บทที่ 149 มั่นใจในชัยชนะ

หลินเหรินเทียนอ่านคำฟ้องด้วยเสียงอันดังก้อง จากนั้นจึงส่งสัญญาณให้ฝ่ายจำเลยกล่าวต่อ

เซี่ยหมินกล่าวอย่างไม่ร้อนใจอะไร “หล่อนฟ้องดิฉันว่าเมื่อไม่กี่ปีก่อน ดิฉันได้จ้างวานให้ใครบางคนขับรถชนหญิงชราคนหนึ่ง นี่ช่างไร้เหตุผลสิ้นดี! ดิฉันไม่ได้มีปัญหาอะไรกับยายของหล่อนอยู่แล้ว ทำไมดิฉันต้องจ้างใครไปฆ่าหญิงชราคนนั้นด้วย!?”

จากนั้น เซี่ยเฉิงเย่จึงกล่าวเพิ่มเติม “แม้แต่ผมก็ถูกกล่าวหาอย่างไม่เป็นธรรมเหมือนกัน ใครก็รู้ว่าผมเป็นชายชาติทหารที่ทุ่มเททุกสิ่งเพื่อประเทศชาติ แล้วทำไมทหารอย่างผมต้องทำสิ่งชั่วร้ายแบบนั้นด้วย?”

คำพูดที่กล่าวออกมาจากปากเซี่ยเฉิงเย่ ทำให้เหล่าลูกน้องของเขาตื่นเต้นจนแทบจะอยากปรบมือให้ดังกึกก้องไปทั่วห้อง พวกเขาเห็นด้วยกับคำพูดของเซี่ยเฉิงเย่ทุกประการ

ในคำฟ้อง ชายหน้าบากเขียนทุกสิ่งอย่างชัดเจนว่าเมื่อ 6 ปีก่อน เซี่ยหมินรวมหัวกับเซี่ยเฉิงเย่ จ้างวานให้ชายคนหนึ่งจงใจสร้างอุบัติเหตุทางรถยนต์ นอกจากนี้ คำให้การของซูซินฉางยังอธิบายรายละเอียดทั้งหมดในคำฟ้องอย่างชัดเจน

อย่างไรก็ตาม เมื่อหลินเหรินเทียนสอบถามเหตุจูงใจในคำฟ้อง ไม่เพียงเซี่ยหมินและเซี่ยเฉิงเย่จะปฏิเสธอย่างสิ้นเชิง พวกเขายังให้การว่าซูเหมิงหานพยายามฟ้องความเท็จ

“ผู้หญิงคนนั้นโกหก”

เมื่อเซี่ยหมินให้การปฏิเสธ ซูเหมิงหานจึงคัดค้านขึ้นมาทันที “ในวันนั้นที่หมู่บ้านชิงเฟิง เธอเป็นคนเล่าทุกอย่างออกมาด้วยตัวเอง แล้วหนูก็บันทึกเสียงทั้งหมดไว้ในโทรศัพท์มือถือแล้วด้วย!”

ซูเหมิงหานกลับเป็นคนมีไหวพริบดีทีเดียว

เธอล้วงเอาโทรศัพท์มือถือขึ้นมา จากนั้นจึงเล่นไฟล์บันทึกเสียง ไม่นานนัก ก็มีเสียงอันฉุนเฉียวของผู้หญิงคนหนึ่งดังขึ้นมา แน่นอนว่าเป็นเสียงของเซี่ยหมิน “………แกพูดว่าอะไรนะ ไปหายาย? ในวันนั้นมันเป็นคนคัดค้านเรื่องการแต่งระหว่างฉันกับพ่อของแก และทำลายความทรงจำอันสวยงามของฉัน! หึ แต่ช่างน่าสงสาร แกคงได้เห็นแค่เถ้ากระดูกของมัน……”

ถ่อยคำเหล่านี้มากพอจะเปิดเผยสันดารที่แท้จริงของเซี่ยหมินให้ทุกคนได้รู้!

เซี่ยหมินไม่เคยคิดเลยว่าซูเหมิงหานจะบันทึกบทสนทนานี้เอาไว้ สีหน้าของเธอพลันแปรเปลี่ยนเป็นมืดครึ่ม แต่เมื่อมองไปรอบๆ เกือบทุกคนรวมทั้งหลินเหรินเทียนยังคงไม่แสดงท่าทีอะไร จึงทำให้เธอรู้สึกโล่งใจขึ้น

“นี่มันอะไร? ฉันเพิ่งมารู้ความจริงว่าหญิงชราคนนั้นเสียชีวิตแล้วต่างหาก คิดจะใส่ความฉันหรือไง?”

