บทที่ 148: หมู่บ้านของผู้เหนื่อยล้า (1)

 

 

 

ตูมมมม!

แสงสีฟ้ารอบกายของฮันแตเข้าปะทะกับมานาสีดำทองของฮันซูอย่างรุนแรง

ครืนนนน

‘ชิ ถึงมันจะเป็นแค่เกมของเจ้าพวกเผ่าพันธุ์ชั้นสูงเวรนั่นสร้างขึ้น…’

ฮันซูส่ายศีรษะของเขาเมื่อเขารู้สึกได้ว่ามานามังกรปีศาจของเขาสะเทือนเล็กๆ

แม้ว่าเจ้าฮันแตนี่จะค่อนข้างแข็งแกร่ง เขาก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าพอกับกระทั่งการสร้างรอยขีดข่วนขึ้นบนมานามังกรปีศาจรอบๆ กายเขา

แต่หากเจ้านั่นมีปลอกคอสุนัขของเผ่าอารูคอน หยกฟ้า เรื่องราวมันก็เปลี่ยนไปนิดหน่อย

<หยกฟ้า>

มันจะมอบมานาและพลังปริมาณมหาศาลให้กับผู้ครอบครอง

แต่ในเวลาเดียวกัน คนคนนั้นก็ต้องทำสัญญาทาส

ในเมื่อพวกเขาจะต้องมีชีวิตอยู่เพื่อเผ่าพันธุ์ชั้นสูงตั้งแต่วินาทีที่พวกเขาตัดสินใจที่จะมีชีวิตอยู่อย่างสุนัขล่าเนื้อ

มันมีสามวิธีในการหลบหนีชะตากรรมของสุนัขล่าเนื้อ

ตายเพราะไม่อาจที่จะเติมเต็มโควตาได้ทัน ถูกลากไปที่กรงนก หรือสร้างสุนัขล่าเนื้อขึ้นอีกตัว

‘อืม ดูเหมือนเขาจะค่อนข้างพอใจกับสถานะหมาล่าเนื้อของตัวเองเลยนะ’

ฮันซูมองไปยังฮันแตที่เข้ามาจู่โจมเขาด้วยสีหน้ายินดีอย่างมาก

“อุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! ต่อไปตาเธอแล้วอัลแตร์! ฉันจะเล่นกับเธอสักหน่อยก่อนที่จะส่งเธอไป! ส่วนแกก็ต้องมาแทนเอลิสเหมือนกัน!”

จากที่เขาได้ยินมา เวลาในการเติมเต็มโควตาสิบคนคือสองอาทิตย์

มันไม่มีความจำเป็นที่จะต้องเติมเต็มมันในทันที

อัลแตร์กัดฟันกรอดเมื่อได้ยินเช่นนั้นขณะที่เธอยืนยิงสกิลใส่อีกฝ่ายอยู่ห่างออกไป

พวกเธอได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยเกี่ยวกับเผ่าพันธุ์ชั้นสูงมากเสียจนถึงจุดที่พวกเธอรู้สึกเอียน

“ดูเหมือนว่านายจะค่อนข้างมีความสุขกับการเป็นหมารับใช้คนอื่นนะ ในเมื่อแกก็เป็นหมามาตั้งแต่แรกแล้ว”

“อุฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! แล้วยังไงล่ะ! ผู้คนต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์! แน่นอนว่ามันมีโอกาสที่มนุษย์จะกลายเป็นทาสในเมื่ออีกโลกมันบิดเบี้ยวไปหมดแล้ว!”

มันมีเผ่าพันธุ์ที่แข็งแกร่งกว่ามนุษย์

แล้วยังไงล่ะ?

