บทที่ 170: ขี้เถ้า (1)

 

 

 

“แฮ่ก… แฮ่ก”

นักล่าและการ์ดที่จับตัวประกันได้ได้รวมตัวกันเป็นวงกลมและหอบหายใจอย่างหนัก

พวกเขาได้ฝืนตัวเองเพื่อที่จะจับตัวประกันท่ามกลางการต่อสู้รุนแรง ดังนั้นแล้วพวกเขาจึงล้วนได้รับบาดเจ็บหนัก

‘บ้าเอ้ย ทำไมเราถึงได้กลายเป็นแบบนี้?’

การ์ด คาร์ลตันที่จับตัวประกันอยู่พลันกัดฟันกรอด

พวกเขาเต็มไปด้วยความเชื่อมั่นในชัยชนะตอนที่อัททิลลานได้ทำงานขึ้นอีกครั้ง

แต่ดาคิดัสคงจะไม่บอกให้พวกเขาทำแบบนี้ถ้าเขาชนะและอัททิลลานเป็นอย่างที่มันควรจะเป็น

ดาคิดัสแพ้

ยับเยินมากพอที่จะทำให้เขาต้องการตัวประกัน

‘เวรเอ้ย’

คนอื่นๆ รอบๆ เขาได้เริ่มล้อมรอบพวกเขาอย่างช้าๆ

จากกลิ่นอายโหดเหี้ยมของคนเหล่านั้น มือของคาร์ตันขยับกำไปรอบลำคอของตัวประกันแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัว

พวกนั้นไม่ได้โจมตีเขาราวกับว่าพวกนั้นสนใจตัวประกัน แต่ผลลัพธ์มันชัดเจนแล้วในตอนนี้

‘เวรเอ้ย! ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป…’

อาการบาดเจ็บที่เขาได้รับในระหว่างที่เขาฝืนตัวเองเพื่อที่จะจับตัวประกันในระหว่างการต่อสู้พลันปวดตุบ

สถานการณ์อันตรายและความเจ็บปวดได้ปะปนกันและสร้างความเร่งร้อนหัวเสียขึ้น

คาร์ลตันยกอาวุธหักๆ ในมือขวาของไปทาบยังลำคอของตัวประกันและตะโกนออกไป

“ไอ้พวกเวร! ถ้าแกไม่อยากเห็นนังนี่หัวขาดก็เปิดทางซะ!”

“โอ้ ไม่ แมคคิล! ไอ้สารเลว ปล่อยเธอนะ!”

คาร์ลตันที่กำลังจะเสียสติจากการที่หนึ่งในชาวนาที่ล้อมรอบเขาอยู่ด่าเขา                                                                                                                                       รู้สึกโกรธมากขึ้นไปอีก

“สารเลวเหรอ? แกอยากให้ฉันแสดงให้เห็นไหมว่าสารเลวที่แท้จริงมันเป็นยังไง นังบ้า?”

จะอย่างไรมันก็มีตัวประกันอีกมาก

ตราบเท่าที่พวกเขามีตัวประกัน คนรอบๆ ก็ไม่อาจที่จะโจมตีพวกเขาได้ง่ายๆ

เขาต้องแสดงให้พวกนั้นเห็นในตอนนี้

ว่าอะไรจะเกิดขึ้นถ้าพวกนั้นไม่หลบทางให้พวกเขา

“ดูให้ดีๆ! ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับนังนี่! ถ้าพวกแกยังไม่หลบทาง…”

แต่ขณะที่คาร์ลตันตะโกนออกไปและกำลังจะตัดหัวของผู้หญิงที่ชื่อว่าแมคคิล

ตูมมมมม!

เสียงดังสนั่นได้ดังขึ้นจากห่างออกไป

“…!”

คาร์ลตันชะงักไปหลังจากที่รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายอันโหดเหี้ยมและมองไปยังทิศทางที่เสียงนั้นดังขึ้น

จากนั้นจึงผวาไป

“เหวอออ!”

