บทที่ 153: พื้นที่หนึ่ง (3)

 

 

 

คาร์ฮาลแสดงสีหน้างุนงงออกมาขณะที่มองไปยังเครอนที่ลงไปด้านล่างอย่างรวดเร็ว

“นี่นายรู้อะไรบางอย่างสินะ?”

ด้านล่างนั่นคือดินแดนแห่งความลึกลับ

แต่เครอนไม่ได้ดูเหมือนว่าเขากังวลขณะที่กำลังมุ่งหน้าลงไปด้านล่าง

เครอน เอไทนอล และคนราวๆ สิบคนแสดงสีหน้ากระอักกระอวลออกมา

“เอ่อ… คุณก็รู้”

“หืมม?”

‘เดี๋ยวนะ… เจ้าหมอนี่คือคนที่แนะนำให้พวกเราโยนพวกนั้นลงไปข้างล่างทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่นี่’

หัวหน้าหน่วย คาร์ฮาล มองไปยังเครอนที่ดูเหมือนจะทำบางอย่างลับหลังเขาแล้วขมวดคิ้ว

 

 

 

เคร้งงง

“อ๊ากกกก!”

เปรี้ยง

การโจมตีครั้งสุดท้าย

วินาทีที่การโจมตีนั้นโดนเป้าหมาย

ลำคอของเด็กผู้หญิงคนนั้นก็ส่องสว่างขึ้น

หรือจะพูดให้แม่นยำไปกว่านั้นคือ สร้อยบนลำคอของเด็กนั่นส่องแสงขึ้น

ในเสี้ยววินาทีนั้น แสงสีฟ้าส่องสว่างขึ้นรอบร่าของเด็กผู้หญิงและดูดซับพลังของหอกสายฟ้าที่โจมตีผู้ถือครองมัน

เพล้งงง

แต่มันก็เท่านั้น

“อึกก…”

เด็กผู้หญิงแสดงสีหน้าราวกับหายใจไม่ทันออกมา

เธอทำได้แค่นั้น

สร้อยคอนั่นไม่ได้ทำงานฟรีๆ

มันคือสร้อยคอที่จะดูดมานามหาศาลจากผู้ใช้งานออกไปจนเหือดแห้ง

ในเมื่อมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อนักปราชญ์ ไม่ใช่มนุษย์

ไม่ช้าเด็กสาวก็ล้มลงที่พื้นหลังจากที่มานาทั้งหมดเหือดแห้งไปจากร่างพร้อมกับถุงมือที่ส่องประกายสีฟ้าสว่างในมือ

ถุงมือสีฟ้าที่ส่งลำแสงเลเซอร์ที่ทรงพลังออกมา

ในเมื่อมันใช้มานาปริมาณมหาศาล พวกเธอ ชาวนา ก็สามารถใช้มันได้แค่สำหรับการลอบโจมตีด้วยปริมาณของมานาที่พวกเธอมี

เหมือนกับตอนที่พวกเธอโจมตีฮันซู

‘แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ… มันไม่ควรจะถูกป้องกันได้แบบนี้’

มันคงเป็นเรื่องปกติสำหรับนักล่าทั่วๆ ไปในการที่ร่างถูกหลอมละลายภายในไม่กี่วินาที แต่เกราะกระดูกที่อยู่บนร่างของเจ้าหมอนั่น เกราะสีเงินที่เขาสวมใส่อยู่แต่เดิม และมานาสีทองรอบร่างของเขาได้สลายลำแสงสีฟ้าที่โจมตีไปยังร่างของเขาทั้งหมด

กระทั่งคาร์ฮาล นักล่าที่แข็งแกร่งที่สุดในพื้นที่หนึ่งที่พวกเธอรังเกียจยังไม่อาจเทียบได้

ซึ่งมันหมายความถึงบางอย่าง

เด็กสาวกัดฟันกรอดและจ้องมองไปยังฮันซูด้วยดวงตาที่เต็มไปด้วยความเกลียดชัง

“… นังเอคิดูนั่นเสียสติไปแล้วเหรอ! กับการที่ให้การ์ดมาทำอะไรแบบนี้!”

เครอนและคนอื่นๆ ลงมาเพื่อทำงานสกปรกบางอย่างเป็นเรื่องที่เข้าใจได้

ในเมื่อเจ้าพวกนั้นคือคนที่โยนพวกเธอลงมาที่นี่

แต่การที่การ์ดที่ควรจะรักษากฎของหมู่บ้านในการลงมาเพื่อเรื่องแบบเดียวกัน

‘ไอ้พวกสารเลวเอ้ย เล่นกับพวกเราแบบนั้นยังไม่พออีกเหรอ?’

