บทที่ 161: ไร้กฎ (2)

 

 

 

เฮลลัมเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา

“นี่ถือเป็นการท้าทายรึเปล่า? ดูเหมือนว่านายจะตื่นเต้นมากไปหน่อยที่ได้เป็นนักล่านะ…”

ฮันซูหัวเราะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“อย่าทำเหมือนว่านายมาทำหน้าที่การ์ดเลย”

คนอื่นๆ ทำตัวแบบนั้นเพราะว่าพวกเขาถูกพวกการ์ดกดขี่มานานเกินไป

ทุกคนสามารถรู้ได้หากคิดสักนิด

ดาคิดัสได้บอกอย่างชัดเจนว่ามันไม่มีกฎใดๆ ในระหว่างเกมล่าสมบัติ

ซึ่งหมายความว่ากฎทั้งหมดของมนุษย์ล้วนถูกเมินเฉย

ความจริงแล้ว ถ้ามีใครบางคนพยายามจะเข้ามาแทรกแซงเกมด้วยการรักษากฎนั่นไว้ งั้นดาคิดัสคงลงมือกำจัดคนเหล่านั้นก่อน

หมอนั่นแค่มาด้วยความต้องการของตนเอง

สีหน้าของเหล่านักล่าเริ่มเลวร้ายลงเมื่อได้ยินคำพูดของฮันซู

พวกเขาตระหนักได้ในที่สุดว่าเฮลลัมไม่ได้มาเพื่อที่จะรักษากฎของหมู่บ้าน

‘บ้าเอ้ย… เพราะมันมีช่องว่างมาก กระทั่งการ์ดเลยลงมือด้วย’

เหล่านักล่ากัดฟันกรอด

การ์ดไม่เคยออกมาไม่ว่าผู้รวบรวมจะเล่นเกมแบบไหน

แต่พวกเขาได้เข้ามายุ่งด้วยเมื่อดาคิดัสได้เริ่มเกมที่ค่อนข้างยิ่งใหญ่ขึ้นเพราะการขาดแคลนมนุษย์ที่เขาจะรวบรวมได้ในครั้งนี้

เฮลลัมเดาะลิ้นขณะที่มองไปยังคนเหล่านั้น

‘ชิ’

เขาอยากจะเก็บสมบัติแล้วจากไปอย่างรวดเร็วในขณะที่พวกนั้นยังคงสับสนอยู่ แต่พวกนั้นรู้ตัวแล้ว

และหากเป็นแบบนี้ต่อไปมันจะอันตราย

‘คนเดียวยังไม่เป็นไร แต่… ถ้าพวกนั้นเข้ามาพร้อมกันหมดมันจะอันตราย’

ถ้าแผน A ล้มเหลว งั้นเขาก็แค่ต้องใช้อีกแผนหนึ่ง

เฮลลัมหัวเราะขณะที่เขาตะโกนออกไป

“เฮ้ พวกนาย ฉันขอโทษที่พยายามจะหลอกพวกนาย แต่ตื่นหน่อยเถอะ พวกนายจะทำยังไงต่อหลังจากที่เรื่องมันจบลงแล้ว?”

“อะไรนะ?”

“มีแค่หนึ่งในพวกนายที่จะได้รับสมบัติ แค่คนเดียว มีพวกนายสักคนไหมที่มั่นใจว่าจะได้สมบัติสักชิ้น?”

“…”

ทุกคนแสดงสีหน้าขมขื่นออกมาเมื่อได้ยินเช่นนั้น

พวกเขาได้พุ่งเข้ามาเพราะมูลค่าของสมบัติมันประเมินไม่ได้ และดาคิดัสได้ล่อลวงพวกเขา แต่พวกเขาไม่มีความมั่นใจเลยแม้แต่น้อย

และนี่เป็นเหตุผลให้พวกเขาไม่ต่อสู้กันเองจนถึงตาย

ในเมื่อพวกเขาจะต้องรับมือกับพายุที่เหลือด้วยตัวเองถ้าพวกเขาไม่อาจครอบครองมันได้

พวกเขาไม่มีความมั่นใจในการเอาชนะฮันซูที่อยู่ด้านหน้าพวกเขา

เฮลลัมเอ่ยขึ้นไปยังเหล่านักล่า

“ดังนั้นมาสร้างพันธมิตรกันเถอะ”

“พันธมิตร?”