ไม่ว่าอย่างไร เซี่ยหมินก็ยังคงปฏิเสธความจริงและโต้ตอบกลับไปอย่างถากถาง

“หนูมีไฟล์บันทึกเสียงอื่นด้วย”

ซูเหมิงหานจ้องมองเซี่ยหมินและคิดว่าเป็นไปตามที่เธอคาดไว้ ผู้หญิงคนนี้เป็นคนจำพวกหน้าด้านเป็นที่สุด ดีที่เธอเตรียมตัวเอาไว้ล่วงหน้าแล้ว ในวันนั้นที่ซูซินฉางเล่าความจริงที่เกิดขึ้นเมื่อ 6 ปีก่อนออกมา ด้วยไหวพริบของเด็กสาว เธอได้บันทึกเสียงเมื่อตอนนั้นเอาไว้เช่นกัน

และเธอก็รอคอยวันนี้มานานแล้ว!

บันทึกเสียงนี้ค่อนข้างยาว ถึงแม้จะผ่านไปแล้ว 5 นาที แต่ก็ยังมีรายละเอียดที่เกี่ยวกับความจริงไม่ชัดเจนพอในคำสารภาพของซูซินฉางต่อหน้าเย่เฟิงและซูเหมิงหานเมื่อเย็นวันนั้น

เมื่อเสียงบันทึกจบลง ทุกคนต่างพากันเงียบกริบ

ผู้คนส่วนใหญ่ต่างหันไปจ้องมองเย่เฟิงและซูซินฉางอย่างพร้อมเพรียง ซูซินฉางไม่คิดเลยว่าซูเหมิงหานจะบันทึกเสียงในตอนนั้นไว้ ซึ่งมันทำให้เขารู้สึกตื่นตกใจอย่างยิ่ง

ลูกสาวคนนี้กลับทำทุกสิ่งอย่างระมัดระวังและรอบคอบ เธอบันทึกคำสารภาพของเขาในวันนั้นเอาไว้หมดเลย!

หลินชื่อฉิงและเสี่ยวฉีต่างรู้สึกแปลกใจเมื่อได้ฟังบันทึกการสนทนานี้ สำหรับพวกเธอแล้ว ซูเหมิงหานที่ดูเหมือนเด็กนักเรียนสาวใสซื่อ กลับมีความคิดที่รอบคอบอย่างไม่น่าเชื่อ! น่าเสียดายที่เสียงบันทึกนี้ยังคงไม่อาจอธิบายทุกสิ่งได้ชัดเจนพอ และยังคงห่างไกลที่จะใช้เอาชนะคดีนี้ได้

หลินเหรินเทียนดันแว่นตาขึ้น ขณะยังคงมีใบหน้าเรียบเฉย “เรื่องไฟล์บันทึกการสนทนาเป็นของแท้หรือไม่ ไว้รอผลการตรวจสอบ ช่วยส่งไฟล์บันทึกให้แก่ผู้เชี่ยวชาญด้วย”

หลินเหรินเทียนนั้นเป็นพวกจิ้งจอกเจ้าเล่ห์ที่สามารถแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินได้อย่างรวดเร็ว แน่นอนว่า‘ผู้เชี่ยวชาญ’ที่กล่าวมานั้นเป็นคนของฝ่ายเขา! ตราบเท่าที่ไฟล์บันทึกตกอยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญ ทุกสิ่งทุกอย่างย่อมตกอยู่ในการควบคุมของเขา

อีกด้านหนึ่ง ซูเหมิงหานเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ได้อย่างรวดเร็ว และดูเหมือนเธอกำลังถูกปฏิเสธ! ไม่นานนัก มือถือของเธอก็ถูกส่งต่อไปยังผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง และเริ่มกระบวนการตรวจสอบในทันที

ถึงแม้เธอจะมีความกระวนกระวายใจ แต่เมื่อมองไปยังเย่เฟิงที่ส่งรอยยิ้มให้กำลังใจมา เด็กสาวก็กลับมาสงบลงอีกครั้งหนึ่ง