คลื่นสีเลือดลูกใหญ่ได้ถาโถมเข้ามาจากขอบฟ้าที่ฮันซูและดาคิดัสสู้กัน

“หวา…”

ทุกคนตื่นตระหนกขณะที่พวกเขาเห็นพายุสีแดงลูกใหญ่พุ่งเข้ามาหาพวกเขาจากซากปรักหักพังที่อยู่ห่างออกไป

พายุสีเลือดที่เพียงแค่มองเห็นก็ทำให้รู้สึกหวาดกลัว

คาร์ลตันเห็นมานาปริมาณมหาศาลอยู่ภายในพายุนั้นและแทบจะปล่อยลำคอของตัวประกันในมือแล้วถอยหลังไป

พายุที่เหมือนสึนามินั่นทำให้เขาหวาดกลัวมากขนาดนั้น

กลิ่นอายที่ทำให้เขารู้สึกว่ามันจะฉีกกระชากกระดูกของเขาเป็นชิ้นๆ เพียงแค่มันพัดผ่านเขาไป

แต่คาร์ลตันได้ฝืนอดกลั้นสัญชาตญานของเขาที่กำลังกรีดร้องให้เขาวิ่งหนีไปเอาไว้

เขาหนีไปแล้วจะทำอะไรได้?

เขาไม่รู้ว่าฮันซูทำอะไร แต่ฮันซูชนะและดาคิดัสแพ้

ฮันซูไม่มีทางปล่อยพวกเขาไป

ตัวประกันเป็นทางออกเดียวในการที่พวกเขาจะมีชีวิตอยู่

และคาร์ลตันเชื่อ

ว่าฮันซูจะไม่ฆ่าชาวบ้านทุกคนที่นี่รวมทั้งตัวประกัน

ขนาดของพายุสีแดงนั่นที่ไม่แบ่งแยกมิตรศัตรูมันใหญ่มากขนาดนั้น

‘มันก็แค่บังเอิญ บังเอิญ’

มันไม่มีทางที่ฮันซูนั่นจะฆ่าล้างทุกคนที่นี่

พวกเขาเป็นแบบนี้เพราะว่าพวกเขาไม่มีมานา แต่เมื่อมานาของพวกเขากลับมา ทุกคนที่นี่จะกลายเป็นกองกำลังขนาดยักษ์ในการที่จะต่อต้าน

มันอาจจะต่างออกไปสำหรับคนที่ต้องการจะต่อต้านเขา แต่การฆ่าคนจำนวนมากขนาดนั้นที่ตัดสินใจติดตามเขาเพียงแค่จะหารูนเพิ่มอีกไม่กี่ชิ้นเนี่ยนะ?

มันไม่มีทางที่ฮันซูจะทำเรื่องแบบนั้นถ้าสมองของเขายังทำงานเป็นปกติอยู่

‘บ้าเอ้ย… นั่นถึงจะเป็นเหตุเป็นผล’

แต่พายุนั่นทำให้เขาอยากจะไม่สนใจหลักการทั้งหลายของเขาและหนีไป กลิ่นอายของพายุนั่นโหดเหี้ยมขนาดนั้นแหละ

แต่มันสายเกินไปแล้ว

เขาไม่อาจหนีได้อีกต่อไป

“ว๊ากกกกกก!”

ขณะที่คาร์ลตันมองไปยังสึนามิสีแดงที่พุ่งมาจนถึงหน้าเขาและขดตัวลงพร้อมกับกรีดร้องออกไป

วูบบบบบ

พายุสีแดงทำเพียงกวาดผ่านพวกเขาไป

ผ่านร่างของคาร์ลตันที่ยังคงกำลำคอของแมคคิลแม้ว่าจะกำลังขดตัวอยู่

รวมทั้งแมคคิลที่หมดสติไปโดยคาร์ลตัน

ความจริงแล้ว ทุกคนได้ขดร่างกายของพวกเขาลงเป็นลูกบอลหรือนอนลงกับพื้น

เพื่อที่จะปกป้องตนเองจากพายุลึกลับที่ปรากฏขึ้นอย่างกะทันหัน

วูบบบบ

สึนามิสีแดงทำเพียงแค่กวาดผ่านร่างของทุกคน

และจากนั้นการเปลี่ยนแปลงก็เกิดขึ้น

พายุสีแดงที่เมินเฉยต่อซากปรักหักพังและยังคงพุ่งต่อไปพลันเริ่มที่จะมุ่งเป้าไปยังสิ่งมีชีวิตขณะที่มันเริ่มรวมตัวกัน

