บทที่ 13: ดวงจันทร์ของอีกโลก (3)
“ห๊ะ? หืมม?”
ซังจินมีสีหน้าตกตะลึงเมื่อเขาเห็นว่าแท่งช๊อคโกแลตในมือได้ถูกเผาจนไม่เหลืออะไร
มันเป็นหนึ่งในไม่กี่อย่างที่เขาเอามาก่อนหน้า
เมื่อเขารีบตรวจของในกระเป๋าของเขา ของในกระเป๋าก็หายไปอย่างรวดเร็ว
ซังจินรีบมองไปยังฮันซูและตะโกนว่า
“มันเกิดขึ้นได้ยังไง?”
ฮันซูยักไหล่
“แม้ว่าฉันจะมีพลังจิต แต่ฉันจะรู้เรื่องแบบนี้ได้ไง?”
“อ่า…”
ซังจินมองไปยังอาหารฉุกเฉินในมือที่กลายเป็นขี้เถ้าไปด้วยสีหน้าแค้นใจก่อนจะตระหนักได้ถึงบางอย่าง
‘เป็นไปได้รึเปล่าที่อาหารของคนอื่นก็…’
ซังจินรีบมองออกไปนอกชั้นสองของคาเฟ่ที่เขาเคยอยู่ ชายหนุ่มได้ยินเสียงตะโกนจากรอบด้าน
“นี่มันอะไร! ไอ้เวรตัวไหนวางแผนไว้!”
“ไอ้ฉิบหายเอ้ย! มีบางคนเอาทุกสิ่งที่ถูกวางไว้ตรงนี้ไปหมด! มันหายไปหมดแล้ว!”
“กูจะฆ่ามึง!”
มันกลายเป็นเมืองแห่งทะเลทรายในพริบตาเดียว
สถานที่ที่ดูยากที่จะหาอาหารได้
ทุกคนที่ได้รับอาหารจากร้านค้าชั้นสอง แต่ตามหลักเหตุผลแล้ว ไม่มีใครคิดที่จะลงไปยังชั้นสองที่อันตรายยิ่งกว่าหลังจากที่ผ่านชั้นหนึ่งที่เต็มไปด้วยหนอนเขียวแล้ว
หากไม่มีฮันซู พวกเขาย่อมอาจต้องทนหิวไปอีก 2-3 วัน
และเมื่ออาหารหายไปในสถานการณ์เช่นนี้ ความกังวลของผู้คนจึงได้ระเบิดออก
รวมทั้งกระทั่งความโกรธ
“เอิ่ม…”
ซังจินครางออกมาเมื่อเห็นความวุ่นวายในที่ไกลๆ ฮันซูแย้มยิ้มอย่างขมขื่น
‘นี่คือดินแดนที่ถูกพระเจ้าทอดทิ้งจริงๆ’
ไม่มีแม้แต่วินาทีเดียวที่จะมีความสงบสุข
อย่างแรก เพราะ <ดวงจันทร์> นั่น อาหารทั้งหมดที่คนกักตุนไว้จะถูกแผดเผาและหายไป
ซึ่งหมายความว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะกักตุนอาหารและค่อยๆ แทะมันไป
‘มันเป็นสาเหตุที่ฉันบอกให้พวกนั้นไม่เอาออกมาหมด ชิ’
ถ้าทิ้งเอาไว้ในร้านสะดวกซื้อ มันจะไม่นับว่าอยู่ในการครอบครองของใคร ดังนั้นมันจะยังเหลืออยู่
เหตุผลที่เขาฝังมันลงก็เพื่อที่จะแบ่งกับอีกเจ็ดคนหลังจากที่เขาขึ้นมาพร้อมพวกนั้น
ผู้ที่อาศัยอยู่ในอีกโลกต้องหาอาหารทุกวัน
ไม่ว่าจะเป็นการหาทุกๆ ซอกทุกๆ มุม
ไม่ว่าจะเป็นฆ่าสัตว์อสูร หาทางกำจัดพิษแล้วค่อยกินมัน
‘ถ้ามันจบลงแค่นี้’
ไม่ช้าการเปลี่ยนแปลงอีกอย่างก็เริ่มขึ้น
แสงสีขาวได้เริ่มส่องสว่างออกจากร่างของผู้คน
ราวกับว่าพวกเขาเปล่งประกายใต้แสงจันทรา
“หืม?”