กระทั่งในโลกที่มีแต่มนุษย์ มันก็ยังคงมีชนชั้นอยู่ดี

เหมือนกับนักล่าที่อยู่เหนือกว่าเขาในเขตสีส้ม กวานแจ หรือเอนบิ อาริน

‘ไม่มีอะไรเปลี่ยน’

ซึ่งมันทำให้ทุกอย่างง่ายขึ้น

ขึ้นไปให้ได้สูงที่สุดเท่าที่จะสามารถปีนขึ้นไปได้

‘ฉันกลายเป็นหมาแล้วยังไงล่ะ?’

ผู้คนที่อาศัยอยู่ใต้กฎก็ยังคงมีชีวิตอยู่ดี

ทางออกมีอยู่เสมอ

และจะยังไงการเป็นหมูหรือหมาที่ท้องอิ่มย่อมดีกว่าการเป็นมนุษย์ที่หิวโหยอยู่ดี

แต่ฮันซูส่ายศีรษะเมื่อได้ยินคำพูดของฮันแต

“ใช่ นายสามารถเป็นทาสได้ แต่มันไม่มีความจำเป็นจะต้องทำตามอย่างมุ่งมั่นขนาดนั้น”

โลกที่มนุษย์เป็นเหมือนทาส

เขาจะพลิกโลกนี้ไปอีกด้าน

จากนั้นเขาจะยึดเอาแหล่งกำเนิดของพลังนั้นของเผ่าพันธุ์ชั้นสูงมาแล้วมอบมันให้กับมนุษย์

เหมือนกับการที่โพรมีทีอูสมอบเปลวเพลิงให้กับมนุษย์

‘มาจบเรื่องนี้กันเถอะ’

เขาอ่านโค้ดออกแล้ว

มันไม่มีความจำเป็นให้ยืดเยื้อเรื่องนี้ออกไปอีก

และในเสี้ยววินาทีต่อมา เมฆดำก็ได้ปรากฏขึ้นและโอบล้อมร่างของฮันซู

“หือ?”

ฮันแตที่ชะงักไปชั่วขณะรับรู้ได้ในไม่ช้าว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับเขาและกำลังจะแสยะยิ้มออกมา

‘เขาทำอะไรรึเปล่าน่ะ คุฮะฮะฮะ’

แต่ฮันแตไม่อาจหัวเราะออกมาได้จริงๆ

ในเมื่อแสงสีฟ้าที่โอบล้อมอยู่รอบตัวเขากำลังหายไป

“อื้อ??? หือ?”

ฮันแตรู้สึกสับสนอย่างมากขณะที่เขามองไปยังร่างของตนเอง

ผงของหยกฟ้าที่เป็นที่มาของแสงสีฟ้าที่โอบล้อมร่างของฮันแตอยู่

ผงเหล่านั้นกำลังกลายเป็นสีดำ

“ไอ้เวรเอ้ย! นี่แกทำอะไรลงไป!”

ฮันซูจ้องไปยังผงหยกฟ้าที่เปลี่ยนเป็นสีดำเมื่อได้ยินเช่นนั้น

สุดท้ายแล้วหยกฟ้าก็เป็นเพียงเครื่องมือและเครื่องจักร

ดังนั้นแล้วมันจึงสามารถถูกปนเปื้อนโดยเมฆดำได้

มันต้องใช้เวลาสักหน่อยในเมื่อโค้ดของมันค่อนข้างซับซ้อน แต่การสังเกตมันในระหว่างต่อสู้ไม่ได้ยากอะไรขนาดนั้น

‘มันยังไม่ใช่เวลาให้ฉันเผยตัวต่อเผ่านักล่า’

ดังนั้นแล้วเขาจึงต้องหลอกพวกนั้น

ตูมมม!

“อ๊ากกกก!”

ร่างของฮันแตกระเด็นออกไปจากลูกเตะของฮันซูและลอยออกไป

ไปยังบริเวณที่อัลแตร์และคนอื่นๆ อยู่

“อึก…”

และฝ่าเท้าจำนวนนับไม่ถ้วนก็กำลังรอต้อนรับเขาอยู่

พลั่ก! พลั่ก!

