บทที่ 130 ถอดหน้ากาก!

เย่เฟิงรู้สึกว่าไฟทีไหม้หลังของเขาดับลงแล้ว ชายหนุ่มจึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมาก โดยไม่สนใจหลินชื่อฉิงที่ถูกกดอยู่ใต้ร่าง เย่เฟิงเงยหน้าขึ้นพร้อมกับยักไหล่เพื่อเอาเศษอิฐและเศษกระเบื้องออกจากหลัง ก่อนจะยื่นหัวขึ้นไปเหนือปากหลุม

เมื่อมองออกไป เย่เฟิงมองเห็นธันเดอร์และคนของเขากำลังเดินมาทางนี้ ถึงแม้ชายหนุ่มตั้งใจจะใช้ทักษะเพื่อหลบหนีออกจากที่นี่ แต่ก่อนที่เขาจะทันได้ทำอะไร เย่เฟิงก็พลันรู้สึกถึงความเจ็บปวดบริเวณอกและไหล่

เขาถูกยิง!

เย่เฟิงรู้สึกหนักอึ้งไปทั่วร่างราวกับว่ามีหินก้อนโตกำลังกดทับเขาไว้ กระสุนทั้ง 2 นัดมีพลังประหลาดบางอย่างที่ยับยั้งการหมุนเวียนของเจินชี่ภายในร่างได้อย่างน่าใจหาย

‘ระดับวรยุทธ์ของเราเหลือแค่ 5 ปี!’

ระดับวรยุทธ์ของเขาเหมือนกับถูกปิดผนึกไว้จนเหลือพลังอยู่แค่ระดับ 5 ปี ทีแรก เย่เฟิงคิดจะใช้ทักษะล่องหนเพื่อหลบหนีออกไป แต่เมื่อเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่อาจใช้ทักษะล่องหนได้แล้ว โชคดีที่พลังซึ่งไหลเวียนอยู่ในร่างของเขาคือเจินชี่ หากเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์ทั่วไปที่ใช้พลังชี่ภายในแล้วละก็ เมื่อถูกกระสุนประหลาดยิงเข้าใส่ กำลังภายในทั้งหมดคงถูกผนึกอย่างสมบูรณ์

โดยไม่รอช้า เย่เฟิงพยายามคลานออกมาจากซากปรักหักพัง แต่เขาพลาดโอกาสหลบหนีไปแล้ว เมื่อออกมาจากเศษซากเหล่านั้นได้ เย่เฟิงก็ถูกพวกทหารกดไหล่เอาไว้ และถูกปืนไรเฟิลจ่อไว้ที่หัว

“อย่าขัดขืน!”

ธันเดอร์ที่อยู่ห่างออกไป 10 เมตร ชักปืนพกขึ้นมาจ่อหัวชายสวมหน้ากากทันที

ก่อนหน้านี้ เขาเพียงผ่านสมรภูมิระเบิดนับร้อยลูกมาจนได้รับบาดเจ็บสาหัส ฉะนั้น เวลานี้เย่เฟิงจึงไม่อาจขัดขื่นได้เลย เขาทำได้เพียงแค่เงยหน้าขึ้นมองธันเดอร์และหลินเต๋อเทียนด้วยสายตาเย็นเยียบ

“ชื่อฉิงอยู่ไหน?”

หลินเต๋อเทียนเดินมาใกล้ธันเดอร์ เมื่อเห็นชายสวมหน้ากากมีบาดแผลไฟไหม้อย่างสาหัสที่หลัง ทั้งยังอยู่ในชุดสีดำที่ขาดรุ่งริ่ง สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นดำมืด

เจ้าหมอนี่รอดจากการระเบิดเพราะหลบอยู่ในหลุมใต้ดินงั้นหรอ? ในเมื่อทุกสิ่งถูกเผาไหม้ไปหมด ถ้างั้นชื่อฉิงก็คง……

“พ่อคะ …..แค่ก….แค่ก…….”

ทันใดนั้น มีเสียงอันแผ่วเบาดังออกมาจากซากปรักหักพังที่ชายสวมหน้ากากคลานออกมาก่อนหน้านี้ จากนั้นจึงมีแขนอันขาวเนียนของคนๆหนึ่งยื่นออกมา แขนนี้ไม่มีร่องรอยของแผลไฟไหม้แม้แต่น้อย มีเพียงเศษดินโคลนที่เกาะอยู่เป็นจุดๆเท่านั้น

“ชื่อฉิง!”

“คุณหนูหลิน!”