“ใช่แล้ว เราจะเอามันไปที่กลางหมู่บ้านด้วยกัน”

หนึ่งในนักล่าถุยน้ำลายลงพื้นก่อนจะเอ่ยขึ้น

หมอนั่นแข็งแกร่ง แต่ว่าหมอนั่นก็ยังคงไม่อาจจะต้านรับได้ถ้าพวกเขาทั้งหมดโจมตีพร้อมกัน

นั่นเป็นสาเหตุให้หมอนั่นพยายามเอ่ยโน้มน้าว

“ให้ใครล่ะ? นายแค่จะ…”

เฮลลัมส่ายศีรษะ

“มันมีกฎที่บอกว่าความปรารถนาสามารถใช้ได้ให้กับคนแค่คนเดียวด้วยเหรอ? เราแค่ต้องปรารถนาอะไรบางอย่างที่พวกเราทุกคนสามารถได้ผลประโยชน์จากมัน สร้างพันธมิตรขึ้นโดยมีฉันเป็นศูนย์กลางสิ ถ้าเรารวมกลุ่มกันกับคนมากขนาดนี้ งั้นคนอื่นๆ ก็คงจะไม่อาจโจมตีเราได้ง่ายๆ เหมือนกัน มันจะปลอดภัยกว่ามาก”

“หืมมม…”

“มีใครอยากจะตายในครั้งนี้รึเปล่าล่ะ? เสี่ยงน้อยกับรางวัลน้อยๆ ดีกว่า มันอาจจะไม่ดีเท่ากับการครอบครองไว้คนเดียว แต่… มันก็ไม่แย่ใช่ไหมล่ะ? ถ้าฉันขออะไรแปลกๆ ก็ค่อยโจมตีฉันแล้วกัน”

มันค่อนข้างเป็นข้อเสนอที่ดึงดูดใจ

แต่หนึ่งในนักล่าขมวดคิ้วก่อนจะเอ่ยขึ้น

“แต่ถ้าเรื่องมันจบลงแล้วล่ะ? ถ้าเรายังอยู่ งั้นคาริม หัวหน้าการ์ด ก็อาจจะลงโทษพวกเราก็ได้”

เฮลลัมหัวเราะ

“เรากำลังทำรัฐประหารหรืออะไรแบบนั้นอยู่รึไง? พวกนั้นจะพูดอะไรได้ถ้าเราแค่เอามันไปที่นั่นอย่างเงียบๆ?”

“หืมมม…”

เหล่านักล่าเริ่มผงกศีรษะ

เมื่อคิดดูแล้ว มันไม่ใช่ว่าพวกเขาได้ทำผิดมหันต์อะไร

พวกเขาก็แค่สู้กับนักล่าด้วยกันเอง

นั่นคือสิ่งที่มากที่สุดเท่าที่เกิดขึ้น

เฮลลัมแสดงสีหน้าพึงพอใจออกมาในขณะที่มองเหล่านักล่าผงกศีรษะแล้วจึงเอ่ยไปยังฮันซู

“นายเองก็ควรมากับเราด้วย ฉันจะให้อภัยที่นายโจมตีฉันแล้วกัน”

ตอนนี้ นักล่าคนอื่นๆ และการ์ดทั้งหมดคือคู่แข่ง

ถ้าพวกเขาจะรวมตัวกัน งั้นยิ่งมีคนที่แข็งแกร่งเท่าไหร่มันก็ยิ่งดีเท่านั้น

ในเมื่อสถานการณ์ที่ดีที่สุดคือการนำเอาสมบัติไปได้โดยที่ไม่เกิดการต่อสู้ขึ้นแม้แต่น้อย

‘และ… เขาก็ไม่ได้ดูเอาชนะได้ง่ายๆ’

แขนที่ถือโล่เอาไว้ของเขายังคงชาหนึบ

ฮันซูครุ่นคิดไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยขึ้นกับเฮลลัม

“การ์ดทุกคนอยู่ในสถานการณ์คล้ายๆ กับนายรึเปล่า?”