“ไอ้เวรเอ้ย พูดอีกรอบสิ! กับการที่ฉันไปเรียกแกว่ารองกัปตันของพวกเรา!”

หนึ่งในสมาชิกของหน่วยจู่โจมสายฟ้าแล่บเตะร่างของฮันแตอย่างไม่ยั้งมือ

เขาคือคนที่ทำตามคำพูดของฮันแตมากกว่าอัลแตร์

แต่ตอนนี้เขากำลังหัวเสียอย่างมากกับความเป็นศัตรูที่ฮันแตแสดงขึ้นกับพวกเขา

“อั่ก… ไอ้พวกบัดซบเอ้ย…”

ฮันแตขยับร่างกายของเขาเพื่อที่จะต่อต้าน แต่เขาไม่มีพลังจะทำแบบนั้นหลังจากที่เสียพลังจากหยกฟ้าและถูกฮันซูโจมตี

และโดยเฉพาะเมื่อเขาถูกล้อมโดยคนเก้าคน

ในขณะที่คนทั้งสิบกำลังจัดการเรื่องของพวกเขา ฮันซูก็เพ่งประสาทสัมผัสทั้งหมดของเขาไปยังเมฆดำ

อืม ความจริงแล้วมันคือผงหยกฟ้าที่เมฆดำไปกลืนกินไป

‘ฉันต้องรีบส่งสัญญาณไป’

คว้างงง

ผงสีดำที่ลอยอยู่รอบๆ ร่างของฮันแตถูกดูดไปยังเหนือมือของฮันซูและกลายเป็นลูกแก้ว

มันไร้ซึ่งแสงสว่างจ้า มีเพียงแค่ลูกแก้วสีดำสนิทที่ดูเหมือนว่าสามารถกลืนกินทุกอย่างเข้าไปได้เท่านั้น

ฮันซูมองไปยังลูกแก้วนั้นเล็กน้อยก่อนจะใช้เมฆดำส่งสัญญาณออกไป

สัญญาณปลอมที่บอกว่าสุนัขล่าเนื้อกำลังทำหน้าที่เป็นอย่างดี

แม้ว่ามันจะเรียบง่ายอย่างมาก มันก็เกินกว่าพอในการหลอกพวกนั้น

‘พวกมันคงไม่ได้สนใจหมาล่าเนื้อตัวหรือสองตัวนักหรอก’

หยกฟ้าไม่ใช่อะไรนอกจากการที่พวกนั้นหาอะไรทำ

กับพวกมือใหม่ที่เพิ่งขึ้นมา

แม้ว่าจำนวนของคนที่ถูกลากเข้าไปในกรงนกจะมีมหาศาลจากเรื่องนี้

‘อืม ในเมื่อพวกมันจะยังไม่ฆ่าพวกเขาในตอนนี้… พวกเขาก็คงรอได้อีกสักพัก’

การช่วยเหลือคนที่ถูกจับอยู่ในกรงนกเป็นงานหลังจากนี้

ฮันซูใส่หยกฟ้าที่ปนเปื้อน ที่กลายเป็นหยกสีดำในตอนนี้ เข้าไปในกระเป๋าของเขา

ในเมื่อเขาจะต้องใช้มันในอนาคต

ฮันซูคิดถึงเป้าหมายต่อไปของเขาขณะที่เขาเก็บหยกดำ

หมู่บ้านพักรบ

หนึ่งในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ระหว่างเผ่าพันธุ์และสร้างสมดุลขึ้นต่อกัน

เขาจะจุดไฟที่จะกลืนกินทุกอย่างขึ้นจากที่นั่น

‘จากความทรงจำของคาลิคราวน์ ร่องรอยของมนุษย์ต้องใช้เวลาสองวันในการเดินทาง’