ซังจินลนลานเมื่อเห็นการเปลี่ยนแปลงของตนเองและมองออกไปรอบๆ
จากนั้นเขาก็อ้าปากค้าง
พวกเขาสามารถเห็นที่อยู่ของคนทั้งหนึ่งร้อยคนได้
แม้ว่าอีกฝ่ายจะถูกบดบังโดยกำแพงก็ตาม
แสงจันทร์นั้นได้แสดงที่อยู่ของแต่ล่ะคนและเปิดเผยมันให้คนอื่น
เมื่อเขาหมุนตัวกลับ ร่างของมิฮีและฮันซูเองก็มีแสงจันทร์ส่องประกายออกมาเช่นกัน
‘อ่า…’
มันเป็นความรู้สึกราวกับถูกจับแก้ผ้า ซังจินและมิฮีกัดฟันกรอด
มันไม่มีทางที่การที่ที่อยู่ของพวกเขาถูกเปิดเผยแล้วพวกเขาจะรู้สึกดี
‘เวรเอ้ย’
ฮันซูที่มองทั้งสองอยู่ยืนขึ้น
เมื่อดวงจันทร์ขึ้นแล้ว ก็ถึงเวลาเคลื่อนไหว
“นายกำลังจะไปไหน?”
ทั้งสองถามอย่างกระวนกระวาย ฮันซูยักไหล่
“ต้องทำงาน”
มันเป็นรางวัลที่สามารถได้รับเพียงในคืนแรกของการฝึกซ้อม และเป็นภารกิจที่ต้องเคลียร์ในระหว่างที่ดวงจันทร์ขึ้นเท่านั้น
<เหยือกอาหารของคนรวยผู้เห็นแก่ตัว>
ข้อกำหนดนั้นเรียกได้ว่าเรียบง่าย
<ภายใน 6 ชั่วโมงของค่ำคืนแรกขณะที่ดวงจันทร์ยังขึ้นอยู่ ทำอาหารด้วยเนื้อสัตว์อสูรและกินมัน>
ปัญหานั้นคือมันอยู่ในคืนแรก
คนส่วนมากจะรับรู้ถึงสถานการณ์ของตนเองหลังจากคืนแรก และจากนั้นจึงจะออกล่าอย่างกระตือรือร้นเพื่ออาหาร สัตว์อสูรจะเข้ามาอยู่ในสายตาและพวกเขาจะใช้มันทำอาหารในราวๆ วันที่สอง แต่สถานการณ์ที่คนผู้หนึ่งทำอาหารด้วยเนื้อสัตว์อสูรที่เป็นพิษภายในวันแรกเพื่อกินนั้นหายาก
เหยือกที่คุณที่ได้รับหลังจากนี้ก็เรียกได้ว่าธรรมดาเช่นกัน
มันจะซ่อนอาหารจากสายตาของดวงจันทร์และรักษาความสดใหม่ของอาหารอยู่เสมอ
แม้ว่าจะชื่อเป็นเหยือก แต่จริงๆ แล้วมันมีลักษณะเป็นถุงเล็กๆ
‘และปริมาณที่สามารถเก็บได้ก็สำคัญเหมือนกัน’
ปริมาณที่สามารถเก็บได้นั้นมากกว่าจำนวนอาหารที่คุณกินในระยะเวลา 6 ชั่วโมงเป็น 5 เท่าตัว
ปริมาณการกินของคนหนึ่งคนหมายถึงที่ว่างของปริมาณอาหารของคนห้าคน ถ้าหากกินได้ในปริมาณของคนสิบคน คุณก็จะสามารถเก็บอาหารได้เป็นปริมาณของคนห้าสิบคน
การที่สามารถกักตุนอาหารได้นั้นเรียกได้ว่าเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากในสถานการณ์ที่ <ดวงจันทร์> บัดซบนั่นขึ้นอยู่