ไม่นานนัก ทั่วทั้งห้องพิจารณาคดีก็เต็มไปด้วยเสียงกระซิบกระซาบของผู้คน ทำให้หลินเหรินเทียนต้องเคาะค้อนในมือ “ทุกท่านโปรดเงียบด้วย ในตอนนี้ ขอเบิกตัวคู่กรณีในคดีอุบัติเหตุ‘หลี่ต้าโก่ว’มาที่นี่”

ทันใดนั้น ชายผิวดำวัยกลางคนก็ถูกนำตัวมาที่ห้องพิจารณาคดี

รายละเอียดในคำฟ้อง ระบุไว้ชัดเจนว่าคนที่ขับรถชนยายซูเหมิงหานคือหลี่ต้าโก่ว ก่อนหน้านี้ เขาเป็นเพียงคนงานชั่วคราว แต่ในตอนนี้ เขากลายเป็นหัวหน้าคนงานก่อสร้างในเครือซูเฉิงกรุ๊ป

แม้ตำแหน่งจะเปลี่ยนไปแล้ว แต่ท่าทีและอารมณ์ของหลี่ต้าโก่วไม่ได้เปลี่ยนไปเลย ต่อให้อยู่ในชุดสูทสไตล์ตะวันตก เขาก็ยังดูไม่มีราศีของคนมีฐานะอยู่ดี

ซูเหมิงหานจ้องมองหลี่ต้าโก่วที่ถูกนำตัวมา ไม่นานนัก ร่องรอยของความเกลียดชังก็ปรากฏขึ้นมาในดวงตาคู่งาม ชายคนนี้คือคนที่จงใจขับรถชนเพื่อสังหารยายของเธอ!

เมื่อมาถึงที่นี่ หลี่ต้าโก่วรีบมองซูเหมิงหานเป็นคนแรก แววตาของเขาเต็มไปด้วยความรังเกียจ

“จำเลยหลี่ต้าโก่วจะยอมรับข้อกล่าวหาเรื่องที่เซี่ยหมินและเซี่ยเฉิงเย่จ้างวานให้สร้างอุบัติเหตุทางรถยนต์ขึ้นมา จนทำให้เหยื่อถึงแก่ความตายหรือไม่?”

หนึ่งในคณะผู้พิพากษาเอ่ยถาม

“ผมไม่ยอมรับ แล้วอีกอย่าง คดีนี้ถูกตัดสินไปแล้วไม่ใช่หรือยังไง?”

หลี่ต้าโก่วกล่าวอย่างหนักแน่น หลังจากนั้นจึงหันสายตาไปยังซูเหมิงหาน “ฉันขับรถไม่ระวังจนเกิดอุบัติเหตุ สาวน้อย เธอไม่ควรกล่าวหาคนอื่นไปทั่วแบบนี้นะ”

“โกหก!”

ซูเหมิงหานรีบเอ่ยสวนกลับไปทันที

“เงียบก่อน”

หลินเหรินเทียนลอบเค้นเสียงในใจ แต่ยังคงมีใบหน้าที่เรียบเฉย เขาเริ่มเอ่ยถามหลี่ต้าโก่วไปเรื่อยๆ และทุกๆคำถามที่หลินเหรินเทียนถามออกมา หลี่ต้าโก่วก็ตอบกลับไปตามที่เซี่ยหมินและเซี่ยเฉิงเย่ได้แนะนำเอาไว้ว่ามันเป็นเพียงแค่อุบัติเหตุ

“ตอนนี้ ขอเชิญลูกชายของเหยื่อ‘หวงอันเต๋อ’มาเป็นพยานในศาล”

หลินเหรินเทียนกล่าวต่อไป

หลังจากนั้น หนึ่งในสามคนที่เป็นลุงของซูเหมิงหานได้ลุกขึ้นยืน และเดินมาข้างหน้า หวงอันเต๋อคือพ่อของต้าเกิน ท่าทางของเขาดูกล้าๆกลัวๆเหมือนกำลังลังเลอะไรบางอย่าง

ระหว่างทางที่เดินมา ชายวัยกลางคนไม่เหลือบมองซูเหมิงหานแม้แต่น้อย เขาเดินตรงไปยืนต่อหน้าคณะผู้พิพากษา

หลังจากเอ่ยคำสาบานว่าผู้เป็นพยานจะไม่กล่าวความเท็จ ในที่สุด หวงอันเต๋อก็กล่าวออกมาช้าๆ “เมื่อ 6 ปีก่อน มารดาของผมมีอาการป่วยทางจิตเล็กน้อย สิ่งกล่าวในคำฟ้องของอุบัติเหตุนั้นถูกต้องแล้ว ท่านไม่ระวังเองจึงได้ข้ามถนนโดยไม่ดูสัญญาณไฟ จนเป็นเหตุให้…….”