“อืมม… ใช่”

ทุกคนที่มีสมองน่าจะคิดได้

ถ้าพวกเขาพยายามจะทำตัวมีศีลธรรมในสถานการณ์แบบนี้ พวกเขาก็จะมีเพียงแต่เสียเปรียบ

ในเมื่อพวกเขาไม่อาจที่จะรั้งอยู่ในหมู่บ้านเพียงเพื่อแค่รักษาหมู่บ้านเอาไว้ได้

มันก็แค่ว่าพวกเขามีสิ่งที่สัญญาเอาไว้กับหมู่บ้านอยู่

‘มันเป็นโอกาสดีสำหรับวาสนาอันดีก่อนที่จะออกจากหมู่บ้าน’

นี่คือสิ่งที่เฮลลัมเชื่อมั่นอย่างที่สุด

ในเมื่อเขาไม่ใช่คนเดียวที่ทำแบบนี้

ถ้าดาคิดัสจะลงโทษพวกเขา งั้นอีกฝ่ายก็จะต้องกำจัดนักล่าและการ์ดไปอย่างน้อยครึ่งหนึ่ง

‘และนั่นเป็นไปไม่ได้’

ถ้าคนคนหนึ่งทำผิดพลาด งั้นพวกเขาก็จะถูกลงโทษ แต่ถ้าทุกอย่างระเบิดออกมาในระดับที่ใหญ่โตแบบนี้ งั้นมันก็จะไม่มีใครที่จะได้รับการลงโทษจริงๆ

เหมือนกับการที่เหตุการณ์ฟาร์มมนุษย์ของพื้นที่หนึ่งถูกจัดการอย่างเงียบๆ

ฮันซูครุ่นคิดถึงคำพูดของเฮลลัม

‘ซึ่งหมายความว่าหมู่บ้านในตอนนี้ไร้ซึ่งกฎอย่างสมบูรณ์’

สถานการณ์ที่หลุดออกจากการควบคุม

ไม่มีใครสามารถคาดเดาสิ่งที่เจ้าดาคิดัสนั่นจะทำและชาวบ้านจะตอบสนองอย่างไรได้อย่างสมบูรณ์แบบ

แต่สำหรับฮันซูแล้ว สถานการณ์ของหมู่บ้านในตอนนี้ไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น

ในเมื่อวิกฤตมักจะมาพร้อมกับโอกาสเสมอ

‘ดาคิดัส ไอ้หัวขโมยอวดดี ก่อนอื่นก็เล่นอย่างที่แกอยากให้ฉันเล่นก่อน’

เจ้าหมอนั่นกำลังจะต้องรับมือกับสิ่งที่เขาจะทำ

ในเมื่อเขาจะสร้างสถานการณ์ที่หมอนั่นอยากจะเห็นขึ้นอย่างชัดเจน

‘งั้นฉันก็ควรจะใช้มันในตอนนี้’

เมื่อฮันซูคิด

วูบบบบ

เมฆดำเริ่มจะเคลื่อนไหวอย่างดุดันภายใต้การควบคุมของฮันซู

 

 

 

“มันเป็นสถานการณ์ที่วุ่นวายจริงๆ”

คาร์ฮาล หัวหน้าของหน่วยพื้นที่หนึ่งเดาะลิ้นขณะที่เขามองไปยังหมู่บ้านที่ลุกท่วมไปด้วยเปลวเพลิง

และเซบาสเตียนนี่ สมาชิกหน่วยพื้นที่หนึ่งที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาก็ผงกศีรษะ

“จะยังไงก็เถอะ เราจะไม่เคลื่อนไหวงั้นเหรอ? ไม่ใช่ว่าเราควรจะทำอะไรบางอย่างด้วยเหรอ?”