แต่ฮันซูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินคำพูดของอีกฝ่าย

“ฉันไม่ใช่การ์ด”

ฮันซูหยุดพูดก่อนจะมองไปยังทิศทางหนึ่ง

คนจำนวนนับไม่ถ้วนจากส่วนลึกของความมืดมิดกำลังวิ่งตรงมายังตำแหน่งนี้หลังจากเกิดความวุ่นวายขึ้น

อย่างน้อย 200 คน

มันไม่ใช่จำนวนที่จะเป็นเรื่องบังเอิญได้

‘โอ้ ใช่แล้ว ฉันเคยได้ยินเกี่ยวกับเรื่องนี้มา’

กระทั่งฮันซูเองก็ไม่ได้สำรวจและเดินทางไปทุกๆ ซอกทุกๆ มุมของเขตสีเหลือง

ในเมื่อมันมีหมู่บ้านจำนวนนับไม่ถ้วนในบริเวณพักรบตลอดทั้งเขต

แม้ว่าหมู่บ้านทั้งหมดนั่นจะดำเนินการด้วยระบบคล้ายๆ กันเพราะทั้งหมดถูกสร้างขึ้นโดยคลีเมนไทน์ มันยังก็ยังคงมีความแตกต่างกันอยู่

และเขาเคยได้ยินเกี่ยวกับหมู่บ้านที่พิเศษกว่าหมู่บ้านอื่นๆ มา

ว่ามันมีคนที่นำคนอื่นไปขังไว้ในที่ลับและสร้างฟาร์มมนุษย์ขึ้น

‘เจ้าพวกนี้คงเป็นพวกนั้น’

 

 

 

คนสองร้อยคนที่วิ่งมามองไปยังฮันซูด้วยสีหน้างุนงง กังวล และหวาดกลัว

และหัวหน้าของคนเหล่านั้น แมคคิล มองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

‘ฮันซูงั้นเหรอ เขาต้องการอะไร?’

มันมีคนราวๆ 200 คนที่ถูกโยนมาที่นี่

แต่คนพวกนี้คือคนที่อ่อนแอที่สุดในบรรดาคนที่อ่อนแอ

คนที่ฟาร์มอยู่ภายในเขตหมู่บ้านและถูกลักพาตัวมาโดยนักล่าของพื้นที่หนึ่ง

แต่เดิมแล้ว พวกเธอก็เป็นเพียงแค่กระต่ายในป่า

แน่นอนว่าคนอื่นๆ ต้องมุ่งเป้ามาที่พวกเธอ

<ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ถ้ามันมีชาวนา งั้นไม่ใช่ว่ามันควรจะมีทาสด้วยเหรอ? พวกเธออยู่ในลำดับทาส!! ไม่สิ ปศุสัตว์ต่างหาก!>

‘ไอ้สารเลวเอ้ย…’

คาร์ฮาลเองก็เลวไม่ต่างกัน

แต่เครอนและคนอื่นๆ ที่โยนพวกเธอลงมาที่นี่ตั้งแต่แรก แล้วยังลงมาเป็นช่วงๆ เพื่อเล่นกับพวกเธอคือพวกที่เลวร้ายที่สุด

เหตุผลที่พวกเธอถูกโยนลงมาที่นี่ก็ง่ายๆ

ในเมื่อมันไม่ได้มีชาวนามากขนาดนั้นให้พวกนั้นเล่นตามที่ต้องการ

พวกนั้นตัดสินว่ามันจะดีกว่าในการที่จะขังพวกเธอเอาไว้ที่นี่และเล่นกับพวกเธอ

และตัวเลือกของพวกนั้นก็ไม่ได้ผิดพลาด

ในเมื่อพิราบสื่อสารไม่อาจบินออกจากหลุมที่ลึกขนาดนี้ได้

และมันยังสูงเสียจนพวกเธอ ชาวนา ไม่มีความสามารถมากพอจะปีนขึ้นไป

ไม่สิ มันยังมีปัญหาอีกอย่างอยู่ดีถึงจะขึ้นไปบนนั้นได้แล้ว

ในเมื่อวินาทีที่เครอนและคนอื่นๆ ที่ตรวจตราต้นโอคุนทุกวันเห็นพวกเธอ พวกเธอก็จะถูกโยนกลับลงมาอีกครั้ง