แต่มันยากในการหาตำแหน่งของหมู่บ้านแม้ว่าจะเป็นคาลิคราวน์

ในเมื่อหมู่บ้านจะตั้งอยู่ในที่ที่ยากจะค้นหา รวมทั้งมีกลไกจำนวนมากในการปิดบังมัน

เขาต้องตามสัญลักษณ์ไปเพื่อที่จะหาหมู่บ้าน

ร่องรอยที่ไม่อาจค้นหาได้ด้วยประสาทสัมผัส แต่เป็นสกิลค้นหาเท่านั้น

สัญลักษณ์ที่สามารถติดตามไปได้ด้วยประสาทสัมผัสมีโอกาสที่จะนำสัตว์อสูรเข้ามาด้วย

สัญลักษณ์ที่ถูกออกแบบมาให้ไล่สัตว์อสูรออกไปและดึงดูดมนุษย์เข้ามา

‘สกิลค้นหา…’

ฮันซูมอไปยังอัลแตร์ที่กำลังกระทืบฮันแตอย่างเสียสติอยู่ห่างออกไป

 

 

 

อัลแตร์สัมผัสอัญมณีเล็กจิ๋วที่ฝังอยู่ในต้นไม้และใช้สกิลออกไป

กิ้งงง

อัญมณีที่ถูกเชื่อมต่อกับสกิลค้นหาแสดงตำแหน่งของอัญมณีต่อไปให้กับอัลแตร์

‘ยอดเยี่ยม งั้นหมู่บ้านก็จะปรากฏขึ้นถ้าเราตามมันไปแบบนี้ใช่ไหม?’

ถ้ามันไม่มีอัญมณีแบบนี้ พวกเธอก็คงไม่แม้แต่จะรู้ถึงการมีตัวตนอยู่ของหมู่บ้าน

อัญมณีได้แสดงทิศทางของหมู่บ้าน รวมทั้งสภาพของหมู่บ้านโดยรวม

ราวกับว่ามันต้องการให้ถูกค้นพบโดยเร็วที่สุด

‘ฟิ้ว… ฉันอยากจะหามันให้เจอเร็วๆ จริงๆ’

อัลแตร์แสดงสีหน้าเหนื่อยล้าออกมาขณะที่เดินไป

โดยปกติแล้ว เธอคงจะรู้สึกหวาดระแวงในอัญมณีที่ดึงดูดมนุษย์อย่างเถรตรงมากๆ

ทว่าเธอไม่กระทั่งมีโอกาสที่จะทำแบบนั้นอีกต่อไป

ในเมื่อไอ้ป่าเวรนี่ไม่ได้เว้นเวลาให้ใครพักทั้งนั้น

‘เวรเอ้ย มันมาอีกแล้ว!’

อัลแตร์กัดฟันกรอดหลังจากที่รับรู้ได้ถึงบางอย่างในขอบเขตการรับรู้ของเธอก่อนจะตะโกนออกไป

“สามนาฬิกา! คราวนี้แค่ตัวเดียว!”

ฮันซูกำหมัดของเขาแน่นเมื่อได้ยินคำเตือนของอัลแตร์

‘อย่างที่คิด ฉันต้องมีสกิลประเภทการตรวจจับอย่างน้อยสักสกิล’

เขาได้ครอบครองร่างกายที่แข็งแกร่งเกินกว่าที่มนุษย์ทั่วไปจะสามารถจินตนาการด้วยสกิลเสริมพลังมังกรปีศาจ การผ่าตัดดัดแปลงร่างกาย และดาบแก่นแท้มังกร

แต่แน่นอนว่ามันยังคงมีความแตกต่างระหว่างฮันซูที่ไม่อาจใช้สกิลตรวจจับได้ และอัลแตร์ผู้ที่ลับคมสกิลตรวจจับในฐานะของหน่วยสอดแนมจนแหลมคม ในด้านของระยะการตรวจจับ

ฮันซูยกหอกสายฟ้าของเขาขึ้นและขว้างมันไปภายในป่า

ตูมมม!

