์ทั้งหมด 12 คนที่ลงไปในทะเล แต่ตอนนี้เหลือเพียงแค่ 7 คนที่มีชีวิตรอดกลับมา

ส่วนอีก 5 คนที่เหลือถูกฝั่งอยู่ใต้ก้นทะเลลึก

แต่สิ่งที่น่าตกใจคือ ไม่มีผู้ฝึกยุทธ์คนใดเลยที่คว้าปะการังราชันย์มาได้ คนๆบางคนยังรู้สึกขุ่นเคืองใจจากการต่อสู้ที่ใต้ทะเลและเสียพวกพ้องไป แต่จากกฏการแย่งชิงแล้ว พวกเขาไม่อาจต่อสู้กันได้อีกหลังจบการแย่งชิงปะการังราชันย์

สำหรับตระกูลหลง พวกเขาไม่ได้สูญเสียคนในตระกูลไปแม้แต่คนเดียว ถือว่าเป็นตระกูลที่โชคดีไม่น้อย

“โม่หรัน นี่มันค่อนข้างแปลก แล้วเจ้าหน้ากากนั่นล่ะ?”

คำถามนี้ถูกถามโดยชายชราเคราขาวที่มีท่าทางคับอกคับใจที่เพิ่งขึ้นมาจากทะเล เขาคือหมัดเทพหนานเต่า ฉีเสี่ยวหยูแห่งหมัดเทพทวารา

“ตายแล้ว!”

หลงโม่หรันตวัดสายตาเยียบเย็นไปรอบๆ เพื่อสั่งให้คนตระกูลหลงถอนตัวกลับ ด้วยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากผู้ฝึกยุทธ์ของหมัดเทพทวารา แน่นอนว่าเขาย่อมจงเกลียดจงชังฉีเสี่ยวหยูด้วยเช่นกัน

ฉีเสี่ยวหยูมองดูหลงโม่หรันที่กำลังเดินจากไปแล้วคิดในใจว่า ดูเหมือนหลงโม่หรันก็ไม่ได้ปะการังราชันย์มา

คือว่ามันจะถูกฝังไปพร้อมกับเจ้าหน้ากากนั่นที่ก้นทะเลแล้ว?

ชายชราหันไปมองที่ผิวน้ำทะเล คลื่นทะเลยังคงปะทุอย่างรุนแรงอยู่อย่างต่อเนื่อง มันดูราวกับว่าสภาพอากาศอันเลวร้ายนี้จะเป็นเช่นนี้ตลอดไป ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งใดที่ทำให้เกิดสภาพอากาศที่ผิดปกติและเต็มไปด้วยความอันตรายแบบนี้ได้

ฉีเสี่ยวหยูมั่นใจว่าหน่วย NSA ต้องเริ่มตรวจสอบเรื่องนี้แล้ว แต่ก็ดูจะยังไม่ทราบข้อมูลใดๆ

เขาควรไปตรวจสอบด้วยดีหรือไม่?

ชายชราครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ จากนั้นจึงหันตัวกลับและมุ่งไปยังทิศเหนือเพื่อกลับไปยังใจกลางของเขตเซี่ยงซาน เขาตั้งใจจะพักผ่อนเสียก่อน แล้วหลังจากนั้นค่อยคิดแผนการต่อไปว่าจะทำอย่างไรดี

สภาพอากาศในแถบทะเลจีนตะวันออกยังคงเลวร้ายลงอย่างต่อเนื่อง บางที มันอาจมีสมบัติสวรรค์อันใดกำเนิดขึ้นในที่ใดสักแห่งก็เป็นได้ นอกจากนี้ จากสภาพของความรุนแรง ดูเหมือนว่าสมบัติสวรรค์นี้จะล้ำค่ายิ่งกว่าปะการังราชันย์เสียอีก! ถ้าฉีเสี่ยวหยูสามารถเข้าไปสำรวจได้ล่ะก็ มันต้องตกเป็นของเขาแน่นอน

…………….