เขาต้องกินให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
‘แต่… ฉันต้องทำอาหารอย่างระวัง’
มันดูง่ายแต่ต้องเตรียมการอย่างมาก
เมื่อคุณจำต้องกำจัดพิษออกจากวัตถุดิบเหล่านั้น
‘ทำอาหาร หืม สักพักแล้วสินะ’
การทำอาหารนั้นเป็นหนึ่งในงานอดิเรกของฮันซู
เพราะมันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้ลิ้นของเขามีความสุขเช่นเดียวกับเป็นหนึ่งในช่วงเวลาแห่งความสุขเล็กๆ
และมันเป็นหนึ่งในเรื่องพื้นฐานของเรื่องพื้นฐานในการเอาชีวิตรอดภายในอบิสที่ดวงจันทร์ขึ้น
ปุด ปุด
ฮันซูต้มเลือดของก๊อบลินอย่างเนิบนาบขณะที่เขาจมลงในห้วงความคิด
‘ตอนนี้มีซากสัตว์อสูรอยู่ 4 ประเภท’
ก๊อบลิ้น หนอนเขียว เงือกดิน งูหนาม
และจากทั้งสี่ชนิดนั้น หากคุณขัดฆ่าเงือกดินที่ไม่สามารถกินได้แม้ว่าจะเอามันไปทำอาหารแล้ว มันก็เหลือ 3 ชนิด
และจากสามชนิดนั้น ซากของหนอนเขียวกำจัดพิษได้ค่อนข้างยากจากวัตถุดิบที่สามารถครอบครองได้
‘วัตถุดิบหลักเป็นก๊อบลินกับงูหนาม’
หนึ่งในเพื่อนของเขาได้บอกเขาว่า
<ถ้านายทำอาหารด้วยเนื้อก๊อบลินได้ดี มันจะอร่อยยิ่งกว่าเนื้อวัวส่วนมากซะอีก>
ดังนั้นมันก็เหมือนว่าจะเป็นแบบนั้น
ปุด ปุด ปุด
ในขณะที่เขากำลังต้มเลือดเพื่อกำจัดพิษในเนื้อ ฮันซูก็ได้ดึงมีดทำครัวที่ฝังอยู่ในงูหนามออกมา ลับคมและเริ่มหั่นซากของงูหนาม
งูหนามนั้นไม่มีพิษ ดังนั้นแล้วคุณสามารถกระทั่งกินมันได้เลยแบบซาชิมิ
ปัญหาเพียงอย่างเดียวคือมันยากที่จะจับและมีให้กินไม่มากเท่าไหร่เพราะว่าส่วนมากเป็นกล้ามเนื้อที่แข็งเหนียว
“หืม?”
เขาแล่เนื้อของมันพร้อมกับโยนใส่ปากเคี้ยว จากนั้นจึงเผยรอยยิ้มออกมาขณะที่กลืนลงไป
‘มันค่อนข้างดีเลยนะเนี่ย’
ความหนุบของมันนั้นค่อนข้างดี
เครื่องปรุงอาจจะน่าผิดหวังไปหน่อย แต่ตัวเนื้อเองนั้นน่าพอใจ
ซังจินมองไปยังฮันซูด้วยสีหน้าว่างเปล่า
‘ไอ้หมอนี่มันเสียสติไปแล้วรึไง?’
เขากำลังกินเนื้อสัตว์อสูรด้วยท่าทางสบายๆ
หากคนอื่นเห็น พวกเขาอาจคิดว่าชายหนุ่มกำลังกินซาชิมิอยู่ริมทะเลอยู่ก็เป็นได้
แต่ในขณะที่ซังจินกำลังสบถด่า มิฮีกลับมีความคิดที่แตกต่างออกไป
“…มันเป็นสิ่งที่นายต้องทำเหมือนกันเหรอ?”
“เธอกำลังพูดอะไร?”