ถ้าทุกคนจากหน่วยพื้นที่หนึ่งรวมพลังกัน งั้นการครอบครองสมบัติหนึ่งชิ้นก็จะเป็นเรื่องค่อนข้างง่าย

คาร์ฮาลส่ายศีรษะเมื่อได้ยินเช่นนั้น

“ทำไมเธอจะต้องไปเสียพลังกับเรื่องแบบนั้นด้วย? เราแค่แย่งมาจากพวกที่เอามันมาที่นี่ด้วยสภาพเหนื่อยล้าก็ได้ พวกนั้นไม่มีตัวเลือกอยู่แล้ว”

“หืมมม…”

เซบาสเตียนนี่เหลือบมองไปยังรอบกายเมื่อได้ยินคำพูดของคาร์ฮาล

ราวกับว่ามีคนจำนวนมากที่มีความคิดคล้ายคลึงกับพวกเธอ คนจำนวนไม่น้อยจึงได้รวมตัวกันรอบใจกลางหมู่บ้าน

พวกเขาได้เลือกเช่นนี้ในเมื่อมันค่อนข้างจะสายเกินไปในการไปล่าสมบัติ

มันมีทั้งข้อดีข้อเสียในตัวเลือกนี้

ข้อดีคือเหมือนกับที่คาร์ฮาลเอ่ย ถ้าพวกเขารออยู่ที่นี่ งั้นเหล่าคนที่เหนื่อยล้าก็จะพาสมบัติมาหาพวกเขาเอง

ในเมื่อดาคิดัสบอกพวกเขาให้เอามันมาที่นี่

แต่มันก็มีข้อเสียเช่นกัน

‘มันจะเป็นปัญหาถ้ามีคนที่แข็งแกร่งรวมตัวกันและมาที่นี่’

และตัวอย่างของพวกคนที่แข็งแกร่งนั่น การ์ด ก็ได้เคลื่อนไหวไปทั่ว

ซึ่งหมายความว่าพวกเขาควรจะเคลื่อนไหวและจัดการพวกนั้นมากกว่ารออาหารที่จะมา

‘มันจะจบลงแบบไหนกัน?’

ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น การปะทะคือสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

คว้างงงง

‘อึก…’

เซบาสเตียนนี่กุมศีรษะของเธอ

ในเมื่อแมลงในหัวของเธอเริ่มที่จะสั่นสะเทือน

แมลงสีดำที่ฮันซูหามาหลังจากที่ออกมาจากความมืด

สัตว์อสูรขั้นหก พีราดิโอน

สัตว์อสูรที่จะฝังตัวเองลงในศีรษะ กัดกินสมอง และพัฒนาไปเป็นสัตว์อสูรขั้นห้า

โดยปกติแล้วพีราดิโอนจะมีสีเขียว ไม่ใช่สีดำ และมันไม่อาจกระทั่งอาศัยอยู่ในศีรษะของคนที่มีรูนมากกว่า 15% ได้ด้วยซ้ำ

ในเมื่อพวกเขาสามารถจัดการมันได้ด้วยมานาของพวกเขา

แต่ไม่ว่าหมอนั่นจะทำอะไร มันได้แข็งแกร่งกว่าพีราดิโอนที่เขารู้จักมาก

<ฉันจะใส่มันเข้าไปในหัวของพวกนาย ในเมื่อฉันต้องมีวิธีการควบคุมอยู่บ้างเป็นอย่างน้อย>

มันมีเพียงสิ่งเดียวที่หมอนั่นเสนอ

<ฉันจะติดต่อพวกนายไปหลังจากนี้ด้วยไอ้นี่ ดังนั้นพวกนายก็แค่ต้องช่วยฉัน>

‘บ้าเอ้ย’

พวกเขาไม่ชอบการที่มีไอ้ตัวแบบนั้นมาอยู่ในหัวของพวกเขา แต่พวกเขาก็ไม่อาจทำอะไรได้ในเมื่อพวกเขาถูกจับในตอนที่เกือบจะถูกฆ่าแล้ว