กรรร!

เสียงระเบิดดังลั่นปรากฏขึ้นจากภายในส่วนลึกของป่า

ในเวลาเดียวกัน บางอย่างที่กำลังหงุดหงิดก็กระโจนออกมาจากป่า

อัลแตร์ขบฟันแน่นขณะที่เธอมองไปยังสัตว์อสูรรูปร่างเหมือนสิงโตที่พุ่งเข้ามาหาพวกเธอ

ยิ่งพวกเธอเข้าไปลึกเท่าไหร่ การโจมตีของสัตว์อสูรถี่มากขึ้นเท่านั้น

ราวกับว่าพวกมันกำลังแสดงให้เห็นว่าพื้นที่ที่เธอและกลุ่มของเธอร่อนเร่ไปมาเป็นเวลาสามสัปดาห์ไม่อาจนับเป็นอะไรได้

มันอาจจะต่างออกไปถ้าพวกเธอมีคนจำนวนมาก แต่นี่ไม่ใช่อะไรที่พวกเธอแค่สิบคนจะสามารถฝ่าไปได้

‘ถ้าหมอนี่ไม่ได้อยู่ที่นี่ งั้นเราก็คงจะตายกันไปนานแล้ว’

ในทางกลับกันกับการที่พวกเธอบอกทาง เขาจะเดินทางไปกับพวกเธอจนถึงหมู่บ้าน

นี่คือสัญญา

แต่ไม่ว่าอัลแตร์จะคิดถึงมันแบบเป็นเหตุเป็นผลมากแค่ไหน สถานที่แบบนี้มันก็ไม่ใช่ที่ที่ควรจะมีมนุษย์อาศัยอยู่

“พวกมันจะโผล่ออกมาถึงเมื่อไหร่เนี่ย! คนอาศัยอยู่ในที่แบบนี้ได้จริงๆ เหรอ?”

อัลแตร์ตะโกนออกไปอย่างหัวเสีย

 

 

 

“…มีอยู่จริงๆ ด้วย”

อัลแตร์จ้องไปยังเมืองที่ตั้งอยู่ที่ทิศทางที่อัญมณีเม็ดสุดท้ายชี้ไปด้วยสีหน้าว่างโล่งก่อนจะพึมพำกับตัวเอง

พวกเธอเดินผ่านหุบเขา น้ำตก และยังคงเดินต่อไป

จนถึงช่วงเวลาที่การโจมตีของสัตว์อสูรเริ่มน้อยลง หมู่บ้านที่ถูกปิดบังอยู่ก็ปรากฏขึ้นที่เบื้องหน้าพวกเธอ

<โอเอซิส>

ป้อมปราการสูงตระหง่านและประตูที่สร้างขึ้นจากไม้ที่สูงอย่างน้อยสามสิบเมตร

สีหน้าของอัลแตร์เจิดจ้าขึ้นเมื่อเธอเห็นหมู่บ้านที่มีขนาดกึ่งกลางระหว่างหมู่บ้านขนาดใหญ่และเมืองขนาดเล็ก

ในที่สุดพวกเธอก็สามารถหนีออกจากไอ้ป่าเวรๆ นี่ที่พวกเธอไม่แม้แต่จะเห็นร่องรอยของมนุษย์และมาถึงยังสถานที่ที่พวกเธอสามารถอาศัยอยู่ได้

แต่สีหน้าของอัลแตร์ทะมึนลงเล็กๆ

พร้อมกับสมาชิกในกลุ่มด้านหลังของเธอ

พวกเธอได้ค้นหามนุษย์ด้วยความกระวนกระวายที่พวกเธอรู้สึกเพราะไม่เห็นร่องรอยของมนุษย์เลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อพวกเธอค้นพบ ความคิดจำนวนมากที่ถูกกลบฝังเอาไว้ก็เริ่มลอยฟุ้งขึ้นมาในสมองอีกครั้ง