คนที่ตอบคำถามไร้ความรู้สึกของหญิงสาวกลับเป็นซังจิน
มิฮีเอ่ยตอบ
“เขาควรจะออกไปและล่าสัตว์อสูร แต่เขากำลังทำแบบนั้นแทน”
ฮันซูไม่เคยทำสิ่งที่ไม่จำเป็น
ชายหนุ่มเป็นผู้ที่มักจะเตือนพวกเขาเรื่องการออกล่ากลับทำอาหารแบบนั้น มันย่อมหมายความว่ามันเป็นการกระทำที่จำเป็น
มันมีเพียงเหตุผลเดียวที่มิฮีคิดแบบนั้น
<รางวัล>
เธอไม่รู้ว่าพลังจิตของฮันซูนั้นเป็นแบบไหน แต่เธอสามารถคาดเดาได้บ้าง
เขารู้สิ่งที่ต้องทำเพื่อที่จะได้รางวัล
ฮันซูมองไปยังหญิงสาวอย่างพอใจ
‘ดี’
เธอกำลังเติบโตขึ้นได้อย่างดี
แต่ซังจินกลับไม่มีความสุขกับคำพูดของหญิงสาว
“เขาอาจจะแค่ทำอาหารกินในตอนนี้ไม่ว่ายังไงก็ตาม”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ฮันซูก็มองไปยังซังจินและเอ่ยตอบ
“นายเดาถูก”
“…หืม?”
ซังจินกลับรู้สึกหงุดหงิดกับคำพูดแสนมั่นใจของอีกฝ่ายแทน
“เวรเอ้ย! เราควรทำยังไงดี!”
จีซุรที่เกาะกังแตไว้อย่างกังวลตะโกนใส่แทซูน
เสียงตะโกนดังขึ้นจากไกลๆ
“ไอ้พวกที่ไปที่ร้านสะดวกซื้อก่อนมันทำอะไรไว้กับอาหารรึเปล่า?”
“จับพวกมันก่อน! อาหารของพวกมันต้องแตกต่างออกไป!”
“ฉันเห็นพวกมันอยู่ตรงนั้น!”
เหตุผลที่พวกเขาไม่ได้รุกรานอีกฝ่ายเพราะพวกเขาต่างมีอะไรกิน
เมื่อมันไม่มีเหตุผลที่จะทะเลาะกันเว้นแต่พวกเขาจะเข้าตาจน
แต่สถานการณ์ในตอนนี้มันแตกต่างออกไปมาก
ถ้าอาหารของพวกเขาหายไปทุกคืนแบบนี้ พวกเขาก็ต้องหาอาหารใหม่ทุกครั้ง แบบนั้นพวกเขาก็จะไม่มีเวลาว่างให้ทำอย่างอื่น
พวกเขาอาจหิวจนตายได้ด้วยซ้ำ
และปัญหานั้นได้มีขนาดใหญ่กว่าเดิมเมื่อกลุ่มมีขนาดใหญ่ขึ้น
แทซูนมองไปยังผู้ที่วิ่งมาหาเขาจากไกลๆ และกัดฟันกรอด
มันไม่มีทางหลบซ่อนเช่นกัน เมื่อไอ้แสงจันทร์บัดซบนี่ได้เผยให้เห็นที่อยู่ของสิ่งมีชีวิตทุกชนิดใต้มัน
และแทซูนรู้สิ่งที่ดวงจันทร์ต้องการจากพวกเขา
‘มันต้องการให้เราฆ่ากันเองเมื่อกระดานถูกตั้งขึ้นแล้วสินะ’
พวกเขาไม่อาจเผชิญหน้ากับคนจำนวนมากขนาดนั้นได้
บางทีอาจได้ถ้าหากพวกเขามีคน 7-8 คน แต่ตอนนี้พวกเขาเหลือเพียง 5 ซึ่งไม่มีทางเอาชนะอีกฝ่ายได้อย่างแน่นอน
เหตุผลที่แทซูนสบายใจนั้นเป็นเพราะเขาคิดว่าเขาจะมีคนแปดคนและอีกฝ่ายจะไม่พุ่งเข้ามาอย่างผลีผลาม
และเพราะพวกนั้นยังสงบอยู่จนถึงยามกลางคืนแบบที่เขาคาดการณ์ไว้
แต่การที่พวกเขาห้าคนถูกค้นพบในสถานการณ์แบบนี้
ในขณะที่แทซูนกำลังกัดฟันกรอด หญิงสาวที่ยืนอยู่เงียบๆ ในมุมหนึ่ง ซุนมิ ตะโกนออกมา
“แทนที่จะยืนอยู่ที่นี่ ไปหาฮันซุเถอะ!”
