บทที่ 154: พื้นที่หนึ่ง (4)

 

 

 

“บ้าเอ้ย… เราควรจะทำยังไง”

แมคคิลจ้องไปยังฮันซูที่อยู่ด้านหน้าเธอก่อนจะพึมพำด้วยสีหน้าเหม่อลอย

‘ถ้าพวกเรารวมพลังกับหมอนี่แทน…’

แต่แมคคิลส่ายศีรษะ

แม้ว่าพวกเธอจะรวมพลังกับฮันซู พวกเธอก็จะไม่อาจเอาชนะสี่สิบคนข้างบนนั่นได้

แต่ฮันซูก็จะไม่ตายง่ายๆ แบบนั้นเช่นกัน

‘นี่มันเลวร้ายชะมัด นี่คือชีวิตของทาสงั้นเหรอ?’

ฮันซูเอ่ยขึ้นกับแมคคิล

“เธอยังคิดที่จะอยู่ที่นี่อีกเหรอ?”

“อะไรนะ?”

เหตุผลที่ฮันซูได้ยินเพียแค่ข่าวลือของฟาร์มนี้

มันค่อนข้างจะเรียบง่าย

ในเมื่อไม่มีใครเคยเห็นคนที่สามารถออกมาได้ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่

ชะตากรรมของคนพวกนี้ถูกกำหนดเอาไว้แล้ว

ถูกโยนทิ้งหลังจากที่ถูกเอาเปรียบและใช้งาน

ฮันซูเอ่ยขึ้นกับแมคคิล

“ช่วยฉัน แล้วฉันจะทำให้พวกเธอมีชีวิตรอด”

“…”

“พวกเธอยังมีชีวิตอยู่ได้ถ้าพวกเธอเป็นสัตว์เลี้ยงในเมื่อเธอพอมีประโยชน์ แต่ในช่วงเวลาอันตราย… พวกเธอจะเป็นพวกแรกที่ถูกโยนทิ้ง พวกเธอคิดเหรอว่าโลกใบนี้มันสบายขนาดที่ทำให้พวกเธอปลอดภัยไปได้ตลอดกาล?”

แมคคิลกัดฟันกรอด

คำพูดพวกนั้นถูกต้อง

มันก็แค่ว่าพวกเธอกำลังปฏิเสธความจริง

พวกเธอจะต้องดิ้นรนอีกสักหน่อย

เพื่อที่จะออกจากที่นี่

‘แต่… นี่ใช่ฝ่ายที่พวกเราควรจะยืนเหรอ?’

แมคคิลสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ ก่อนจะเอ่ยถามฮันซู

“งั้นก็ทำให้พวกเรามั่นใจสิ”

พวกเธอต้องหนี

และเชือกก็ถูกหย่อนลงมาแล้วเช่นกัน

เชือกที่จะช่วยเหลือพวกเธอจากนรก

แต่พวกเธอก็ยังต้องตรวจสอบมัน

เพื่อที่จะดูว่าเชือกนี้เป็นแค่เศษเถาวัลย์เน่าๆ

หรือว่าบันไดที่จะพาพวกเธอหลบหนีออกไปยังโลกภายนอก

แมคคิลเหลือบมองไปยังคนรอบๆ ที่พึมพำกับคนอื่นๆ อย่างกระวนกระวายก่อนจะเอ่ยขึ้น

“นายต้องหาอะไรที่นั่น? เราจะสามารถหนีออกไปได้อย่างปลอดภัยด้วยมันรึเปล่า?”

พวกเธอไม่ได้ฝากความหวังเอาไว้ที่ความแข็งแกร่งของฮันซู

สิ่งที่สำคัญคืออะไรที่คนที่แข็งแกร่งขนาดนั้นมาหามันจากที่นี่

‘ใช่แล้ว ใครจะไปรู้ล่ะ?’

แมคคิลพึมพำอยู่ในใจ

ห้องวิจัยที่พวกเธอหาเจอแทบจะถูกทำลายเป็นกองหินไปแล้ว

สิ่งที่เหลือมีเพียงแค่ถุงมือสีฟ้าไม่กี่คู่และสร้อยคอที่พวกเธอสวม

พวกเธอไม่สามารถใช้มันได้อย่างเต็มที่เพราะว่าพวกเธอไม่ได้มีมานามากขนาดนั้น แต่ตัวไอเทมมันยอดเยี่ยม

แล้วถ้ามันยังมีอะไรที่ยอดเยี่ยมไปกว่านี้ในห้องวิจัยล่ะ?