มันมีหลายคนที่พยายามจะหนีออกไปในช่วงแรก แต่เหตุการณ์เหล่านั้นก็วนกลับมาซ้ำๆ จนคนทั้ง 200 คนหยุดดิ้นรน

ในเมื่อมันย่อมดีกว่าในการมีชีวิตอยู่แทนที่จะตาย

แม้ว่าพวกเธอจะเป็นแค่ทาสก็ตาม

แต่ชายที่อยู่เบื้องหน้าพวกเธอต่างออกไป

‘เขาไม่ได้ดูมีความอาฆาตหรือละโมบในดวงตาเหมือนกัน…’

มันดูเหมือนว่าเขารู้ถึงตัวตนของพวกเธออยู่แล้วตั้งแต่แรก

แมคคิลทำสมองให้ว่างและถอนหายใจก่อนที่เธอจะเอ่ยถามฮันซู

“นายลงมาข้างล่างนี่ทำไม?”

ฮันซูเอ่ยตอบอย่างง่ายๆ

“ที่ที่พวกเธอเอาของที่พวกเธอใช้อยู่ออกมา ฉันมีบางอย่างต้องทำที่นั่น”

“… นายรู้เรื่องนั้นด้วย?”

ขณะที่ผู้คนเอ่ยถามด้วยสีหน้างุนงง ฮันซูก็ผงกศีรษะเล็กๆ

มันมีของสองสามอย่างที่เขาต้องเอามาจากห้องวิจัย

แมคคิลยกถุงมือและสร้อยคอที่เธอครอบครองอยู่ขึ้นก่อนจะเอ่ยถาม

“เราเอาของที่ใช้ได้ส่วนมากออกมาแล้ว… นายกำลังพูดถึงของพวกนี้รึเปล่า?”

ฮันซูส่ายศีรษะ

พวกนั้นมันแค่ของธรรมดาๆ

ความจริงแล้ว เขาเองก็ไม่สามารถใช้ของพวกนั้นได้ดีกว่าคนพวกนี้เท่าไหร่

แม้ว่าการผ่าตัดดัดแปลงร่างกายและดาบแก่นแท้มังกรจะมอบร่างกายที่ทรงพลังให้ มันก็ไม่ได้มอบมานาปริมาณมหาศาลมาด้วย

ปริมาณของมานาที่เขามีน้อยกว่าคนพวกนั้นมาก

ความคืบหน้าของรูนมานาของพวกนั้นอยู่ที่ราวๆ 5% ในขณะที่เขากระทั่งน้อยกว่านั้น

ของพวกนั้นไม่ใช่เป้าหมายของเขาตั้งแต่แรก

‘เท่าที่ฉันรู้… หยกผนึกอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของห้องวิจัย’

นวัตกรรมของนักปราชญ์ได้ถูกสร้างขึ้นโดยที่ไม่อยู่ในความรู้ของพวกเผ่าพันธุ์ชั้นสูง <หยกผนึก>

มันไม่ได้ถูกทำลายเพราะการมีตัวตนอยู่ของมันไม่ได้ถูกล่วงรู้ แต่มันอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของห้องวิจัย

ฮันซูเอ่ยขึ้น

“โปรดนำทางฉันไปที่นั่น”

แมคคิล หัวหน้าของชาวหน้าเอ่ยตอบฮันซู

“อืม มันดูเหมือนจะมีบางอย่างที่มีประโยชน์ต่อนาย แต่… แล้วเราจะได้อะไร?”

ฮันซูเอ่ยตอบอย่างง่ายๆ

“พวกเธออยากจะออกไปรึเปล่าล่ะ?”

“อะไรนะ?”

ทุกคนเริ่มพึมพำกับคนรอบๆ

การที่จะสามารถออกไปได้

มันไม่มีอะไรที่ดีไปกว่านั้นแล้ว

แม้ว่าพวกเธอจะมีชีวิตอยู่เพราะมันดีกว่าตาย การมีชีวิตอยู่อย่างทาสก็ไม่ใช่สิ่งที่พวกเธอหวังเอาไว้

ไม่สิ พวกเธอไม่แม้แต่จะนับว่าเป็นทาส

พวกเธอถูกปฏิบัติด้วยราวกับสัตว์เลี้ยง

<พวกเธอคิดเหรอว่าพวกเธอจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้ถ้าไม่มีอาหารที่พวกเราเอาลงมาให้? ฮ่าฮ่าฮ่า! เชื่อฟังให้ดี! เราจะให้มันกับพวกที่เชื่อฟังมากกว่า!>