“อะไรนะ?”
แทซูนพลันระเบิดออกด้วยความโกรธและจ้องไปยังซุนมิ
“แล้วนายจะให้พวกเราทำอะไร! นายจะสู้กับพวกนั้นด้วยคนเพียงห้าคนเหรอ?”
“…”
แทซูนกัดฟันแน่นเมื่อได้ยินเช่นนั้น
‘เขามีแค่ความมั่นใจที่แข็งแกร่ง’
ซุนมิเดาะลิ้นอยู่ภายในแต่ไม่ได้แสดงออกมา
คนทุกคนมีขีดจำกัดของตัวเอง และหากพวกเขาข้ามเส้นของแทซูนในสถานการณ์ที่เสียเปรียบแบบนี้ พวกเขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น
ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น คนที่แข็งแกร่งสุดในทั้งห้าก็คือแทซูน
ซุนมิจัดการความคิดของเธอและพูดด้วยท่าทีรอบคอบราวกับกำลังปลอบโยนแทซูน
“แทนที่จะทำแบบนี้ รวมมือกันดีกว่า เราไม่ได้จะไปขอความช่วยเหลือฮันซู เราแค่จะรวมพลังกัน ถ้าเรามีแปดคน พวกนั้นก็จะดูถูกเราไม่ได้ หลังจากเราซื้อเวลาได้เราก็สามารถอธิบายได้ว่าอาหารของเราเองก็หายไปเหมือนกัน”
“ฮู่ว…”
ชายหนุ่มใจเย็นลงเมื่อได้ยินคำพูดว่ารวมพลังกันของซุนมิ และพวกเขาไม่ได้ไปขอความช่วยเหลือจากฮันซู
‘ใช่ เราไม่ได้ไปขอความช่วยเหลือจากหมอนั่น เราก็แค่รวมพลังกัน’
แม้ว่าจะเป็นฮันซู แต่มันก็ยังเป็นเรื่องยากที่จะรับมือกับฝูงชนที่โรกธเกรี้ยวแบบนี้
หมอนั่นไม่อาจเมินต่อความแข็งแกร่งของพวกเขาห้าคนได้
แทซูนที่จัดการความคิดของเขาแล้วลุกขึ้นยืนและเอ่ยขึ้น
“ใช่ เราต้องไปช่วยเขา ไปเถอะ”
‘ไอ้โง่เอ้ย มันยังคิดว่านี่เป็นโลกที่พ่อของมันอยู่อีกรึไง’
ซุนมิสบประมาทแทซูนที่ยังคงเชื่อมั่นในความคิดของตนเองในสถานการณ์แบบนี้ แต่ว่าไม่ได้เอ่ยสิ่งใดเป็นพิเศษ
เมื่อมันไม่มีเหตุผลที่จะสร้างศัตรู
‘เวรเอ้ย ฉันอยู่ที่นี่เพราะอาหาร แต่ตอนนี้มันหายไปหมดแล้ว ฉันควรจะสังเกตได้ตอนที่นังมิฮีนั่นเกาะติดกับเขา’
ซุนมิเดาะลิ้น
เธอไม่ได้ตามอีกกลุ่มไปเพราะว่าเธอไม่ต้องการที่จะถูกกลบโดยมิฮี
ในกลุ่มนี้ที่ไม่มีมิฮี ความสวยของเธอคือที่หนึ่งและเธออาจควบคุมผู้ชายอีกสองคนได้โดยง่าย
และมันย่อมไม่มีปัญหาเมื่อเธอมักจะแสดงท่าทีเป็นหัวหน้าของอีกสามคนที่นี่
แต่มันกลับกลายเป็นแบบนี้
‘ฉันต้องคว้าโอกาสใหม่นี่ไว้’
ซุนมิมองไปยังแทซูนที่พ่นลมหายใจออกอย่างสมเพชและคิดถึงฮันซูพร้อมกับวิ่งออกไปด้วยอาการกัดริมฝีปาก
แต่ในตอนนั้นเองที่มีบางอย่างลอยมาจากด้านหลังด้วยความเร็วสูง
“ว๊ากก!”
