บทที่ 131 เสี่ยวฉีปรากฏตัว

เมื่อหน้ากากถูกถอดออก ใบหน้าที่ปรากฏต่อสายตาทุกคนทำให้พวกเขาต้องตกตะลึงไปตามๆกัน

โคตรอัปลักษณ์!

เพียงมองแค่แวบเดียว ไม่ว่าใครก็คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าใบหน้าของชายคนนี้แทบจะเหมือนหมู ดวงตาข้างหนึ่งใหญ่โตมโหฬาร ขณะที่ดวงตาอีกข้างเรียวเล็ก ไม่ใช่แค่นั้น ดวงตาทั้งสองข้างยังอยู่ห่างกันมากจนกลายเป็นดูน่าเกลียดน่ากลัว ความอัปลักษณ์ยังไม่จบสิ้นลงแค่นี้ สันจมูกยังยุบจนแทบจะติดกับใบหน้า ขณะที่ปลายจมูกยกขึ้นจนเห็นขนในรูจมูกได้อย่างชัดเจน ปากของเขายังใหญ่โตจนเผยให้เห็นฟันในปากที่มีแต่สีดำและสีเหลือง เพียงแค่ได้มองใบหน้าของชายคนนี้ก็ทำให้ใครหลายคนรู้สึกอยากอาเจียนแทบจะทันที

ทุกคนที่นี่กล้ารับประกันเลยว่าบนโลกใบนี้ ไม่มีใครหน้าตาอัปลักษณ์มากกว่าชายคนนี้อีกแล้ว!

โลกใบนี้กลับมีคนที่หน้าตาน่าเกลียดขนาดนี้อยู่จริง!

คิ้วเรียวสวยสีดำของหลินชื่อฉิงขมวดแน่น แม้ว่าปกติแล้วหญิงสาวจะไม่ใช่คนที่ตัดสินใครเพียงแค่รูปลักษณ์ภายนอก ถึงอย่างนั้นสำหรับชายคนนี้ เธอไม่อาจทนมองใบหน้าอันไร้ระเบียบของเขาได้อีกต่อไป

ขณะเดียวกัน เมื่อเย่เฟิงมองเห็นปฏิกิริยาของผู้คน เขาก็ลอบหัวเราะอยู่ในใจ คนเหล่านี้จะรู้จักทักษะอำพรางได้อย่างไร? แล้วก็เป็นไปตามที่คาดไว้ เย่เฟิงเปลี่ยนใบหน้าตนเองเป็นใบหน้าของโม่จิ่วเกอตัวจริงที่ทำให้ทุกคนรวมทั้งหลินเต๋อเทียนกลายเป็นโง่งม เดิมทีเย่เฟิงไม่ได้คิดจะใช้ใบหน้าของโม่จิ่วเกอแสดงต่อทุกคนในที่นี้ เพราะหากเขาใช้ใบหน้านี้ นั่นก็หมายความว่าเขาต้องใช้ใบหน้าเดียวกันเมื่อต้องถอดหน้ากากต่อหน้าหลงหวางเอ๋อ….

“อะแฮ่ม เอาละ พาเขาไปโรงพยาบาลเถอะ”

หลินเต๋อเทียนไม่กังวลใจอีกต่อไป เขากวักมือแล้วเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงที่มีร่องรอยของความลำบากใจ

เดิมที เขาคิดว่าชายคนนี้สวมหน้ากากไว้ตลอดเพียงเพราะว่าต้องการปกปิดตัวตนไว้ แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่าใบหน้าของชายคนนี้จะอัปลักษณ์ได้ถึงขนาดนี้ ความจริงแล้ว การมีใบหน้าที่โคตรอัปลักษณ์ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร เพียงแต่มันอาจทำให้ผู้คนตื่นกลัวเท่านั้นเอง ไม่น่าแปลกใจว่าทำไมเขาถึงชอบสวมหน้ากากอยู่เสมอ

นอกจากชายคนนี้จะเลือกศัลยกรรมพลาสติกเพื่อแก้ไขหน้าตา ไม่อย่างงั้นแล้ว หลินเต๋อเทียนคิดว่าคงไม่มีผู้หญิงคนไหนกล้าเป็นแฟนกับเขาแน่ แต่ถึงเขาจะตัดสินใจศัลยกรรมจริง กลุ่มศัลยแพทย์คงต้องตกตะลึงไปตามๆกันเมื่อได้เห็นใบหน้าของเขา…..