ความดีใจปรากฏขึ้นบนใบหน้าของทุกคนทันที ความเดือนดาลของหลินเต๋อเทียนก็พลันหายไปในทันใด พวกเขาต่างพากันวิ่งไปที่นั่นแล้วช่วยดึงร่างของหญิงสาวออกมา

“แค่กแค่ก แค่กแค่ก…..”

หลินชื่อฉิงไออย่างต่อเนื่อง ถึงแม้ว่าหญิงสาวจะไม่ถูกไฟไหม้หรือได้รับบาดเจ็บใดๆเพราะชายสวมหน้ากาก แต่ก็ยังรู้สึกหายใจไม่ออกเพราะหน้าอกของเธอถูกชายคนนั้นกดไว้แน่นในขณะที่อยู่ในหลุม และเธอยังได้รับควันไฟเข้าไปนิดหน่อย

ในตอนนี้ ร่างของหญิงสาวถูกดึงออกมาแล้ว หลังจากไอติดๆกันอยู่หลายครั้งและได้สูดอากาศเข้าไปเหือกใหญ่ อาการของหลินชื่อฉิงก็ดีขึ้น

“ลูกเป็นไงบ้าง?”

หลินเต๋อเทียนช่วยประคองหญิงสาว และเอ่ยถามด้วยความกังวล

“ไม่..ไม่เป็นไรค่ะพ่อ…..เขาล่ะคะ?”

หลินชื่อฉิงส่ายหน้าและเช็ดเหงื่อที่ไหลซึมบนหน้าผาก หญิงสาวกวาดสายตามองไปทั่ว และพบว่าชายสวมหน้ากากถูกกลุ่มทหารคุมตัวไว้อยู่

“ลูกได้รับบาดเจ็บ เพราะงั้นรีบไปโรงพยาบาลก่อนเถอะ ธันเดอร์จะเป็นคนไปส่งลูกเอง”

หลินเต๋อเทียนเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันไปบอกให้ทหารสองนายพาลูกสาวของเขาไปส่งโรงพยาบาล

“ไม่ต้องหรอกค่ะ หนูไม่เป็นไร”

หลินชื่อฉิงตอบย้ำคำพูด หญิงสาวเดินเข้าไปหาชายสวมหน้ากาก และขณะที่ยืนอยู่ต่อหน้า เธอจ้องมองใบหน้าของเขา ดวงตาคู่งามปรากฏแววตาอันซับซ้อนที่แพรวพราวคล้ายหมู่ดาวที่แจ่มจรัสอยู่บนท้องฟ้า “ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร ขอบคุณนะคะที่ช่วยปกป้องฉัน แต่นี่ไม่ใช่เหตุผลที่พวกเราจะปล่อยตัวคุณไปหรอกนะ”

แม้ชายสวมหน้ากากจะปกป้องเธอ แต่ทั้งหมดนั่นก็เป็นเพราะเขาพาตัวเธอมาที่โรงงานร้างแห่งนี้ด้วย นอกจากนี้ ชายสวมหน้ากากยังเป็นกุญแจสำคัญของเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น พวกเขาจึงจำเป็นต้องคุมตัวชายคนนี้เอาไว้

ชายสวมหน้ากากคนนี้เป็นเพื่อนกับเย่เฟิงจริงๆงั้นหรอ? แล้วยังมีความสัมพันธ์กับคุณหนูหลงในตระกูลชั้นสูงของโลกยุทธภพอีกด้วย หรือการที่เขาเข้าใกล้และสร้างความประทับใจแก่เธอก็เพื่อต้องการกุมตระกูลหลินไว้ในมือเช่นกัน?

ความทะเยอทะยานของเขายิ่งใหญ่จริงๆ

ไม่ว่าคำพูดของจุยหุนจะจริงหรือไม่ เมื่อคิดตามเหตุตามผลแล้ว มันมีความเป็นไปได้สูงทีเดียว อันที่จริง แม้เรื่องนี้จะมีความเป็นไปได้แม้แต่เพียงนิดเดียว ตระกูลหลินก็ย่อมไม่กล้าเสี่ยงจะปล่อยตัวชายสวมหน้ากากไปง่ายๆอยู่แล้ว

“รายงานไปยังซิวหวู่ให้ขยายรัศมีการค้นหาออกไปทั่วพื้นที่ระเบิดนี้ แล้วถ้าเขาพบอะไรที่น่าสงสัยก็ให้รายงานฉันทันที”

หลังจากออกคำสั่ง หลินเต๋อทียนเดินมายืนข้างหลินชื่อฉิง ในใจของเขาล้วนเต็มไปด้วยความสงสัย

ชายสวมหน้ากากคนนี้ปกป้องลูกสาวเขาไว้จริงงั้นหรือ?