มันคงจะไม่ยากในการเอาชนะนักล่าทั้งหมดบนนั้นและหนีออกไป

แต่ฮันซูส่ายศีรษะ

ในเมื่อหยกผนึกที่เขาตามหาไม่ใช่อาวุธ

“ถ้าจะให้พูด เราคงจะหนีออกไปได้อย่างไม่ปลอดภัยเท่าไหร่”

“อะไรนะ?”

 

 

 

“เจ้าพวกโง่พวกนี้ ทำไมถึงยังไม่เริ่มอีก”

เครอนที่ฝังแขนและขาสองข้างของเขาลงไปในกำแพงแสดงสีหน้าเบื่อหน่ายออกมาเมื่อภาพที่เขาคาดหวังไม่ได้ปรากฏขึ้น

แต่การลงไปก็ค่อนข้างจะยุ่งยากเช่นกัน

ในเมื่อมันจะกลายเป็นเรื่องน่ารำคาญถ้าฮันซูและพวกนั้นทั้ง 200 คนรวมพลังกัน

‘อืม งั้นการมากับคาร์ฮาลถือว่าเป็นเรื่องน่าโล่งใจรึเปล่า?’

เครอนเหลือบมองไปยังข้างกายเขา

ในเมื่อหัวหน้าหน่วยของพวกเขา คาร์ฮาล แข็งแกร่งมาก

แม้ว่าเขาจะไม่ชอบสถานการณ์นี้ คาร์ฮาลก็ยังคงทำให้พวกเขามั่นใจมากขึ้นที่มีอีกฝ่ายอยู่ข้างๆ

‘อืม มันคบงไม่มีความจำเป็นให้หัวหน้าหน่วยต้องลงมือด้วยตัวเองหรอก’

ทางเดียวที่พวกข้างล่างจะมีชีวิตรอดได้คือการโจมตีฮันซู

และในระหว่างการต่อสู้นั้น พวกเขาก็แค่ต้องกระโดดลงไปและจัดการหมอนั่นหลังจากที่หมอนั่นอ่อนล้า

‘และมันจะกลายเป็นปัญหาถ้าพวกทาสตายเหมือนกัน’

ยังเหลืออีกตั้งเดือนหนึ่งเต็มๆ

ในตอนนั้นเอง

“…!”

สีหน้าของเครอนที่กำลังจ้องมองไปยังแมคคิลด้วยความสุขหลังจากที่คิดถึงแผนการในอนาคตพลันแข็งค้าง

ในเมื่อภาพที่แตกต่างจากที่เขาคาดหวังไปอย่างสิ้นเชิงได้เกิดขึ้น

เครอนตะโกนออกไปอย่างกราดเกรี้ยว

“ไอ้เวรพวกนี้! หนีงั้นเหรอ!?”

ตูมมมม!

เครอนกระโดดลงไปจากกำแพงเมื่อเขาเห็นคนทั้ง 200 คนกระจายตัวไปในทุกทิศทาง

เพื่อที่จะลงโทษคนเหล่านั้นเพราะการต่อต้านอวดดีของคนพวกนั้น

 

 

 

“บ้าเอ้ย!”

แมคคิลกัดฟันกรอดขณะที่เธอมองไปยังนักล่าที่กระโดดลงมาจากกำแพงและสร้างเสียงระเบิดดังลั่นเมื่อพวกเขาลงมาถึงพื้น

‘ไอ้ฉิบหายเอ้ย! ฉันยังไม่รู้เลยว่านี่เป็นตัวเลือกที่ถูกต้องรึเปล่า’

แต่มันไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว

ในเมื่อเธอพอจะรู้สึกถึงมันได้อย่างลางๆ เช่นกัน

ว่าถ้าพวกเธอยังติดอยู่ที่นี่ งั้นพวกเธอก็จะถูกฆ่าในที่สุด

‘… เชื่อใจเขา’

จากคำพูดของหมอนั่น ถ้าเขาหาสิ่งที่อยู่ในห้องวิจัยเจอ งั้นพวกเธอก็อาจจะชนะได้

แต่พูดมันง่ายกว่าทำ

ฝันร้ายในอดีตได้หวนกลับมาหาเธอเมื่อเธอเห็นพวกนักล่าพุ่งเข้ามาหาพวกเธออย่างคล่องแคล่ว