วูบบบบบ

มันเหมือนกับพายุตอนที่มันพุ่งผ่านไป แต่เมื่อมันรับรู้ได้ถึงสิ่งมีชีวิต เศษเสี้ยวของพายุได้ปลิวไหวราวกับหมอกที่ต้องสายลมขณะที่พวกมันเริ่มจะล้อมรอบผู้คนที่อยู่ในหมู่บ้านอย่างเชื่องช้าแต่ว่าระมัดระวัง

และไม่ช้า ร่างกายของทุกคน รวมทั้งคาร์ลตันก็ได้ถูกล้อมรอบด้วยเมฆสีแดง

‘อึก…’

คาร์ลตันไม่ชอบเมฆสีแดงที่ลอยคว้างอยู่รอบกายของเขา แต่ตอนนี้เขาก็ถอนหายใจอย่างโล่งอกออกไปได้

ในเมื่อมันไม่ได้ดูเหมือนว่ามันจะเป็นอันตรายต่อเขาในตอนนี้

และเมื่อมองมันให้ละเอียด เศษเสี้ยวที่เหมือนกับผงแป้งเหล่านี้ที่กำลังลอยฟุ้งอยู่รอบๆ ก็ดูสวยไม่น้อย

‘ใช่แล้ว ถ้ามันเป็นแค่เรื่องหลอก…’

ขณะที่คาร์ตันกำหมัดแน่นและมองไปยังเมฆสีดำที่ล้อมรอบตัวเขาและแมคคิล

เศษเสี้ยวสีแดงเล็กๆ ที่คาร์ลตันชื่นชม สปอร์ กำลังสื่อสารกันอย่างต่อเนื่อง

 

 

 

‘ดี’

ฮันซูอ้าแขนของเขาออกจากความรู้สึกที่ส่งมาถึงร่างของเขาและจากนั้นจึงมองไปยังท้องฟ้า

พวกมันไม่อาจแม้แต่จะเรียกว่าสปอร์ได้อีกแล้ว

เศษเสี้ยวเล็กๆ สีแดงที่ได้กลายเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กด้วยตัวมันเองได้หลอมรวมและสื่อสารด้วยสัญญาณไฟฟ้าอย่างต่อเนื่อง

สปอร์นับล้านล้านได้กวาดไปทั่วทั้งอากาศ สัมผัส รับรู้ และตรวจสอบทุกมุมของโลกใบนี้ขณะที่พวกมันส่งข้อมูลที่พวกมันรวบรวมมากลับไป

และสัญญาณที่พวกมันส่งกลับมาผ่านสปอร์อื่นๆ แล้วมุ่งตรงไปยังฮันซูด้วยความเร็วราวกับฟ้าผ่า

และสัญญาณเหล่านี้ได้ถูกสร้างขึ้นใหม่ภายในศีรษะของฮันซูอีกครั้ง

พื้นที่ที่เหมฆสีแดงได้กวาดผ่านสามารถสัมผัสได้อย่างชัดเจน ราวกับว่ามันคือส่วนหนึ่งในร่างของเขา

ความรู้สึกที่ร่างกายของเขาได้ถูกขยายออกไป

เขาสามารถรับรู้ถึงแมคคิลที่กำลังหมดสติ รวมทั้งการ์ดที่กำลังกระวนกระวายและมองไปรอบๆ อย่างงุนงงขณะที่จับตัวเธอเอาไว้

เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความโกรธเกรี้ยวของดาคิดัสที่ใกล้ตายและเอคิดูที่กำลังมองไปรอบๆ ด้วยความตื่นตระหนก

เขาสามารถรับรู้ได้ถึงความกระวนกระวายและไม่เป็นมิตรของคนนับพันที่มีต่อกันได้ และสามารถแยกแยะได้อย่างชัดเจนว่าใครคือมิตรของเขา

แต่ฮันซูที่ยืนโดยอ้าแขนออกกว้างได้กุมศีรษะที่เต้นตุบของเขาขณะที่เขาทรุดลงคุกเข่า

‘… ทนไม่ไหวแล้ว’

นี่มันเป็นข้อมูลที่เกินกว่ามนุษย์คนไหนจะสามารถรองรับได้

ไม่สิ ปริมาณของมันไม่ใช่สิ่งที่เขาสามารถรอบรับได้ด้วยความสามารถในตอนนี้

เขาได้ฝืนวิวัฒนาการคมมีดระบาดด้วยปริมาณของมานาที่สามารถหลอมละลายร่างของเขาลงได้อย่างง่ายดายถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายของเขาได้รับการเสริมพลังจากอัททิลาน