หลังจากที่เย่เฟิงจัดการกับหลงโม่หรันและคนตระกูลหลงอีกสองคนได้แล้ว เขาก็ยังคงมุ่งหน้าดำลงไปใต้ทะเลลึกอย่างต่อเนื่อง

ชายหนุ่มดำลงไปใต้ทะเลเพื่อต้องการรู้สาเหตุว่าทำไมสภาพอากาศถึงได้เลวร้ายลงเช่นนี้ หากเขาได้พบกับซูเฟยหยิ่ง มันคงไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านี้อีกแล้ว

ในตอนนี้ไม่มีคนกลุ่มไหนไล่ล่าเขาอีกแล้ว เย่เฟิงจึงค่อนข้างผ่อนคลาย เหลือเพียงแต่สภาพแวดล้อมอันแปลกประหลาดของก้นทะเลที่ยังคงรบกวน แต่สำหรับชายหนุ่มแล้ว เขาเคยเผชิญหน้ากับสภาพแวดล้อมที่อันตรายยิ่งกว่านี้นับร้อยๆครั้งในตอนยังอยู่ที่โลกเทวะ แม้แต่ในช่วงที่ติดตามซูเฟยหยิ่ง เขาก็มีประสบการณ์ในสภาพอากาศเช่นนี้มานับครั้งไม่ถ้วน

เย่เฟิงมุ่งหน้าลงในทะเลลึกต่อไป ยิ่งลงไปลึกเท่าไหร่ น้ำทะเลก็ยิ่งหนาวเย็นมากขึ้นเท่านั้น ขณะที่ทั่วทั้งท้องทะเลถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง ในเวลานี้ ชิ้นส่วนน้ำแข็งได้ปรากฏมากขึ้นไปอีก ถึงแม้ว่าเขาจะมีสัมผัสที่รวดเร็วยามอยู่ใต้น้ำก็ไม่อาจหลบพ้นได้ทั้งหมด เป็นเหตุให้เกิดบาดแผลขึ้นไม่น้อย

มีครั้งหนึ่งที่เศษน้ำแข็งชิ้นใหญ่ราวกับสิ่งก่อสร้างได้พุ่งเข้ามาหาเขา ชายหนุ่มจึงจำเป็นต้องทำบางสิ่งเพื่อหลบมันให้พ้น แต่ในเวลานั้นเอง เขาพลันรับรู้ได้ว่าเศษน้ำแข็งชิ้นใหญ่ได้แตกออกเป็นชิ้นที่เล็กลงด้วยผลของคลื่นน้ำที่ปั่นป่วน

เพราะด้วยเศษน้ำแข็งที่แตกหักมากมายเหล่านั้น มันทำให้ใต้ทะเลลึกนี้ถูกปกคลุมไปด้วยสิ่งที่เหมือนกับมีดอันแหลมคมมากมาย ก้นทะเลที่นี่คือสถานที่แห่งความตายอย่างแท้จริง

สุดท้าย เย่เฟิงก็ถูกบังคับให้ต้องใช้ทักษะที่เขาไม่เคยใช้มานาน ทันใดนั้น เจินชี่ที่มีก็พวยพุ่งออกมานอกร่างกายแล้วก่อตัวเป็นเกราะคุ้มกัน ที่ป้องกันการโจมตีจากเศษน้ำแข็งทั้งหลาย

เกราะคุ้มกันนี้บริโภคเจินชี่เป็นปริมาณมหาศาล ดังนั้นมันจึงใช้งานได้ไม่นาน แต่ถ้าเย่เฟิงมีระดับวรยุทธ์ที่สูงยิ่งกว่านี้ เขาก็จะสามารถใช้ทักษะนี้ได้นานขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้น น่าเสียดายที่ระดับวรยุทธ์ของเขายังไปไม่ถึงขั้นนั้น

ชายหนุ่มมุ่งหน้าต่อไปเรื่อยๆ พร้อมกับระยะห่างจากฝั่งทะเลที่เพิ่มมากขึ้น

20กิโลเมตร

30กิโลเมตร…….

ในที่สุด หลังจากว่ายน้ำมาไกลกว่า 30 กิโลเมตร บางสิ่งบางอย่างก็ปรากฏขึ้นมาในระยะการรับรู้ของทักษะสัมผัสวิญญาณ มันเหมือนกับสัตว์ประหลาดที่ปรากฏขึ้นตรงหน้า ทั่วทั้งก้นทะเลแห่งนี้ถูกขวางไว้ด้วยกำแพงน้ำแข็งอันใหญ่ยักษ์!