ว่าคนที่อาศัยอยู่ในอีกโลกนั้นไม่ได้เป็นมิตรกับมนุษย์คนอื่นๆ เหมือนกับในโลกจริง

ในบางครั้ง พวกเขากระทั่งอันตรายกว่ามนุษย์เสียอีก

ในตอนนั้นเอง

ฮันซูเดินออกมาจากกลุ่มและมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้าน

อัลแตร์ครุ่นคิดไปชั่วครู่กับการกระทำอันรวดเร็วของฮันซู ทว่าก็ยังคงมุ่งหน้าไปยังหมู่บ้านเช่นกัน

‘ใช่แล้ว มันไม่น่ามีปัญหามากขนาดนั้น ประสาทสัมผัสอันตรายของฉันก็ไม่ได้บอกอะไรเหมือนกัน ดังนั้น…’

และการที่ฮันซูอยู่ข้างๆ พวกเธอก็ทำให้พวกเธอรู้สึกสบายใจกว่ามาก

วูดดดด

เมื่อพวกเธอเข้าไปใกล้ หอคอยเฝ้าระวังที่อยู่บนสุดของป้อมปราการก็ส่งเสียงดังขึ้น

‘หืมม?’

อัลแตร์ใช้สกิลของเธอและพยายามจะฟังว่าคนเหล่านั้นพูดอะไร แต่ด้วยเหตุผลบางอย่างทำให้เธอทำแบบนั้นไม่ได้

แต่มีอย่างหนึ่งที่ชัดเจน

คนเหล่านั้นไม่ได้เป็นศัตรูกับพวกเธอ

‘ไม่สิ มันเหมือนกับการต้อนรับพวกเรามากกว่า’

ไม่ช้า บันไดเชือกก็ได้ถูกโยนลงมาจากด้านบนของป้อมปราการ

และจากนั้นเสียงตะโกนดังลั่นก็ดังขึ้น

“ใช้มันขึ้นมา!”

ศักดิ์ศรีของอัลแตร์ได้รับความเสียหายเล็กน้อยเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ทำไมพวกเธอจะต้องใช้ไอ้บันไดเชือกนั่นปีนขึ้นไปบนป้อมปราการที่สูงแค่ราวๆ 30 เมตรด้วย

‘พวกนั้นดูถูกพวกเราเพราะพวกเราเป็นเด็กใหม่รึไง?’

อัลแตร์รวบรวมพลังไปที่เท้าของเธอ

จากนั้นจึงใช้สกิล <รองเท้าขนนก> สกิลที่จำเป็นสำหรับหน่วยสอดแนมที่ทำให้ร่างของคนคนหนึ่งเบาขึ้น

ตูมมม!

ร่างที่เบาขึ้นของอัลแตร์สามารถกระโดดขึ้นไปบนป้อมปราการที่สูงสามสิบเมตรและร่อนลงที่ช่องว่างเหนือป้อมปราการได้อย่างง่ายดาย

เหมือนกับคนอื่นๆ ในกลุ่ม

ใครบางคนปรบมือเมื่อเห็นเช่นนั้น

แปะ แปะ แปะ

“ดูเหมือนว่าฉันจะประเมินเด็กใหม่ต่ำไปหน่อยนะ ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า! จะยังไงก็เถอะ ยินดีต้อนรับ! ในที่สุดก็มีเด็กใหม่มาหลังจากผ่านมาหนึ่งเดือนเต็มๆ!”