แต่จุดที่หลินเต๋อเทียนสงสัยคือ คุณหนูตระกูลหลงรู้ไหมว่าใบหน้าของชายคนนี้เป็นแบบนี้?

เวลานี้ ใบหน้าของหลินเต๋อเทียนมีร่องรอยของความแปลกใจปรากฏอยู่เต็มไปหมด

“งั้นก็ใส่หน้ากากเหมือนเดิมเถอะค่ะ”

หลินชื่อฉิงไม่อาจทนมองใบหน้าของชายคนนี้ได้ต่อไป และรู้สึกว่าการถอดหน้ากากไว้แบบนี้เป็นการหยาบคายต่อเขา เธอจึงคว้าเอาหน้ากากจากมือของทหารนายหนึ่งก่อนจะสวมใส่ให้เย่เฟิง

เมื่อเห็นแบบนี้ เย่เฟิงรู้สึกดีใจจนน้ำตาแทบไหล สาวงามคนนี้ช่างเป็นคนเอาใจใส่ผู้อื่นเสียจริง ในเมื่อวรยุทธ์ของเขาถูกผนึกไว้แบบนี้ ชายหนุ่มก็ไม่อาจคงสภาพทักษะอำพรางไว้ได้นาน

การกระทำของหลินชื่อฉิงแสดงให้เห็นแล้วว่าใบหน้าของโม่จิ่วเกออัปลักษณ์อย่างแท้จริง ยิ่งกว่านั้น เจ้าโม่จิ่วเกอคนนี้ไม่ใช่แค่มีรูปร่างที่อัปลักษณ์เท่านั้น มันยังมีนิสัยเจ้าชู้อีกด้วย เย่เฟิงคิดว่าหากอาจารย์คนสวยของเขาต้องแต่งงานกับเจ้าหมอนั่นจริง ผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วนคงรู้สึกอยากตายอย่างยิ่ง

เย่เฟิงยังคงตกอยู่ภายใต้การควบคุมของทหารหน่วย NSA ในเวลานี้ เมื่อหลินเต๋อเทียนโบกมือให้พาตัวชายสวมหน้ากากไป ทันใดนั้น ธันเดอร์ที่ยืนอยู่ข้างเขาก็ได้รับรายงานการค้นหาบางอย่างจนต้องรีบร้องตะโกนขึ้นมา

“รอเดี๋ยวครับ”

ธันเดอร์จ้องมองมายังชายสวมหน้ากากอย่างหนักแน่น ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ดูแล้วบาดแผลของนายไม่ร้ายแรงเท่าไหร่ เพราะงั้น พวกเรายังมีข้อสงสัยอีกหลายอย่างที่ต้องให้นายช่วยไขข้อสงสัย”

“นายพบอะไรงั้นหรอ?”

หลินเต๋อเทียนถาม

“ชิ้นส่วนหน้ากากใบหน้าบูดบึ้งครึ่งหนึ่งครับ เป็นหน้ากากแบบเดียวกันกับหน้ากากของเขา”

ธันเดอร์พูดต่อไปตามตรงโดยไม่อ้อมคอม “หน้ากากนั่นยังไม่ถูกระเบิดทำลายไปทั้งหมด มีความเป็นไปได้สูงว่าจะเป็นของ ‘อาวุธคุ้มกัน’จุยหุน เพื่อใช้ปลอมตัวเป็นชายสวมหน้ากาก”

“จริงรึ?”

หลินเต๋อเทียนจ้องมองหน้ากากของเย่เฟิง พร้อมกับขมวดคิ้วแน่น

“เพื่อเป็นประโยชน์ต่อตัวนายเอง ฉันขอให้ตอบคำถามมาตามตรง”

ธันเดอร์หันหน้ามา ก่อนจะยิงคำถามใส่ชายสวมหน้ากาก “งั้นคำถามแรก นายเป็นคนทำร้ายหลินซิวเหวินใช่ไหม?”