แผละ
สิ่งลึกลับบางอย่างได้ยึดข้อเท้าของแทซูนไว้จนชายหนุ่มล้มลง
“อ๊ะ? อึก?”
แทซูนพยายามที่จะแกะวัตถุสีเหลือที่จับขาของเขาไว้ออก แต่สิ่งที่อยู่บนข้อเท้าของเขากลับรัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ
‘เวร นี่มันสกิล!’
แทซูนลนลานและตะโกนออกมาพร้อมกับมองไปยังเพื่อนๆ ของเขา
“เฮ้! เฮ้! พยุงฉันแล้ววิ่งที!”
แต่จีซุน ซุนมิ และคนอื่นๆ ที่มองไปยังชายหนุ่มกลับลังเลอยู่ชั่วครู่และทิ้งเขาวิ่งหนีไป
แทซูนคำรามอย่างกราดเกรี้ยวเมื่อเห็นว่าเพื่อนๆ ของเขาทำแบบนั้น
“แก ไอ้พวกบัดซบ!”
“เฮ้ นี่ ทำไมเพื่อนตัวน้อยของเราถึงได้สบถแบบนั้นกันล่ะ”
แทซูนหมุนศีรษะของเขาไปเมื่อเขาได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงพูดขึ้นจากด้านหลังของเขา
คนนับสิบที่มีดวงตาแดงก่ำจากความโกรธกำลังเดินมาหาเขา
คนพวกนี้กระวนกระวายอย่างมากเพราะอาหารของพวกเขาได้หายไปกะทันหัน เช่นเดียวกับความอันตรายที่พวกเขารู้สึกได้จากการที่ที่อยู่ของพวกเขาถูกเปิดเผย
ในขณะที่แทซูนรู้สึกเย็นสันหลังวาบจากดวงตาของคนกลุ่มนั้นที่สามารถจัดการเขาได้ในตอนนี้ ชายที่ยืนอยู่หน้าสุดก็เอ่ยขึ้นพร้อมกับหัวเราะ
“เป็นไงล่ะ? มันเรียกว่า Orun’s adhesive ในขณะที่พวกนายกำลังทำเรื่องของพวกนาย พวกเราเองก็ทำเรื่องของพวกเราเหมือนกัน เพราะว่าจำนวนของพวกเรามากกว่า อะไรแบบนี้ก็เลยดรอป”
“…”
“แต่ทำไมมีแค่ห้าคนล่ะ? อีกสามคนไปไหน?”
เขาคิดว่าอีกฝ่ายมีแปดคน แต่แม้จะรวมกับพวกที่หนีไปแล้วก็มีแค่ห้า
แทซูนรีบเอ่ยตอบทันที
“ฉันจะพูดทุกอย่างที่ฉันรู้!”
เขารู้เกี่ยวกับกลุ่มของฮันซูมาก
ถ้าพวกนั้นได้ยินเรื่องนี้ พวกนั้นต้องรู้สึกโกรธ
และเขาเองก็ค่อนข้างมีทักษะเหมือนกัน
มันไม่ใช่เรื่องเป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าร่วมกับอีกกลุ่ม
เมื่อได้ยินแบบนั้น หัวหน้าของกลุ่มที่ยืนอยู่เบื้องหน้า กิลแต ก็แย้มยิ้มขณะที่เขาพูด
“เจ้าเด็กน้อย ฉันชอบนะที่นายตามทันได้เร็ว ฉันจะรับนายเข้า แต่หลังจากที่เราจัดการบางอย่างแล้ว”
จากนั้นใครบางคนก็ออกมาจากเบื้องหลัง
‘เวร…’
แทซูนมองคนที่เขาจัดการเพื่อที่จะปล่อยข่าวขณะที่ออกจากสถานีที่กำลังมองเขาราวกับงู ชายหนุ่มกัดฟันกรอด
“นายไม่ควรทำร้ายคนอื่นเพราะอยากทำหรอกนะ เมื่อเราจะอยู่ด้วยกันนับแต่นี้ ก็จัดการเรื่องนี้ก่อนแล้วกัน”
ทันทีที่สิ้นคำ ความรุนแรงก็ได้เริ่มต้นขึ้น
พลั่ก!