เขาไม่อาจกระทั่งสร้างของพวกนี้ขึ้นได้ด้วยมานาเดิมของเขา

อืม เขาอาจจะใช้พวกมันได้ แต่เขาไม่สามารถที่จะครอบคลุมบริเวณกว้างขนาดนั้นได้

ผลที่เขาไม่อาจรับมือได้ที่ถูกสร้างขึ้นจากมานาปริมาณมหาศาล

‘จบมัน’

เขาได้แยกแยะระหว่างมิตรและศัตรูของเขาไปแล้ว

หมับ

ทันทีที่ฮันซูที่กำลังคุกเข่าอยู่กำมือ

ความต้องการของฮันซูได้แพร่กระจายไปทั่วทั้งเมฆสีแดงและกระจายไปทุกทิศทาง

 

 

 

วูบบบบบบ

“หือ? หืออออ?”

คาร์ลตันอุทานออกมาเสียงดังอย่างไม่รู้ตัวเมื่อเขาเห็นว่าเมฆสีแดงได้กระตือรือร้นขึ้นอย่างกะทันหัน

เมฆสีแดงที่ล้อมรอบแมคคิลอยู่เมินเธอและพุ่งมาหาเขาแทน

ไม่สิ มันไม่ใช่แค่เมฆที่อยู่รอบร่างของแมคคิล แต่เป็นทุกเศษเสี้ยวสีแดงรอบๆ เขาที่พุ่งเข้ามาหาเขา

เหมือนกับมดคันไฟที่มุ่งตรงไปยังเป้าหมายของมัน

‘ตัวประกัน…’

คาร์ลตันที่กำมือที่จับคอของแมคคิลแน่นขึ้นอย่างไม่รู้ตัวพลันหยุดชะงักลง

เพราะความคิดนั้นมันโง่มาก

‘ฉันจะใช้ตัวประกันไปทำอะไรได้’

เขาจะข่มขู่ไอ้เมฆสีแดงนั่นหรืออะไรแบบนั้นรึไง?

ว่าเขาจะหักคอของตัวประกันถ้าพวกมันไม่ออกไปจากร่างของเขา?

“ไอ้ฉิบหายเอ้ย!”

ตัวประกันไม่สำคัญอีกต่อไป

คาร์ลตันรู้สึกกระวนกระวายกับเมฆสีแดงที่ล้อมรอบร่างของเขาและพยายามจะหลบหนีออกไปจากพวกมันโดยไม่รู้ตัว

แต่มันสายเกินไปแล้ว

วูบบบบบ

เศษเสี้ยวที่ลอยอยู่รอบร่างของคาร์ลตันได้พุ่งเข้าไปหาคาร์ลตันอย่างดุดัน

เหมือนกับฝุ่นที่ถูกดึงดูดโดยแม่เหล็ก

ในเวลาเพียงเสี้ยวพริบตา ร่างของคาร์ลตันก็ถูกล้อมรอบโดยพวกมันหัวจรดเท้าราวกับว่าเขากำลังถูกห่ออยู่ในกระสอบสีแดง

ในเวลาเดียวกัน

“อ๊ากกกกกก! โอ้ยยย!”

คาร์ลตันเริ่มที่จะกรีดร้องออกมา

ไม่ใช่แค่คาร์ลตัน แต่เป็นทุกคนรอบๆ เขาที่อยู่ฝ่ายดาคิดัส

ไม่มีแม้แต่คนเดียวที่ถูกละเว้น

ทุกคนที่สู้เพื่อดาคิดัสและทำร้ายหรือจับชาวนาเป็นตัวประกันล้วนกรีดร้องออกมาเหมือนกับคาร์ลตันพร้อมกับกลิ้งไปมาบนพื้น

และทุกคนที่หลุดออกมาจากเมมฆสีแดงก็ทำเพียงมองภาพนั้นด้วยสีหน้าว่างโล่ง

“อ๊ากกกกก!”

“เวรเอ้ย! ทำไมพวกมันถึงไม่หลุด!”