แมคคิลสลัดความกลัวที่แผ่ซ่านไปทั่วร่างออกก่อนจะเอ่ยถามขึ้นอีกครั้งพร้อมด้วยอาการกัดฟันกรอด

“บ้าเอ้ย… แบบนั้นดีกว่าจริงๆ เหรอ? เราแค่…”

ฮันซูเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“มันจะยิ่งอันตรายกว่าเดิม”

“เฮือก…”

แมคคิลสูดลมหายใจเข้าลึกจากคำพูดของฮันซู ก่อนจะตะโกนไปยังทุกคนที่วิ่งมากับเธอ

“ทุกคนกระจายตัวกันหนี! หนี!”

“อึกก…”

ทุกคนที่ได้ยินเสียงตะโกนของแมคคิลชะงักและครุ่นคิด

พวกเธอได้ยินมาก่อน

ว่าพวกเธอต้องกระจายกำลังของศัตรูออกขณะที่วิ่งหนีไปรอบๆ

แต่มันไม่ใช่เรื่องง่าย

กับการที่ต้องวิ่งหนีทั้งๆ ที่การร่วมมือกันสู้ยังไม่พอ

ความต้องการรวมกลุ่มในสถานการณ์อันตรายคือสัญชาตญาณของมนุษย์

ฮันซูเอ่ยเสริมคำพูดของของแมคคิลขณะที่วิ่งอยู่

“ถ้าพวกเธอรวมตัวกันสู้ พวกเธอก็จะถูกฆ่ากันหมด ในเมื่อพวกนั้นจะพยายามฆ่าพวกเธอเพราะพวกเธอจะกลายเป็นสิ่งคุกคาม แต่ถ้าพวกเธอแยกตัวกันและหนี พวกนั้นจะไม่ฆ่าพวกเธอ เพราะพวกเธอไม่ใช่สิ่งคุกคามอีกต่อไป”

“งั้น… อะไรจะเกิดขึ้นถ้าพวกนั้นเมินพวกเราและมุ่งไปหานายล่ะ? งั้นเราก็จะจบกันหมด”

ขณะที่ใครบางคนตะโกนขึ้น ฮันซูก็ส่ายศีรษะ

“ไม่มีทาง คนพวกนั้นไม่อาจปล่อยให้ใครก็ตามหนีออกไปได้ ในเมื่อถ้ามีพวกเธอแม้แต่คนเดียวหลุดออกไปและไปรายงานที่หมู่บ้าน มันจะกลายเป็นปัญหาสำหรับพวกนั้น”

“อึก…”

“รีบๆ แยกตัวได้แล้ว! แล้วหนีให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้!”

“บ้าเอ้ย!”

เมื่อได้ยินจนถึงตอนนี้ ทั้งหมดก็เริ่มแยกตัวออกไปทุกทิศทาง

บางคนมุ่งหน้าไปในส่วนลึกของความมืด

บางคนมุ่งตรงไปยังอุโมงค์ที่พวกเธอตกลงมา

ตึก ตึก ตึก

คน 200 คนกระจายตัวออกไปในเวลาเดียวกันนับเป็นภาพที่ค่อนข้างน่าตื่นตา

ในเมื่อบางคนในนั้นไม่ได้ดูเหมือนว่าจะสามารถหนีออกไปได้จริงๆ

และแม้ว่าพวกเธอจะเป็นชาวนา พวกเธอก็ได้เดินทางในอีกโลกมาแล้วหลายปี

พวกเธอล้วนมีบางอย่างซ่อนอยู่ในแขนเสื้อเพื่อเอาตัวรอด

และเมื่อคนเหล่านี้ 200 คนเริ่มหนีโดยเอาชีวิตเป็นเดิมพัน มันก็ดูเหมือนกับดอกไม้ไฟนับร้อยที่ระเบิดออกในความมืดมิด

ส่งประกายไฟนับร้อยออกไปในทุกทิศทาง

แต่แมคคิลกัดฟันกรอด

‘พวกเธอ… ทำไม่สำเร็จ’

และอย่างที่เธอคาด

นักล่าพลันตอบสนองกับการหลบหนีของชาวนาและเริ่มลงมือ

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ

นักล่าทั้ง 40 คนทิ้งตัวลงมาจากด้านบนและแยกออกเป็นสองกลุ่มจากการเคลื่อนไหวของมือของคาร์ฮาล

พวกเขาแยกตัวออกไปรอบๆ และเริ่มจับพวกที่พยายามหนี

“อ๊ากกก!”