ถึงแม้ธันเดอร์จะเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของหลินเต๋อทียน แต่เขายังคงมีความคิดเป็นของตนเอง และมีข้อมูลในมือมากกว่าหลินเต๋อเทียน ฉะนั้น ชายผิวดำจึงเชื่อว่าเขาสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องกว่า

“ไม่ใช่แน่นอน”

เย่เฟิงสายหัว ถึงแม้ในตอนนั้น เขาจะลงมือตjอหลินซิวเหวินจริง แต่นั่นไม่พอจะทำให้คนๆหนึ่งกลายเป็นคนปัญญาอ่อนแน่

“ในห้องใต้ดินของบ้านไซ่เชาหง พวกเราได้ยิงปืนใส่ต้นขาของคนๆหนึ่ง นั่นเป็นนายใช่ไหม?”

ธันเดอร์ถามต่อไปอีก

“ใช่”

เย่เฟิงพยักหน้า ก่อนจะเอ่ยเบาๆ “ฉันยอมรับว่าฉันเป็นคนสังหารไซ่เชาหง และไม่มีเหตุผลที่ต้องปฏิเสธ”

เย่เฟิงโคจรพลังตามแนวทางสุสารดาราอย่างเต็มกำลังเพื่อหมายฟื้นฟูเจินชี่ทั้งหมดกลับมาอีกครั้ง สิ่งที่น่าตกใจคือผลของมัน เป็นไปอย่างดีกว่าที่เขาคิดไว้ก่อนหน้าเสียอีก หากทำแบบนี้ต่อไป อีกไม่ถึงสองชั่วโมง เจินชี่ของเขาก็จะฟื้นกลับคืนมาทั้งหมด!

เมื่อถึงเวลานั้น ด้วยผลทักษะล่องหน ก็ย่อมไม่มีใครจับตัวเขาไว้ได้ เวลานี้ เรี่ยวแรงของเขากลับคืนมาทั้งหมดแล้ว

เมื่อธันเดอร์ได้ยินดังนั้นก็รู้สึกแปลกใจกับคำตอบของชายสวมหน้ากาก ชายผิวดำคิดว่าเขายิงปืนลำแสงสีน้ำเงินไปไม่ใช่หรือไง? นั่นยังไม่พอจะหยุดชายคนนี้ไว้งั้นหรือ? ทำไมเขาถึงได้ฟื้นตัวเร็วขนาดนี้กัน? ดูเหมือนว่าความสามารถในการฟื้นฟูของชายสวมหน้ากากจะน่าทึ่งอย่างยิ่ง

เมื่อได้ยินชายคนนี้ยอมรับด้วยตัวเองว่าเป็นคนสังหารไซ่เชาหง หลินเต๋อเทียนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งใจ อย่างไรก็ตาม เขาอดไม่ได้ที่จะหันไปมองหลินชื่อฉิง ซึ่งสิ่งที่เห็นก็ทำให้ชายวัยกลางคนต้องตกใจ เขาพบว่าใบหน้าของหญิงสาวปรากฏแววตาอันซับซ้อนซึ่งแม้แต่ตัวเขาที่เป็นพ่อ ยังไม่อาจเข้าใจได้ว่าหญิงสาวกำลังคิดอะไรในใจ

ในเมื่อไซ่เชาหงคือคนรักของหลินชื่อฉิง อย่างน้อยก็ตามข่าวลือที่เขาได้ยินมา แต่ตอนนี้ ไซ่เชาหงกลับถูกชายคนนี้สังหาร ซึ่งเป็นชายคนเดียวกันกับที่ช่วยชีวิตเธอไว้ก่อนหน้านี้ แล้วแบบนี้จะไม่ให้หญิงสาวรู้สึกสับสนได้อย่างไร?

“แล้วหลังจากนั้น นายรึเปล่าที่เป็นคนทำลายหลักฐานทั้งหมด รวมทั้งสังหารคนของเราไปอีก 3 คน?”

ธันเดอร์ยิงคำถามออกไปเรื่อยๆ หากชายสวมหน้ากากเป็นคนสังหารทหารในหน่วยของเขาจริง ชายคนนี้ต้องได้รับโทษประหาร! ไม่ว่าคดีของไซ่เชาหงจะเป็นอย่างไร แต่การสังหารทหารหน่วย NSA ถือเป็นการทำผิดกฏหมายอย่างร้ายแรง และไม่อาจให้อภัยได้

“เปล่า นั่นไม่ใช่ผมเช่นเดียวกัน”

เย่เฟิงส่ายหัว ก่อนจะกล่าวต่อไปด้วยน้ำเสียงโทนต่ำ “ถ้าผมเดาไม่ผิด คนๆนั้นต้องเป็น‘อาวุธคุ้มกัน’จุยหุนแน่นอน”

“เอาละ งั้นคำถามสุดท้าย นายเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการลักพาตัวเสี่ยวฉีใช่ไหม?”