“คุณลุง!”

นี่มันเกินกว่าที่ซูเหมิงหานจะเข้าใจได้จริงๆ แม้แต่ลูกชายแท้ๆของคุณยายรวมทั้งครอบครัวยังเลือกที่จะอยู่ฝ่ายคนอื่น!

“สิ่งที่ผมพูดออกไปคือความจริง ต่อให้เหยื่อจะเป็นมารดาของผม แต่ความจริงก็ยังเป็นความจริง และผม…….”

ขณะที่หวงอันเต๋อกล่าวออกมาแบบนั้น แววตาของเขาปรากฏร่องรอยของความกังวล ความจริงแล้วเขาไม่กล้าสบตากับซูเหมิงหานด้วยซ้ำไป การเผชิญหน้ากับตระกูลเซี่ยและหลินเหรินเทียนพร้อมกัน มันเป็นสิ่งที่ใครก็มิอาจต่อกรได้! นอกจากนี้ เมื่อวันก่อน หลินเหรินเทียนและคนตระกูลเซี่ยได้หยิบยื่นข้อเสนอแกมข่มขู่ไว้ด้วย

การสอบปากคำพยานทั้งสองจบลงอย่างรวดเร็ว และตาชั่งแห่งชัยชนะได้เอียงไปทางหลินเหรินเทียนแล้ว!

“ท่านประธานผู้พิพากษา หลังจากได้ตรวจสอบไฟล์บันทึกเสียงแล้ว ผลออกมาว่ามันเป็นของปลอมที่ไม่อาจใช้เป็นหลักฐานได้”

ไม่นานนัก ผลการตรวจสอบจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางก็ออกมา ผลปรากฏว่าซูเหมิงหานได้ใช้หลักฐานปลอมแปลง ข้อกล่าวหาเท็จและหลักฐานเท็จ ทั้งสองสิ่งนี้มากพอจะทำให้เด็กสาวต้องใช้ชีวิตอยู่หลังลูกกรงไปอีกหลายปี!

“อืม ต่อไปเป็นการสอบปากคำบิดาของฝ่ายโจทก์ ซูซินฉางในฐานะพยาน”

หลินเหรินเทียนเผยแววตาพึงพอใจออกมา

หึ สาวน้อย คิดจะต่อกรกับเขางั้นรึ ไม่มีทาง!

เมื่อซูซินฉางยืนขึ้น หลินเหรินเทียนรู้สึกว่าได้กำชัยชนะเอาไว้ในมือแล้ว แน่นอนว่าเขายื่นข้อเสนอแกมข่มขู่ให้แก่ชายคนนี้เช่นกัน หลินเหรินเทียนเชื่อว่าซูซินฉางต้องไม่กล้าเปิดเผยความจริงออกมาแน่!

“ระหว่างลูกสาวของคุณกับศัตรู ผมหวังว่าคุณคงคิดดีแล้วว่าจะเลือกใคร”

เมื่อซูซินฉางยืนขึ้น เย่เฟิงได้เอ่ยปากย้ำเตือน ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองไปยังเซี่ยหมินและเซี่ยเฉิงเย่ที่นั่งอยู่อีกด้านหนึ่ง

ถ้าผลออกมาเลวร้าย เขาคงต้องใช้ทักษะสะกดจิตจัดการเรื่องทั้งหมด

ไม่มีใครรู้ว่าชัยชนะนั้นตกอยู่ในกำมือของเย่เฟิงตั้งแต่เริ่มแล้ว!

…………………………………

แปลโดย: Solar Spark

Solar Spark: ช่วงนี้มีแต่บทคุยกันยาวๆนะครับ อาจน่าเบื่อหน่อยสำหรับบางคน แต่จบเรื่องนี้พี่เย่ก็จะไปลุยทะเลจีนตะวันออกล่ะ