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! คิดจะหนีไปไหน!”

กระทั่งการล่ากระต่ายคงจะยากกว่านี้

แม้ว่าชาวนาจะค่อนข้างรวดเร็ว นักล่าที่มีชีวีตอยู่ในฐานะของนักล่ามาเกือบปีก็รวดเร็วกว่าพวกเขามาก

ชาวนาทั้ง 200 คนเริ่มถูกจับโดยนักล่าทีล่ะคนอย่างรวดเร็ว

และการจัดการพวกเธอก็ค่อนข้างง่ายเพราะพวกเธอล้วนกระจายตัวกัน

แมคคิลกัดฟันกรอดเมื่อเธอเห็นภาพนี้ขณะที่วิ่งหนี

“โอ้ยยย!”

“อึกกก!”

พวกนั้นจัดการกับชาวนาอย่างรุนแรง

และชาวนาที่ไม่มีแม้แต่ความคิดจะต่อต้านก็ไม่มีแรงคุกคามใดๆ ต่อพวกเขาแม้แต่น้อย

แต่พวกนั้นกำลังเหวี่ยงร่างของพวกชาวนาอย่างรุนแรงราวกับว่าคนพวกนั้นพยายามระบายความโกรธลงที่พวกเธอ

คนพวกนั้นจะไม่ฆ่าพวกเธอ แค่เกือบเท่านั้น

ราวกับว่าพวกนั้นกำลังแสดงให้เห็นว่านี่คือผลที่ทาสคนหนึ่งพยายามจะขัดขืนเจ้าของ

‘ไอ้พวกสารเลว…’

แมคคิลเอ่ยถามฮันซูเอ่ยเร่งร้อน

“ให้พวกเราไปเอามาในระหว่างที่นายสู้ไม่ได้เหรอ? แบบนั้นมันดีกว่ามากเลยนะ!”

มันไม่จำเป็นต้องใช้คนมากขนาดนั้นในการไปเอาของชิ้นหนึ่งมา

แต่ฮันซูส่ายศีรษะ

“พวกเธอไม่พอหรอก”

“บ้าเอ้ย…”

แมคคิลขมวดคิ้วแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น

เธอเองก็รู้

ว่าหากฮันซูอยู่ที่นี่ คนอื่นๆ ก็ไม่อาจแม้แต่จะไปถึงส่วนลึกของที่นี่ได้

ในเมื่อพวกเธอวิ่งไม่ทันพวกนักล่า

แมคคิลครุ่นคิดไปชั่วขณะก่อนจะเอ่ยขึ้นกับฮันซู

“มันไม่มีเหตุจำเป็นให้ฉันต้องไปใช่ไหม? เอคิเลน! มานี่!”

“คะ?”

หนึ่งในเด็กสาวที่เด็กที่สุดที่วิ่งอยู่ข้างๆ แมคคิลตอบรับอย่างอัตโนมัติ

แม้ว่าเธอจะถูกสั่งให้วิ่งแยกออกไป เธอก็ไม่อาจจะทำใจวิ่งหนีออกไปได้และได้วิ่งอยู่ข้างๆ ฮันซูกับแมคคิล

แมคคิลมองไปยังเด็กสาวด้วยสีหน้าเจ็บปวด

‘บ้าเอ้ย กับการที่ทุกอย่างกลายเป็นแบบนี้’

เด็กคนนี้เคยเป็นคนที่สดใสร่าเริงมาก่อนที่เธอจะถูกจับตัวมาโดยคนพวกนั้น

แน่นอนว่าเธอต้องเป็นแบบนั้น

เด็กสาวได้เดินทางในอีกโลกมาหลายปี

แต่เด็กสาวได้หดหู่ลงอย่างมากหลังจากที่ถูกลักพาตัวมาไม่กี่เดือน

“นำทางหมอนี่ไปที่นั่น”

แมคคิลเอ่ยขึ้นเสียงเบาขณะที่เธอมองไปยังผู้คนที่อยู่ด้านหลังเธอ

การนำทางถือเป็นเรื่องเสียเวลาสำหรับเธอ

เธอมีหน้าที่ในฐานะของผู้นำ

‘ฉันไม่อาจที่จะ… ตายอย่างสงบได้ด้วยตัวเอง’

ในตอนที่เธอเอ่ยจบ เธอก็วิ่งออกไปในทิศทางที่ตรงกันข้ามกับฮันซูอย่างสิ้นเชิง

“เครอน! ไอ้สารเลวโสโครก! ฉันอยู่นี่!”