อัลแตร์มองไปยังผู้ที่โยนบันไดเชือกลงไปให้พวกเธอเหนือหอคอยเฝ้าระวัง

แม้ว่าเขาจะมีรูปร่างค่อนข้างเล็ก กล้ามเนื้อที่เป็นมัดแน่นทั่วร่างของเขาก็บอกพวกเธอว่าชีวิตของเขาไม่ได้ง่ายดาย

ดวงตาของเขาเองก็ส่องประกายราวกับดวงตาของเสือเช่นกัน

ชายคนนั้นมองไปยังอัลแตร์และตะโกนเสียงดัง

“ยินดีต้อนรับสู่โอเอซิสเจ้าพวกลูกเจี้ยบ ฉันชื่อคาริม กัปตันของการ์ดที่นี่”

คาริมมองไปยังเหล่าการ์ดที่อยู่บนหอคอยเฝ้าระวังบนป้อมปราการก่อนจะหันกลับมายังกลุ่มของอัลแตร์และแย้มยิ้ม

“พวกเธอพยายามอย่างหนักจนมาถึงที่นี่ เอาล่ะ เอาล่ะ ในเมื่อพวกเธอมาถึงที่นี่แล้ว ให้ฉันพาพวกเธอเดินดูรอบๆ หมู่บ้านแล้วกัน ดีใช่ไหมล่ะ?”

จากนั้นคาริมจึงชี้ไปยังหมู่บ้านที่อยู่ภายในป้อมปราการ

และความภาคภูมิใจก็ได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของคาริม

‘มันจะสักแค่ไหน…’

อัลแตร์เหลือบมองไปยังหมู่บ้านภายในป้อมปราการเพราะเธอรู้สึกสงสัยจากสีหน้าของคาริม

สิ่งก่อสร้างจำนวนมากที่ถูกสร้างขึ้นด้วยไม้

สีหน้าของอัลแตร์ดูดีขึ้นเมื่อเธอเห็นตลาดที่ดูเรียบร้อยในลานกว้าง

จริงแล้วสิ่งก่อสร้างไม่ใช่สิ่งสำคัญ

สิ่งที่สำคัญคือท่าทีของผู้คน

มันมีรอยยิ้มบนใบหน้าของคนเหล่านั้น และพวกเขาก็เต็มไปด้วยพลัง

ซึ่งหมายความว่า คนเหล่านี้ค่อนข้างจะรู้สึกมั่นคงและเหมือนอยูที่บ้าน

‘ว้าว สมแล้วที่จะรู้สึกภูมิใจ นี่มันยอดเยี่ยมชะมัด’

อัลแตร์ผงกศีรษะ

ควรแล้วที่พวกเขาจะภาคภูมิใจในการที่สามารถสร้างหมู่บ้านแบบนี้ขึ้นได้ท่ามกลางป่าที่เต็มไปด้วยสัตว์อสูรจำนวนนับไม่ถ้วน

ขณะที่อัลแตร์ถอนหายใจอย่างโล่งอกและเดินเข้าไปยังสถานที่ที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายของมนุษย์นั้น

ฮันซูเองก็ผงกศีรษะขณะที่มองไปยังรอบๆ

ของจำนวนมากที่ตลาดได้เข้ามาในสายตาของฮันซู

เขาจะสามารถประหยัดเวลาได้มากหากเป็นแบบนี้

‘เตรียมการให้เสร็จที่นี่’

คาริมปรบมือขณะที่เขามองไปยังฮันซูและอัลแตร์ก่อนจะชี้ไปยังส่วนด้านใน

“อืม เรื่องคุยเล่นพอแค่นี้แล้วกัน มาพูดเกี่ยวกับรายละเอียดหลังจากที่เราเข้าไปด้านในเถอะ ในเมื่อหอคอยเฝ้าระวังไม่ใช่สถานที่ที่ดีในการพูดคุยเท่าไหร่”

อัลแตร์มองไปยังฮันซูและเอ่ยตอบคาริม

“แล้วคุณจะทำอะไร? คุณจะไปกับพวกเราเหรอ?”

คาริมแย้มยิ้มขณะที่เขามองไปยังอัลแตร์

“มันจะไม่เป็นแบบที่เธอคิด”

“…?”