ในพีราดิโอนนั่นก็กำลังสั่นสะท้านและกรีดร้องอยู่ภายในศีรษะของพวกเขา

ไปยังสมาชิกหน่วยพื้นที่หนึ่งทั้งสามสิบคน รวมทั้งคาร์ฮาล

‘ใช่แล้ว อย่างน้อยก็ฟังที่หมอนั่นจะพูดหน่อย’

คาร์ฮาลและเซบาสเตียนนี่ที่เริ่มฟังสิ่งที่ฮันซูเอ่ยพลันสบถออกมาเสียงดัง

“… ฉันรู้ว่ามันบ้า แต่ตอนนี้หมอนั่นมันเสียสติไปจริงๆ แล้ว”

กิ้งงงง

“อ๋า! ไม่ได้พูดถึงดาคิดัสนะ!”

คาร์ฮาลรีบตะโกนขึ้นไปด้านบน ลอบสบตากับนักล่ารอบๆ เขาก่อนจะกัดฟันกรอดพร้อมขมวดคิ้วแน่น

‘ใช่แล้ว มาดูหน่อยสิว่าหมอนั่นจะไปได้ไกลแค่ไหน’

คาร์ฮาลหยุดคิดและตะโกนไปยังนักล่าที่อยู่รอบๆ เขา

“เฮ้ ฟังทางนี้หน่อย! พวกเราจะรออยู่ตรงนี้อีกนานแค่ไหนกัน! ฟังนะ! พวกเราสามารถครอบครองของได้อีกหลายชิ้นถ้าเราเคลื่อนไหวแทนที่จะมัวมายืนอยู่ตรงนี้!”

มันมีไม่กี่คนที่สามารถเมินคำพูดของคาร์ฮาลที่เป็นหัวหน้าหน่วยของพื้นที่หนึ่งได้

ทุกคนฟังเสียงตะโกนของคาร์ฮาล

 

 

 

ส่วนที่ลึกที่สุดในพื้นที่สอง

เหนือโกดังยักษ์ที่ถูกป้องกันโดยไม้หนาหลายชั้น ผู้หญิงคนหนึ่งและคนอีกจำนวนหนึ่งได้ยืนอยู่

เอคิดูและการ์ดอีกจำนวนหนึ่งที่ยังไม่เสียสติไปกับความโลภ

เอคิดูขมวดคิ้วขณะที่เธอมองไปยังความวุ่นวายที่อยู่ห่างออกไป

‘บ้าเอ้ย…’

เธอได้ดูแลหมู่บ้านให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะเธอคิดว่าหมู่บ้านคือความหวังเดียวของเขตสีเหลือง

แม้ว่ามนุษย์จะต้องสูญเสียไปเรื่อยๆ คนจำนวนมากก็ยังคงมุ่งหน้าไปยังถนนสีเขียว

แต่หมู่บ้านนั่นได้ตกลงสู่ความวุ่นวายในเสี้ยววินาที

‘ไอ้หมาสารเลวเอ้ย’

เอคิดูที่ถอนหายใจขณะมองไปยังหมู่บ้านถอนหายใจอีกครั้งเมื่อเธอมองไปรอบๆ

การ์ดเองก็กำลังวุ่นวายกับการหาผลประโยชน์

เหมือนกับนักล่า

มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ในการควบคุมสถานการณ์นี้ด้วยพลังของคนเพียงแค่คนเดียว

เอคิดูครุ่นคิดว่าเธอควรจะออกไปหรือไม่ก่อนจะตัดสินใจ

ที่จะยืนอยู่ที่ตำแหน่งเดิมของเธอ

‘ฉันไปจากที่นี่ไม่ได้ การล่าสมบัตินี่จะจบลงในหนึ่งวัน แล้วเราค่อยเคลื่อนไหวหลังจากนั้น’