ตูมมมม!

แมคคิลเริ่มวิ่งด้วยความเร็วสูงผ่านความมืดมิดราวกับว่าเธอกำลังพิสูจน์ให้เห็นว่าเธอมีความสามารถในการที่จะเป็นหัวหน้าของทุกคน

และใครบางคนจากกลุ่มของคาร์ฮาล ผู้ที่คอยเฝ้ามองแมคคิลอยู่ ก็รีบแยกตัวออกจากกลุ่ม

เครอน

เครอนมองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าเศร้าหมอง แต่จากนั้นก็ส่ายศีรษะขณะที่เขารีบไล่ตามแมคคิลไปอย่างรวดเร็ว

ในเมื่อเธอค่อนข้างไว

ถ้าเธอออกไปด้านนอกความมืดได้ในขณะที่เขาเบี่ยงเบนความสนใจไปทางอื่น งั้นมันก็จะกลายเป็นปัญหาอย่างมาก

‘ยี่สิบ… มากเกินไป’

เอคิเลนกัดฟันกรอดในขณะที่กำลังวิ่ง

คนที่เหลืออยู่อยู่ที่ราวๆ 20 คน

ซึ่งหมายความว่าคนพวกนี้ให้ความสำคัญกับคนข้างๆ เธอในตอนนี้มาก แต่มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกหดหู่

พวกเธอจะไม่อาจขยับได้แม้แต่นิ้วเดียวถ้าถูกจับ

‘บ้าเอ้ย เวลาที่แมคคิลซื้อให้พวกเรามันไร้ประโยชน์’

ในขณะที่เอคิเลนกำลังตื่นตระหนกกับระยะห่างที่ลดลง

ฮันซูพลันยกร่างของเอคิเลนขึ้น

“หวา!”

“ช้าเกินไป บอกทางฉันเร็วเข้า ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไปเราจะถูกจับได้”

ราวกับว่าคำพูดของเขาไม่ได้ไร้เหตุผล วินาทีที่เขายกร่างของเอคิเลนขึ้น ความเร็วของเขาก็ระเบิดออกรวดเร็วกว่าเดิมหลายเท่าตัว

ตูม ตูมมม!

ช่องว่างที่ลดลงพลันขยายออกในชั่วขณะ

แต่ราวกับว่ากลุ่มคนด้านหลังไม่อาจปล่อยฮันซูไปแบบนั้นได้ พวกเขาจึงใช้สกิลของตนเองและเริ่มโจมตีฮันซู

เบื้องหลังฮันซูที่วิ่งฝ่าความมืดมิดพร้อมกับทำให้พื้นดินสั่นสะเทือนไปทุกๆ ย่างก้าว แสงสีแดง น้ำเงิน และสิ่งของต่างๆ ก็ลอยมาหาเขา

เคร้ง เคร้ง เคร้ง

ตูมมมม!

ฮันซูเหวี่ยงหอกสายฟ้าของเขาด้วยมือข้างหนึ่งเพื่อเบี่ยงการโจมตีส่วนมากออกไป สลายพวกคำสาปด้วยแหวนเนอร์มาฮ่า และจากนั้นจึงรับส่วนที่เหลือด้วยร่างกายของเขา

‘ชิ อย่างที่ฉันคิด มันไม่ง่ายเลย’

แรงสั่นสะเทือนที่แล่นผ่านทหารพันเกราะ ดาบแก่นแท้มังกร และสกิลเสริมพลังมังกรปีศาจสามารถถูกจัดการได้ แต่พวกสกิลประเภทคำสาปที่เขาไม่มีมานาในการสลายกำลังถ่วงเขา

‘มานาคือปัญหา’

สกิลของเขาล้วนแล้วแต่ยอดเยี่ยม แต่เขาไม่มีมานาในปริมาณที่ใกล้กับคำว่าพอในการใช้พวกมัน