‘สารเลว’

แมคคิลกัดฟันกรอดเมื่อคิดถึงคำพูดของเครอนในอดีต

แต่เธอส่ายศีรษะหลังจากนั้นไม่นาน

‘มันเป็นไปไม่ได้’

การจับตัวพวกเธอมาขังและทำราวกับว่าพวกเธอเป็นทาสเป็นเรื่องเลวร้ายมากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

คาร์ฮาล เครอน และนักล่าคนอื่นๆ ในพื้นที่หนึ่งจะได้รับบทลงโทษรุนแรงกว่าความตายถ้าชาวนาที่นี่หลบหนีออกไปและไปถึงหมู่บ้านได้

“นายคือเหรอว่าพวกนั้นจะปล่อยพวกเราไปแบบมีชีวิต? มันมีเหตุผลที่ทำให้พวกนั้นมาตรวจตรารอบๆ ต้นโอคุนทุกวัน!”

พวกนั้นตรวจตรารอบต้นโอคุนทุกๆ วันจริงๆ เผื่อว่าจะมีอะไรบางอย่างออกมาจากความมืด

แต่พวกนั้นไม่ได้ทำเพราะอาจจะมีอะไรที่อันตรายออกมา

ความจริงแล้วมันตรงกันข้ามเลยต่างหาก

พวกนั้นทำเพื่อที่จะขังพวกทาสเอาไว้ในนี้

แมคคิลหัวเราะขณะที่มองไปยังฮันซู

“ฉันเข้าใจนะว่านายแข็งแกร่ง แต่ฉันรู้ว่านายแข็งแกร่งแค่ไหนตอนที่ฉันสู้กับนาย นายไม่แข็งแกร่งมากพอที่จะเอาชนะคนทั้งสี่สิบคนจากพื้นที่หนึ่งได้ด้วยตัวเองหรอก”

“อืมม…”

ทุกคนรอบตัวแมคคิลผงกศีรษะ

แม้ว่าพวกเขาจะมีนิสัยที่ห่วยแตกสุดๆ พวกนั้นก็ยังคงแข็งแกร่งมากอยู่ดี

มันมีเหตุผลให้ทำไมคนราวๆ 10 คนจากทั้งหมดลงมาที่นี่ตั้งแต่แรก

ในเมื่อพวกนั้นสิบคนมั่นใจว่าจะสามารถสู้กับพวกเธอทั้ง 200 คนได้

สี่สิบคนนั่นนับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

“แล้วนายกำลังพยายามจะทำอะไร? ถึงแม้ว่าจะไม่ใช่นักล่าพื้นที่หนึ่งทุกคนที่มีส่วนร่วมในฟาร์มมนุษย์นี่ มันก็ไม่ใช่ว่าพวกนั้นบริสุทธ์สักหน่อย ซึ่งหมายความว่าแม้ว่าจะเป็นคนที่ไม่รู้อะไรเลยก็จะถูกหมู่บ้านลงโทษ นายคิดเหรอว่าพวกนั้นจะอยู่ฝ่ายเรา?”

แมคคิลหัวเสีย

โดยสรุปแล้ว นักล่าทั้งสี่สิบคนจากพื้นที่หนึ่งจะรวมพลังกันเพื่อลบตัวตนของพวกเธอออกไป

ในเมื่อมันจะไม่มีความผิดเกิดขึ้นถ้าพวกเขาไม่ถูกจับได้

“ถ้านายไม่มีความสามารถมากพอ งั้นแทนที่จะมาให้ความหวังลมๆ แล้งๆ กับเราก็แค่ไสหัวออกไปซะ ไอ้สารเลวเอ้ย อย่างน้อยพวกเราก็จะสามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยไม่มีนาย”

ตราบเท่าที่ฮันซูไม่อยู่ที่นี่ งั้นมันก็จะไม่เป็นไร

พวกนักล่าจะไม่มีเหตุผลให้ฆ่าชาวนาทั้งหมดที่ถูกจับเอาไว้ที่นี่

นักล่าแค่ต้องรอจนกว่าสัญญาหนึ่งปีที่พวกเขามีกับหมู่บ้านจะสิ้นสุดลงและจากไป

‘และ… เราก็จะกลายเป็นทาสต่อไป’