ภาพความวุ่นวายใหญ่โตได้เกิดขึ้นเพราะไอ้หมาเวรนั่น แต่ตราบเท่าที่ดาคิดัสหายไป ทุกอย่างก็จะสงบลง

มันจะดีกว่าในการซ่อมแซมหมู่บ้านกลับสู่สภาพเดิมหลังจากที่ทุกอย่างจบลง

‘และในเมื่อมีคนตายไม่มากเท่าไหร่… มันก็คงมีหลายอย่างให้ทำหลังจากที่ทุกอย่างจบลง’

เธอสามารถกระโดดลงไปได้ถ้าทุกอย่างเลวร้ายลง แต่ถ้าอยู่ในระดับนี้ มันก็ไม่มีเหตุผลให้เธอเข้าไปแทรกแซง

มันจะมีแต่เลวร้ายลงถ้าพวกเธอพยายามจะควบคุมสถานการณ์

‘ดาคิดัส แกคงรู้สึกผิดหวังไม่น้อย’

เอคิดูเหลือบมองไปยังท้องฟ้า

มันมีเหตุผลที่ชัดเจนว่าทำไมเขาถึงเล่นเกมแบบนี้

เขาต้องการจะทำให้ทุกอย่างวุ่นวายขึ้น แต่กับการที่มันจบลงแบบนี้

ในตอนนั้นเอง

เอคิดูรู้สึกได้ถึงความเย็นวาบที่แล่นไปตามไขสันหลัง

ในเมื่อดาคิดัสเริ่มหัวเราะ

ด้วยสีหน้าที่พึงพอใจอย่างมาก

ในตอนที่เอคิดูกำลังแสดงสีหน้ากระวนกระวายนั้นเอง

ตูมมมมม!

กำแพงของสิ่งก่อสร้างที่เอคิดูกำลังยืนอยู่ก็ระเบิดออก

พวกเขาแค่สร้างมันไว้ประดับเฉยๆ กำแพงไม้ไม่อาจต้านทานการโจมตีกะทันหันนั้นได้และระเบิดออกเป็นชิ้นๆ

และเอคิดูขมวดคิ้วก่อนจะมองไปยังชายที่เดินออกมา

‘ฮันซู?’

คนที่เธอกำลังจับตามองอยู่

ทำไมจู่ๆ หมอนี่ถึงได้ปรากฏตัวขึ้นที่นี่

เอคิดูเอ่ยขึ้นกับฮันซูที่เดินมาหาเธอ

“คุณคังฮันซู บริเวณนี้มันเกินขอบเขตแล้ว”

สถานที่ที่ได้รับการคุ้มกันอย่างแน่นหนาที่สุดไม่ใช่ที่อยู่ของเอคิดู หัวหน้าของหมู่บ้าน

ในเมื่อพวกเขาสามารถหาหัวหน้าคนใหม่ขึ้นมาแทนที่ได้ถ้าหายไปคนหนึ่ง

มันคืออีกที่หนึ่ง

คลังแสง

สถานที่ที่มีอาร์ติแฟคและไอเทมจำนวนมหาศาลที่หมู่บ้านได้เก็บรวบรวมมาตลอด 19 ปีเก็บเอาไว้

ไอเทมที่พวกเขาทำได้เพียงแค่ให้การ์ดและนักล่ายืม เพราะกระทั่งตัวหมู่บ้านเองก็ยังยากที่จะรวบรวมมาได้

ที่อื่นจะโดนปล้นไปแค่ไหนก็ได้ แต่ไม่ใช่ที่นี่

มันมีเหตุผลที่ทำให้เอคิดูวิ่งมาที่นี่ท่ามกลางความวุ่นวาย

ทันทีที่เอคิดูตะโกนใส่ฮันซู

ครืนนนน!