สายตาของเขาจ้องมองไปยังกองเศษซากที่ทั้งคู่คลานออกมา ก่อนจะเข้าใจในสถานการณ์ทั้งหมด สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้หลินเต๋อเทียนยอมรับว่าชายสวมหน้ากากคนนี้ก็มีความเป็นลูกผู้ชายบ้างเหมือนกัน

“ขอบคุณที่ช่วยชื่อฉิงไว้”

หลินเต๋อเทียนพูดต่อไปว่า “แต่ถ้านายต้องการเข้าใกล้ตระกูลฉันด้วยจุดประสงค์แอบแฝงล่ะก็ นายคิดผิดอย่างมหันต์ ตอนนี้ให้ตามพวกเราไปเพื่อรับการสอบสวนก่อน ถ้านายเป็นผู้บริสุทธิ์จริง ฉันรับประกันว่าพวกเราย่อมไม่ทำให้นายได้รับความเสื่อมเสียแน่นอน”

คำพูดเหล่านั้น ไม่มีใครรู้ว่าหลินเต๋อเทียนพูดเพื่อให้ชายสวมหน้ากากรู้สึกโล่งใจ หรือเขาหมายความตามที่พูดจริงๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลินเต๋อเทียนไม่ใช่คนโง่ แม้คำพูดของจุยหุนจะมีความเป็นไปได้มาก แต่เขายังไม่ปักใจเชื่อ และต้องรอการสืบสวนต่อไป

เมื่อเย่เฟิงได้ยินคำพูดของหลินเต๋อเทียน เขาขบคิดอยู่พักหนึ่งก่อนจะพูดออกไปด้วยเสียงโทนต่ำ “พวกเรามีศัตรูร่วมกัน ตอนนี้ ในเมื่อคนชั่วพวกนั้นก็ตายหมด และผมก็ตกอยู่ในมือคุณแล้ว ผมก็ไม่มีความจำเป็นต้องหนีไปอีก”

“เข้าใจแบบนั้นก็ดีแล้ว”

หลินเต๋อเทียนพยักหน้าด้วยความพึงพอใจเมื่อเห็นชายสวมหน้ากากว่าง่าย เขาออกคำสั่งต่อไป “ยิงเขาอีกสองนัด แล้วค่อยส่งตัวเขาไปโรงพยาบาล”

เมื่อได้ยินดังนั้น สีหน้าของเย่เฟิงพลันเปลี่ยนไปทันที หลินเต๋อเทียนคนนี้จัดการทุกอย่างได้รอบคอบเสียจริง ถึงแม้ชายสวมหน้ากากจะอยู่ในการควบคุมของเขาแล้ว แต่เขาก็ยังสั่งยิงกระสุนประหลาดนั่นเพิ่มอีกสองนัด ก่อนหน้านี้ เย่เฟิงนับเวลาอยู่ในใจแล้วว่าอีกนานเท่าใด พลังของเขาจะฟื้นคืนกลับมา และเมื่อนั้นเขาจะได้หลบหนีจากที่นี่เพื่อไปรับตัวซูเหมิงหาน แต่ดูเหมือนเวลานี้ เขาต้องเปลี่ยนแผนใหม่เสียแล้ว

ปัง! ปัง!

เป็นอีกครั้งที่เขาถูกกระสุนประหลาดยิงเข้าใส่ กระสุนชนิดนี้มีผลทำให้เส้นลมปราณของผู้ฝึกวรยุทธ์กลายเป็นอัมพาตไปชั่วขณะหนึ่ง และทำให้ผู้ฝึกยุทธ์คนนั้นไม่สามารถขัดขืนได้ ถึงอย่างไร มันก็ไม่ได้มีผลข้างเคียงอื่นใดอีก

เย่เฟิงไม่มีแรงพอจะหลบกระสุนทั้งสองลูกนี้ เมื่อถูกยิงใส่ ระดับวรยุทธ์ของเขาลดฮวบลงเหลือเพียง 3 ปีในชั่วพริบตา แต่ชายหนุ่มไม่ยอมแพ่ง่ายๆอยู่แล้ว เย่เฟิงมั่นใจว่าระดับวรยุทธ์ของเขาจะฟื้นคืนสมบูรณ์เมื่อผ่านคืนนี้ไป….