‘ฉันต้องแก้ไขเรื่องนี้ในเขตนี้’

ฮันซูกลับมาเพ่งความสนใจในการป้องกันการโจมตี

หลายๆ อย่างสามารถจัดการได้ในเมื่อพวกนั้นมีแค่ 20 คน

ถ้ามีการโจมตีมาเสริมอีกสัก 2-3 อย่าง งั้นเขาก็อาจจะถูกขัดขวางจนถึงจุดที่ถูกจับตัวได้ก็ได้

‘การกลายพันธุ์… นี่ยังไม่ใช่เวลาที่จะใช้มัน’

“แบบนี้ไม่ได้ เกาะฉันเอาไว้”

“อะไรนะ? ว้ายยย!”

กระทั่งก่อนที่เธอจะเอ่ยจบ ฮันซูก็โยนร่างของเธอขึ้นไปในอากาศด้านหน้าเขาและใช้มือทั้งสองข้างในการปัดการโจมตีด้าหลังเขา

ฟึ่บ ฟึ่บ ฟึ่บ

ขอบเขตของการป้องกันนั้นแตกต่างจากตอนที่ใช้มือเดียวมาก

ขณะที่เขาตัดสกิลประเภทแช่แข็งและคำสาปที่สามารถถ่วงเขาได้ และป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้น ช่องว่างที่ลดลงอย่างช้าๆ ก็เริ่มขยายออกแทน

‘ฟิ้ว’

เอคิเลนที่ถูกโยนออกไปเกาะด้านหน้าของฮันซูเอาไว้ราวกับหมีโคอาล่าและถอนหายใจอย่างโล่งอก

‘เขาพึ่งพาได้จริงๆ’

ร่างกายของฮันซูใหญ่โตมากตั้งแต่แรก ทำให้การโจมตีส่วนมากมาไม่ถึงร่างเล็กๆ ของเธอ

มันเหมือนกับโล่ขนาดยักษ์กางอยู่เบื้องหน้าเธอและปกป้องทุกอย่างไปจากเธอ

เอคิเลนที่ปลอดภัยในตอนนี้เริ่มที่จะเพ่งความสนใจกลับไปยังสิ่งที่เธอต้องทำ

ในเมื่องานของเธอคือการนำทาง

‘ไหนดูสิ ผ่านหินสีดำนั่นไป และ… ไปทางขวาของท่อน้ำ’

ซากปรักหักพังที่ถูกทำลายและเศษหินปลิวผ่านร่างของฮันซูที่วิ่งด้วยความเร็วสูงอย่างรวดเร็ว

และในระหว่างซากปรักหักพังเหล่านั้น ถุงมือสีฟ้าที่สูญเสียประกายแสงไปได้ปรากฏขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า

มันล้วนเป็นของเหลือที่พวกเธอพบ

แต่ฮันซูไม่ได้มองหาของแบบนั้น

‘เขา… อาจจะอยากไปที่นั่น’

เอคิเลนที่มองไปรอบๆ พลันชี้ไปยังทิศทางหนึ่ง

“ทางนั้น!”

สิ่งก่อสร้างทรงกลมขนาดยักษ์ที่ยังคงรักษารุปลักษณ์ของมันเอาไว้ได้และดูแตกต่างจากซากปรักหักพังอื่นๆ

ฮันซูสังเกตสิ่งก่อสร้างนั้นอยู่ชั่วขณะก่อนจะผงกศีรษะ

‘นี่ล่ะ’

ห้องวิจัย

หยกผนึกอยู่ในนี้

‘ถึงมันจะค่อนข้างอันตรายไปหน่อย…’

แต่เขาไม่มีทางเลือก

เขาต้องเอามันมาให้ได้ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม

มีเพียงแค่ตอนนั้นที่เขาจะสามารถเริ่มแก้ไขเขตสีเหลืองได้

“เราจะเข้าไปด้านใน เกาะไว้ให้ดีๆ”

“หืออ? อื๋ออ?”

ตูมมม!

ตูม ตูมมม ตูมมมม!

ฮันซูเบี่ยงสกิลที่ลอยมาจากทางด้านหลัง ฟาดกำแพงของสิ่งก่อสร้างด้านหน้าเขาและกระโดดเข้าไปด้านใน

 

 


TL: ให้ความรู้สึกเหมือนปู่มีลูกสาวเลยค่ะ…//มอง