กำแพงไม้อีกส่วนหนึ่งก็ระเบิดออกและร่วงลงมาด้านหลังฮันซู

และนักล่าที่รวมตัวกัน

มีอย่างน้อยร้อยกว่าคน

‘คาร์ฮาล สมาชิกหน่วยพื้นที่หนึ่ง… และนักล่าคนอื่นๆ ด้วย เขาไม่ได้มาคนเดียวงั้นเหรอ’

เอคิดูขมวดคิ้ว

ในเมื่อในที่สุดเธอก็ตระหนักได้ถึงสิ่งที่ฮันซูพยายามจะทำ

ไอเทมของหมู่บ้านที่คนนับพันได้เก็บรวบรวมมาตลอด 19 ปี

ถ้าเขาสามารถขโมยพวกมันทั้งหมดไปได้ งั้นมันก็จะสร้างผลประโยชน์มหาศาล มากมายยิ่งกว่าการหาเพชรเจอเสียอีก

‘… เขาเป็นโจรงั้นเหรอ อืม ที่นี่ก็มีการ์ดแค่ไม่กี่คนมาคอยขวางนายอยู่แล้ว’

มันเหลือการ์ดไม่มาก

แต่เธออยู่ที่นี่

‘ฉันจะทำให้นายเสียใจในไม่ช้า’

พวกนั้นปรากฏตัวขึ้นอยู่เสมอ

คนที่พยายามจะแย่งชิงทรัพย์สินของหมู่บ้าน

การป้องกันของเหล่านั้นและรักษาหมู่บ้านเอาไว้คือหน้าที่ของเธอ

ทันทีที่เอคิดูกำหมัดแน่น

ตูมมมม!

คลื่นมานาได้ระเบิดออกมาจากร่างของเอคิดู

หลังคาสิ่งก่อสร้างที่เอคิดูยืนอยู่ได้ระเบิดออกกระจัดกระจายไปทุกทิศทาง

ครืนนนนน

เอคิดูมองไปรอบๆ ด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

ถ้าที่แห่งนี้ถูกปล้น งั้นทุกอย่างก็จะจบลง

เธอไม่อาจปล่อยให้ใครก็ตามที่จะคุกคามหมู่บ้านให้มีชีวิตอยู่

“นั่นคือเส้น ถ้าคุณข้ามมา งั้น… ฉันก็จะจัดการคุณที่ตรงนั้น”

คาร์ฮาลกลืนน้ำลายลงไปขณะที่เขามองไปยังเอคิดูที่เอ่ยขึ้นอย่างสุภาพและเป็นทางการ

แต่เธอก็ยังคงเป็นหัวหน้าของหมู่บ้าน

และเอคิดูก็จะหัวเสียในสถานการณ์เดียวเท่านั้น

ตอนที่เธอรู้สึกว่าหมู่บ้านตกอยู่ในอันตราย

‘บ้าเอ้ย มันดูเหมือนว่ามันจะเป็นครั้งแรกที่เธอโกรธนับตั้งแต่การทรยศของพื้นที่สี่ แบบนี้จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ’

คาร์ฮาลชะงักอยู่กับที่และครุ่นคิด

ถ้ามันไม่มีแมลงอยู่ในหัวของเขา งั้นเขาก็คงไม่แม้แต่จะมาไกลขนาดนี้

ฮันซูบอกว่าจะปล่อยพวกเขาไปหลังจากที่พวกเขาทำตามคำขอเรื่องหนึ่ง แต่กับการที่คำขอนั่นอันตรายขนาดนี้

และการ์ดราวๆ สิบคนก็ยืนอยู่ด้านหลังเอคิดู

คนที่อยู่ในหมู่บ้านมานานที่สุดและคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน

คนที่รักในหมู่บ้านมากเสียจนพวกเขายังสามารถรักษาระเบียบไว้ได้ภายใต้ความวุ่นวายเช่นนี้

คนพวกนั้นคือคนที่ทำการสังหารหมู่พื้นที่สี่ในอดีต

พวกที่ได้กวาดล้างพื้นที่สี่ทั้งหมดไปภายในวันเดียว

‘ไอ้เวรนี่ ทำไมเขาถึงได้มาที่นี่…’

คาร์ฮาลคิดถึงการสังหารหมู่ในอดีตก่อนจะมองไปยังฮันซูอย่างกระวนกระวาย