ในเวลานี้เอง มีความมั่นใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าธันเดอร์

“ไม่ใช่เหมือนกัน คนที่ลักพาตัวเสี่ยวฉีไปมีความแค้นต่อไซ่เชาหง แล้วที่เขาลักพาตัวผู้หญิงคนนั้นไปก็เพื่อปกป้องเธอ”

เย่เฟิงส่ายหัว แล้วจึงตอบไปตามความเห็นของตัวเอง

“ฉันหวังว่านายพูดจริง และนายจะเป็นผู้บริสุทธิ์”

ธันเดอร์กล่าวพร้อมกับพยักหน้า จากนั้น เขาจึงล้วงเอากล้องบันทึกภาพที่อยู่บนหมวก ก่อนจะส่งให้หลินเต๋อเทียนดู

เมื่อเห็นดังนั้น สีหน้าของหลินเต๋อเทียนเปลี่ยนไปทันที รูปภาพพวกเหล่านี้เป็นภาพที่ทหารหน่วย NSA ที่อยู่ในซากโรงงานถ่ายและส่งมา มันมีเศษชิ้นส่วนของตัวประหลาดขนยาวมากมายที่กระจัดกระจายเพราะแรงระเบิด แน่นอนว่าเปลวไฟได้เผาผลาญตัวประหลาดเหล่านั้นไป แต่มันยังคงไม่ถูกเผาไปเสียทั้งหมด

หรือไซ่เชาหงร่วมมือกับเผ่ยเขิงกรุ๊ปเพื่อทดลองยาทางพันธุกรรมในประเทศจีนจริง?

น่าเสียดายที่ยังไม่มีหลักฐานเชื่อมโยงได้ว่าไซ่เชาหงเกี่ยวข้องกับสิ่งเหล่านี้จริง เรื่องนี้ต้องใช้เวลาสอบสวนต่อไป เพราะพวกเขาไม่อาจเชื่อคำพูดของชายสวมหน้ากากเพียงฝ่ายเดียวได้

“ฉันหวังว่านายจะช่วยพวกเราในการหาหลักฐาน.”

หลินเต๋อเทียนกวาดสายตามายังชายสวมหน้ากาก ก่อนจะพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “ฉันเชื่อว่านายคงรู้ว่าตอนนี้ พวกเราไม่มีหลักฐานอยู่แม้แต่ชิ้นเดียว ฉะนั้น พวกเราต้องพานายไปให้ปากคำต่อหน้าเผ่ยเขิงกรุ๊ปด้วย”

ด้วยที่มีความเป็นนักการเมืองอย่างเต็มตัว ชัดเจนว่าหลินเต๋อเทียนให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของประเทศชาติมาเป็นอันดับหนึ่ง

แน่นอน เย่เฟิงไม่คิดจะทำอย่างนั้น เมื่อใดที่มีโอกาส เขาจะใช้ทักษะล่องหนหลบหนีไปอย่างรวดเร็ว แล้วเมื่อถึงเวลานั้น จะมีใครหน้าไหนหยุดเขาได้?

ทันใดนั้น เสียงรถยนต์ก็ดังขึ้นมาแต่ไกล แสงไฟหน้ารถที่ส่องสว่างภายใต้ความมืดยามค่ำคืน เป็นที่ดึงดูดความสนใจของทุกคนทันที

“ชื่อฉิง! ชื่อฉิง!”

น้ำเสียงสดใสและมีชีวิตชีวาของหญิงสาว ดังขึ้นมาจากรถคันนั้น ถึงอย่างนั้น มันยังคงมีร่องรอยของความกังวลในน้ำเสียงของเธอ

เมื่อทุกคนได้ยินเสียงนี้ สีหน้าของพวกเขาก็พลันเปลี่ยนไปทันที นี่ไม่ใช่เสียงของเสี่ยวฉีหรือไง?

………………

แปลโดย : Solar Spark ,Tan Tan