“เยี่ยมมาก”

หลินเต๋อเทียนเอ่ยขึ้น ก่อนจะหันเดินไปกับธันเดอร์ ทั้งคู่เริ่มพูดคุยกันด้วยน้ำเสียงกระซิบ “ฉันคิดว่ากระสุน 4 นัดคงพอจะยับยั้งพลังชี่ภายในของเขาไปได้อย่างน้อย 1 อาทิตย์ เมื่อเป็นแบบนี้เขาย่อมขัดขืนอะไรไม่ได้อีก ตอนนี้นายลองไปตรวจสอบพื้นที่แถวนี้อย่างละเอียดให้ฉันหน่อย ว่ามีสิ่งน่าสงสัยอะไรที่พอใช้เป็นหลักฐานได้บ้าง นายรู้ใช่ไหมว่าการตายของไซ่เชาหงเป็นปัญหาใหญ่ระหว่างประเทศ เราต้องมีคำอธิบายที่เหมาะสมให้คนพวกนั้น”

“เข้าใจแล้วครับ”

ธันเดอร์พยักหน้าก่อนจะรีบสั่งการคนของเขาให้จัดการเรื่องนี้ร่วมกันกับหน่วยของหลินซิวหวู่
หลินเต๋อเทียนพยักหน้าเช่นกัน เขารู้สึกว่าปัญหาอันหนักอึ้งในใจเขาทุเลาลงแล้ว ตราบใดที่หลินชื่อฉิงไม่เป็นอันตราย เรื่องอื่นย่อมไม่ใช่ปัญหาใหญ่

ถึงแม้ระดับวรยุทธ์ของเย่เฟิงจะถูกผนึกไว้ ทักษะสัมผัสวิญญาณของเขายังคงใช้งานได้ดีอยู่ และด้วยความช่วยเหลือจากทักษะนี้ เย่เฟิงได้ยินบทสนทนาระหว่างหลินเต๋อเทียนและธันเดอร์ชัดเจน ชายหนุ่มคิดในใจว่าวรยุทธ์ของคนบนโลกนี้จะมาเทียบอะไรกับวรยุทธ์วิถีเซียน กระสุนทั้ง 4 ลูกนั้นย่อมไม่ส่งผลกระทบที่ร้ายแรงต่อเขา

ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปต้องใช้เวลาเกือบหนึ่งอาทิตย์ในการฟื้นคืนพลังชี่ภายใน แต่สำหรับเย่เฟิงแล้ว เขาสามารถฟื้นคืนเจินชี่ได้ทั้งหมดภายในคืนเดียว นี่คือความแตกต่างอันใหญ่หลวงของวรยุทธ์ทั้งสองสาย

ขณะที่เย่เฟิงจมอยู่ในความคิดตนเอง เขารู้สึกถึงกลิ่นหอมหวานอันละเอียดอ่อนที่ลอยเขามาแตะจมูก ชายหนุ่มเงยหน้าขึ้น จากนั้นจึงมองเห็นใบหน้าอันงดงามของหลินชื่อฉิง

“ทำไมคุณไม่ไปโรงพยาบาลก่อนล่ะ? บาดแผลของคุณไม่ใช่น้อยๆ”

ริมฝีปากของหญิงสาวขยับเล็กน้อย พร้อมกับน้ำเสียงหวานใสเหมือนนกร้องดังขึ้น แววตาของเธอปรากฏร่องรอยของความกังวล

“รอเดี๋ยว ถอดหน้ากากเขาออกก่อน”

ทันใดนั้นหลินเต๋อเทียนก็เอ่ยขึ้น เขาพูดต่อไปว่า “พวกเราต้องรู้ก่อนว่าเขาเป็นใครก่อนจะส่งไปโรงพยาบาล เรื่องนี้ใช้เวลาไม่นาน”

หัวใจของเย่เฟิงสั่นสะท้านทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของหลินเต๋อเทียน

ตอนนี้เขามีระดับวรยุทธ์เพียงแค่ 3 ปี หากต้องการจะหนีไปจากที่นี่ เขาต้องรอเวลาฟื้นฟูอย่างน้อย 2 ชั่วโมง หรือก็คืออีก 2 ชั่วโมงที่เขาต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมาณ

ทหารนายหนึ่งเดินมาถอดหน้ากากใบหน้าบูดบึ้งสีขาวที่เย่เฟิงสวมไว้ออก

ทุกคนโดยรอบต่างพากันคาดเดาว่าใบหน้าใต้หน้ากากนั่นจะเป็นอย่างไร ขณะที่หน้ากากกำลังถูกถอดออก พวกเขาล้วนเพ่งพิศไปยังใบหน้าของชายสวมหน้ากาก และทันใดนั้นเอง!

…………………………

แปลโดย: Solar Spark ,Tan Tan