ผู้คนกรีดร้องออกมาด้วยความทรมานขณะที่กลิ้งเกลือกไปมาบนพื้น

ราวกับว่าพวกเขากำลังพยายามสลัดแป้งสีแดงนั้นออกไปจากตัว

แต่ความพยายามของพวกเขามันไร้ค่า

แป้งสีแดงที่ครอบคลุมทั่วร่างของเขาไม่มีความคิดที่จะหลุดออกไป

และทุกคนที่มองภาพนั้นอยู่ก็แสดงสีหน้าที่มีความหวาดกลัวปะปนอยู่ออกมา

“อ๊า…”

ภาพของมนุษย์ที่ถูกกัดกิน

ด้วยผงสีแดง

อืม มันอาจจะไม่ได้กินพวกเขาเข้าไป

ในเมื่อผงเล็กๆ แบบนั้นไม่น่าจะมีปาก

แต่มันไม่มีคำไหนที่จะเหมาะสมไปกว่าการกินหรือกลืนเข้าไป

ผู้คนไม่ได้กลิ้งเกลือกจากความเจ็บปวดทั่วๆ ไป

พวกเขากำลังถูกลบออกไปจริงๆ

อย่างช้าๆ จากภายนอก

ผิวหนังหายไปและกล้ามเนื้อได้ปรากฏออกมา

เส้นเลือดหายไปและกระดูกที่อยู่ข้างใต้ได้ปรากฏออกมา

มันอาจจะเป็นเรื่องปกติที่เลือดจะไหลออกมา แต่กระทั่งเลือดก็กำลังถูกกลืนกิน

ความจริงแล้ว แม้ว่ามันจะมีเลือด พวกเขาก็คงสังเกตไม่เห็น

ในเมื่อผงสีแดงที่กำลังกัดกินมนุษย์นั้นมีสีแดงเหมือนเลือดอยู่แล้ว

“อึกกก… อั่กกก”

เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นจากทั่วทุกทิศทางเริ่มลดจำนวนลงอย่างช้าๆ

ในเมื่อกระทั่งกล่องเสียงของพวกเขาที่ใช้ในการกรีดร้องก็ถูกกินไป

และการเปลี่ยนแปลงที่ราวกับภัยพิบัติก็หยุดลง

วูบบบบบ

ผงสีแดงที่กัดกินคนนับพันเข้าไปได้ถูกดูดลงไปในพื้น…

และพื้นที่ที่คนเหล่านั้นกลิ้งเกลือกก็กลายเป็นความว่างเปล่าราวกับห้องโถงหลังงานเลี้ยง

มันมีร่องรอยของมนุษย์อยู่ แต่ไม่มีร่างของมนุษย์

อาร์ติแฟคที่ไร้เจ้าของและรูนเป็นเพียงสิ่งเดียวที่ยืนยันว่าเหตุการณ์เมื่อครู่ไม่ใช่ความฝัน

“…”

ผู้คนที่ถูกจับเป็นตัวประกันรู้สึกว่าอาร์ติแฟคเหล่านั้นทำให้พวกเขานึกถึงการ์ดที่มีตัวตนอยู่ข้างๆ พวกเขาแค่เมื่อครู่

และจากนั้นจึงลบล้างความหนาวเยือกที่แล่นไปตามไขสันหลังของพวกเขาออกไป

นี่คือเรื่องดี

คนทรยศทั้งหมดได้ถูกจัดการ และทุกคนที่ถูกจับถูกปล่อยออกมาอย่างปลอดภัย

ดาคิดัสน่าจะตายไปแล้วในเมื่อพวกเขากระทั่งได้รับอัททิลลานมา พวกเขาแค่ต้องขึ้นไปยังเขตต่อไป

ไม่มีอะไรที่จะดีไปกว่านี้แล้ว

แต่แม้ว่าจะเป็นเช่นนั้น ความรู้สึกอีกอย่างกลับปรากฏขึ้นจากส่วนลึกในจิตใจของพวกเขาและกวาดผ่านร่างของพวกเขา

ความกราดเกรี้ยวหายไป ความหวาดกลัวเข้ามาแทนที่

คาร์ฮาลแสดงสีหน้าซับซ้อนออกมาขณะที่เขามองไปยังฮันซูที่เดินผ่านซากปรักหักพังอันเงียบงันพร้อมพยายามลบล้างความกลัวที่เขารู้สึกออกไป