ขณะที่อัลแตร์แสดงสีหน้าลนลานออกมา คาริมก็หัวเราะเบาๆ แล้วเอ่ยขึ้นอีกครั้ง

“อย่ากลัวไปเลย ฉันกำลังบอกว่าที่พักของพวกเด็กใหม่อยู่แยกกัน มาทางนี้สิ สงบสติอารมณ์แล้วพักผ่อนสักหน่อย”

“ฟิ้ว…”

อัลแตร์ถอนหายใจอย่างโล่งอก

พื้นที่ใหม่

เธอทำได้เพียงรู้สึกกังวลเมื่อมาถึงจุดนี้ แต่บรรยากาศที่นี่ไม่ได้ดูเลวร้ายนัก

มันดีเกินกว่าสถานที่แบบอีกโลกด้วยซ้ำ

แต่อัลแตร์ส่ายศีรษะเมื่อคิดเช่นนั้น

‘ใช่แล้ว ในเมื่อมนุษย์ไม่ใช่เจ้าของโลกใบนี้ พวกเขาก็ต้องรวมพลังกัน…’

การรวมพลังกันเป็นเรื่องชัดเจนถ้าพวกเขามีศัตรูร่วมกัน

‘ไม่สู้กันเอง… ก็ดีมากพอแล้ว’

สีหน้าของอัลแตร์ดูดีขึ้นมาก

 

 

ผู้หญิงหน้าตาสวยงามมากคนหนึ่งกำลังรับฟังรายงานจากชายคนหนึ่งในส่วนที่ลึกที่สุดในหมู่บ้าน

“นายบอกว่าเด็กใหม่มางั้นเหรอ?”

ผู้หญิงที่มีรูปลักษณ์สะดุดตาด้วยเรือนผมสีบลอนด์และดวงตาสีแดง

คาริมที่ต้อนรับอัลแตร์และกลุ่มของเธอก่อนหน้าผงกศีรษะกับคำถามของหัวหน้าหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ปลอดภัย เอคิดู

“น่าโล่งใจจริงๆ มันเหลือเวลาอีกไม่มากจนถึงเวลาบูชายัน แต่การที่พวกนั้นมาได้จังหวะพอดี”

เอคิดูขมวดคิ้วเมื่อได้ยินเช่นนั้น

‘จนถึงเมื่อไหร่กันที่พวกเราจะ…’

เอคิดูแสดงสีหน้าเหนื่อยล้าออกมาขณะที่ทิ้งร่างลงไปในเก้าอี้

และคาริมรีบเอ่ยเร้าขณะที่เขามองไปยังเอคิดู

“นี่ไม่ใช่เวลามาคิดนะ เด็กใหม่จำนวนมากหยุดมาที่นี่ตั้งแต่เมื่อสามสัปดาห์ก่อน เธอกำลังคิดจะส่งพวกเรา คนที่อาศัยอยู่ที่นี่มาเกินหนึ่งปีและสู้กับพวกสัตว์อสูรออกไปรึไง? พวกเราที่สู้มากับเธอ? แทนที่จะเป็นเด็กใหม่ที่เพิ่งเข้ามา?”

“…”

“อย่าลืม ว่าความสงบสุขในเมืองนี่คงอยู่ได้เพราะอะไร”

เอคิดูผงกศีรษะด้วยสีหน้าหนักอึ้งเมื่อได้ยินเช่นนั้น

ในเมื่อมันถูกต้องทั้งหมด

‘ฉันต้องซื้อเวลา’

“… เราเหลือเวลาอีกเท่าไหร่? จนถึงตอนที่เราต้องส่งเครื่องสังเวยไป?”

“หนึ่งสัปดาห์ อย่ากังวลเลย ฉันจะจัดการทั้งหมดเอง”

เมื่อพูดจบ คาริมก็เดินออกไปข้างนอก

 

 


TL: ตอนนี้ 16 หน้าล่ะค่ะ…//ปาดเหงื่อ