พวกเขาได้โจมตีอย่างยินดีหลังจากที่รับรู้ว่ามีเพียงแค่หนึ่งคนที่ลงมาในเมื่อโดยปกติแล้วจะมีคน 10 คนลงมาพร้อมกัน

ในเมื่อคนเดียวนับเป็นจำนวนที่รับมือได้

พวกเขาจะจับตัวเจ้าคนนั้นเป็นตัวประกันและไปยังขั้นต่อไป

แต่การที่ทั้งหน่วยลงมาเป็นอีกเรื่องหนึ่ง

‘ทำอะไรไม่ได้แล้ว มันย่อมดีกว่าในการมีชีวิตอยู่แทนที่จะตาย’

แมคคิลกัดฟันกรอด

ถ้าพวกเธอพยายามจะหลบหนีไปพร้อมกับหมอนี่ งั้นพวกเธอก็จะตายกันหมด

“งั้นเธอก็จะไม่บอกอะไรฉันเลย? แม้แต่ตำแหน่งของห้องวิจัย?”

แมคคิลผงกศีรษะกับคำพูดของฮันซู

“ใช่ ถ้าเราถูกจับได้โดยพวกนักล่าหลังจากที่ช่วยนาย มันก็จะมีแต่เสียสำหรับพวกเรา เราจะ… อยู่แบบนี้ต่อไป”

คนพวกนั้นโหดเหี้ยมมากพอแล้ว

ถ้าพวกเธอถูกจับ งั้นพวกเธอก็ไม่อาจแม้แต่จะจินตนาการได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเธอ

ในเมื่อพวกเธอเป็นแค่ทาสที่คอยเติมเต็มความละโมบและความต้องการของพวกนักล่าเท่านั้น

ฮันซูตัดสินใจจบบทสนทนาหลังจากที่ได้ยินแมคคิลเอ่ยคำพูดนั้นออกมา

“เธอนี่ค่อนข้างน่าตลกนะ”

“หืมม?”

แมคคิลแสดงสีหน้ากระวนกระวายออกมาขณะที่มองสีหน้าไร้ความรู้สึกของฮันซู

“เจ้าพวกข้างบนนั่นฆ่าพวกเธอได้”

“…”

“แต่ฉันเองก็ทำได้ ฉันไม่น่ากลัวสำหรับพวกเธอรึไง?”

เฮือก

สันหลังของแมคคิลเย็นวาบ

ดวงตาเยือกเย็นของฮันซูกวาดสำรวจทุกคน

‘แน่นอนว่าฉันไม่มีความคิดจะฆ่าคนพวกนี้…’

มันจะทำงานก็ต่อเมื่อเขาทำในระดับนี้

และยิ่งเขาหาหยกผนึกได้เร็วเท่าใด มันก็จะมีแต่ได้สำหรับคนพวกนี้

ฮันซูเอ่ยขึ้นกับแมคคิล

“นำทางฉัน ไปที่ห้องวิจัย”

“… บ้าเอ้ย”

แมคคิลกัดฟันกรอด

ในตอนนั้นเอง

หนึ่งในคนเฝ้าระวังที่จ้องไปยังทางเข้าด้านบนได้ตะโกนออกมาอย่างเร่งร้อน

“บ้าเอ้ย! แมคคิล! นี่มันแย่แล้ว!”

“ฉิบหายเอ้ย มันจะมีอะไรแย่กว่าตอนนี้อีก…”

ขณะที่แมคคิลสบถออกไป คนเฝ้าระวังก็ตะโกนกลับมาเสียงดัง

“เชี่ย! พวกมันทั้งหมดกำลังลงมา! ทั้งหมดเลย!”

“อะไรนะ? กี่คนนะ?”

คนเฝ้าระวังเอ่ยตอบด้วยสีหน้าหนักอึ้ง

“… สี่สิบ ทั้งหมดเลย”

“ไม่มีทาง ทำไมจู่ๆ ถึง…”

แมคคิลแสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา

การคงอยู่ของปศุสัตว์มนุษย์ไม่ใช่เรื่องที่นักล่าของพื้นที่หนึ่งทุกคนรู้

พวกนั้นทั้งสี่สิบคนไม่มีทางลงมาเล่นกับพวกเธอเฉยๆ แน่

แต่แมคคิลรับรู้แทบจะในทันที

“คังฮันซู! ไอ้ฉิบ… นายทำบ้าอะไรข้างบนนั่น!!”