โดยไม่รู้ตัว เย่เฟิงมาถึงตำแหน่งที่หน่วย NSA ได้ตรวจพบก่อนหน้านี้ ซึ่งมันตั้งอยู่ในตำแหน่งที่ห่างออกไป 20 ไมล์ทะเลจากชายฝั่ง

เกาะภูเขาน้ำแข็งอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว!

มันเป็นภาพที่น่าตกใจจนทำให้ชายหนุ่มถึงกับผงะ เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะเกาะภูเขาน้ำแข็งอันมโหฬารอยู่บนโลกใบนี้ได้ อีกอย่าง ที่แห่งนี้ไม่ใช่ขั้วโลกเหนือหรือขั้วโลกใต้ แต่มันกลับปรากฏสิ่งนี้อยู่ได้อย่างน่าทึ่ง

กำแพงน้ำแข็งที่ตั้งอยู่ด้านหน้าของเย่เฟิงนี้ได้ขวางทางเขาเอาไว้ ในก้นทะเลที่มืดมิด ผิวของกำแพงน้ำแข็งเรืองแสงสีขาวอ่อนๆไปทั่ว ทำให้มันกลายเป็นสิ่งที่ดูมหัศจรรย์ใจเป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ ชายหนุ่มยังพบว่าที่นี่ไม่มีสิ่งมีชีวิตใดอยู่เลยแม้แต่อย่างเดียว คงเป็นเพราะว่าสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันทำให้พวกมันรีบหนีออกไปจากที่นี่

สัญชาตญาณของสัตว์ทั้งหลายนั้นเฉียบคมกว่ามนุษย์เสมอ

กำแพงน้ำแข็งทั้งหมดกำเนิดขึ้นมาจากใต้ทะเลลึก โอบล้อมเป็นวงกลมคล้ายกับถังเหล็กโดยที่มันก่อตัวสูงขึ้นไปเหนือระดับน้ำทะเลเป็นเหมือนฐานรากของเกาะภูเขาน้ำแข็งแห่งนี้

แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เกาะแต่เป็นชั้นของเปลือกน้ำแข็ง

สิ่งที่น่าสนใจคือ ชั้นน้ำแข็งนี้มีพลังงานประหลาดที่ไม่เพียงปิดกั้นการตรวจจับทางดาวเทียมของหน่วย NSA แต่ยังสามารถขวางกั้นทักษะสัมผัสวิญญาณของเย่เฟิงได้ด้วย ทำให้เขาไม่สามารถรู้ได้เลยว่ามีสิ่งใดอยู่ภายในชั้นน้ำแข็งที่หนาแน่นแห่งนี้

“กระบี่เจินชี่!”

ด้วยที่ได้ดูดซับปะการังต้นเล็กอีกครั้งแล้ว เย่เฟิงจึงไม่ลังเลที่จะใช้กระบี่ของเขาตัดผ่านกำแพงน้ำแข็งนี่เสีย

อย่างไรก็ตาม ความแข็งแกร่งของกระบี่เจินชี่ในน้ำนั้นยังเทียบไม่ได้กับตอนที่ใช้บนบก แต่ก็ไม่ใช่สิ่งที่จะดูแคล้นได้ เมื่อรังสีกระบี่สีน้ำเงินปะทะเข้ากับกำแพงน้ำแข็ง มันสร้างเพียงรูโหว่เล็กๆเท่ากำปั้นบนกำแพงน้ำแข็งเท่านั้น

ไม่นานนัก สภาพอากาศที่เย็นจัดภายในกำแพงน้ำแข็งก็ซ่อมแซมรูโหว่จนกลับมามีสภาพดังเดิมได้อย่างรวดเร็ว!

“นี่มันคล้ายกับ……”

หัวใจเย่เฟิงพลันเต้นรัวเมื่อเขาพลันคิดถึงบางสิ่งที่มีความเป็นไปได้

……………..

แปลโดย Solar Spark