แมคคิลตวาดออกไปอย่างสิ้นหวัง

เธออยากจะด่าออกไป แต่ดวงตาที่ฮันซูใช้มองเธอก่อนหน้านี้มันน่ากลัวเกินไป

จากนั้น

เสียงตะโกนดังลั่นก็ดังขึ้นจากด้านบน

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! พวกเธอสบายดีรึเปล่า?! แม่หมูตัวเมียที่น่ารักของพวกเรา แมคคิล!”

“… เครอน ไอ้สารเลวนี่”

แมคคิลกัดฟันกรอดจากความโกรธ

ทั้งฟาร์มมองไปยังแมคคิลด้วยความสงสารกระทั่งในระหว่างสถานการณ์ตึงเครียดนี้ แต่ไม่ช้าสีหน้าของพวกเธอก็เต็มไปด้วยความขมขื่นแทน

ในเมื่อสถานการณ์ของพวกเธอเองก็ไม่ต่างกันมากนัก

เครอนที่ยังคงเกาะอยู่ที่ทางเข้าด้านบนมองไปยังสัตว์เลี้ยงของเขาอย่างพึงพอใจ

สายตาที่เต็มไปด้วยความหวาดกลัว

‘ใช่แล้ว แบบนี้แหละ’

เครอนเป็นแค่เฟืองตัวหนึ่งของหมู่บ้าน

แต่ที่นี่มันต่างออกไป

มันให้ความรู้สึกเหมือนกลายเป็นพระเจ้า

‘บ้าเอ้ย… ฉันไม่อยากจะให้คาร์ฮาลรู้เลย’

เครอนแสดงสีหน้าขบขันออกมาในตอนแรก ทว่าจากนั้นก็ขมวดคิ้วเมื่อเขามองไปยังคาร์ฮาล

เขาคือราชาของที่นี่

แน่นอนว่าการที่ใครบางคนอยู่เหนือเขาย่อมไม่ให้ความรู้สึกดีๆ

นี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาบอกกับแค่คนที่อ่อนแอกว่าไม่กี่คนและมีความสุขกับที่นี่ด้วยกัน

และในเมื่อคาร์ฮาลรู้ถึงสถานที่แห่งนี้แล้ว เขาก็ไม่มีอำนาจสูงสุดในที่นี่อีกต่อไป

เครอนมองไปยังฮันซู สาเหตุของเรื่องทั้งหมดนี่ แล้วกัดฟันกรอด

ฮันซูกระทั่งมีสีหน้าสบายๆ

การที่สีหน้าของเขาตัดกับสีหน้าของพวกที่ยืนอยู่ข้างๆ เขาทำให้เครอนยิ่งหัวเสียมากกว่าเดิม

‘ไหนดูสิว่าสีหน้าของแกจะยังเป็นเหมือนเดิมอยู่ไหมหลังจากนี้’

เครอนพลันคิดถึงเรื่องน่าสนุกบางอย่างขึ้นได้ขณะที่เขามองไปยังฮันซูที่อยู่ท่ามกลางชาวนา

‘หืม เดี๋ยวนะ…’

เครอนมองไปยังฟาร์มด้านล่างแล้วตะโกนเสียงดัง

“ฟังคำสั่งเจ้าพวกสัตว์เลี้ยง! โจมตีไอ้ขยะนั่นและฆ่ามันซะ! ฮ่าฮ่าฮ่า!”

“โอ้?”

ขณะที่คาร์ฮาลแสดงสีหน้าขบขันออกมา เครอนก็รู้สึกหดหู่เล็กๆ

ในเมื่อเขารับรู้ได้ว่าคาร์ฮาลอยู่เหนือเขา

เครอนกัดฟันเงียบๆ และมอบข้อเสนอที่ดีขึ้นกว่าเดิมเพื่อที่จะปลดปล่อนความเครียดนั้น

“สำหรับคนที่ทำได้ดีที่สุด ฉันจะให้อาหารมากขึ้น! เราจะดูจากบนนี้! คนที่ไม่สู้… พวกเธอก็รู้ใช่ไหม? เริ่ม!”

“ฉิบหายเอ้ย…”

ไม่ว่าพวกเธอจะสู้หรือไม่ พวกเธอก็จะถูกฆ่ากันหมดอยู่ดี

แมคคิลแสดงสีหน้าตะลึงออกมากับเสียงตะโกนของเครอน

 

 


TL: ก็เมื่อกี้มัวแต่โม้อะไรก็ไม่รู้ไง