‘อั่ก! อั่กก!’
เขาเองก็มีสกิล แต่ว่าอาจเป็นเพราะศัตรูได้เพิ่มค่าสถานะมาเป็นเวลาหนึ่ง หรืออาจเป็นเพราะเขาอยู่บนพื้น มันทำให้รู้สึกราวกับอวัยวะภายในของเขาบิดเบี้ยวไป แต่แทซูนก็ยังฝืนเก็บเสียงร้องของเขาเอาไว้
ถ้าเขากรีดร้องออกไป พวกมันจะมีความสุขยิ่งขึ้น และเขาจะน่าสงสารมากขึ้น
‘ฉันจะฆ่าพวกมันให้หมด’
ฮันซูที่ทำให้เขาเป็นแบบนี้ และอีกสี่คนที่ทิ้งเขา เขาจะฆ่าพวกมันให้หมด
แทซูนกัดฟันกรอดกับดวงแสงสี่ดวงที่กำลังวิ่งออกไปและอีกสามดวงที่ปลายทางขณะที่เขากำลังถูกกระทืบ
ฮันซุพึมพำเมื่อเขาเห็นดวงแสงวิ่งมาทางเขาจากที่ไกลๆ
‘พวกนั้นกำลังมา’
<เหยือกอาหารของคนรวยผู้เห็นแก่ตัว>
พูดตามตรงภารกิจนี้นั้นมีโอกาสสูงที่จะถูกเลือกจากบรรดาภารกิจทั้งหมด
หลังจากที่เห็นสถิติแล้ว ดูเหมือนว่าภารกิจที่เห็นแก่ตัวนั้นจะมีโอกาสได้รับเลือกสูงกว่าภารกิจอื่น
แต่เขาเห็นคนไม่มากที่ได้รับมัน
วิธีการที่จะได้รับนั้นง่ายดาย
กินอาหารให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ในขณะที่ดวงจันทร์ยังขึ้นอยู่
แต่ว่ามันยังมีเงื่อนไขอยู่
นั่นก็คือคุณต้องเห็นแก่ตัว
และมันจะถูกให้กับคนที่กินได้มากที่สุดเท่านั้น
เมื่อมันคือเหยือกอาหารของคนรวยผู้เห็นแก่ตัว
เขาไม่อาจแบ่งอะไรก็ตามที่เขาทำได้
ในขณะที่เขาไม่อาจหลบซ่อนที่ไหนได้
ในขณะที่ทุกคนกำลังบ้าคลั่งจากการหายไปของอาหารของพวกเขา
ถ้าคุณสามารถผ่านสถานการณ์นี้ไปได้พร้อมกับหลบซ่อนและกินอาหารอย่างเห็นแก่ตัว เมื่อนั้นเหยือกถึงจะแสดงพลังของมัน
และนั่นหมายความว่าคุณต้องทำอย่างน้อยเท่านั้นเพื่อที่จะซ่อนอาหารจากดวงจันทร์
‘อย่างไรก็ตาม คนที่เลือกภารกิจนี้ต้องมีงานอดิเรกที่เลวร้ายสุดๆ จริงๆ’
ฮันซูหัวเราะไปยังซังจินและมิฮี
“ถ้าพวกนายไม่ชอบก็ไปได้ มันดูเหมือนว่าอาหารมื้อนี้จะมีแขกจำนวนมาก”
ค่ำคืนแรกของการฝึกฝน
ประสบการณ์และสถานการณ์ในพื้นที่ฝึกซ้อมของคนจากกองพันสุดท้ายนั้นแตกต่างกัน แต่มันมีจุดที่เหมือนกันอยู่
ไม่มีใครผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย
มันจะมีบางสิ่งระเบิดขึ้นในคืนแรกเสมอ
‘บางทีฉันอาจจะทำภารกิจจำนวนมากสำเร็จในคืนนี้ก็ได้’
ฮันซูเริ่มอบอุ่นร่างกายอย่างช้าๆ ขณะที่เขาเคี้ยวเนื้องูหนามอยู่
TL: ว่างๆ ว่าจะลองวิเคราะห์นิสัยของตัวละครในเรื่องนี้ดู น่าสนใจจีจี
ติดตามข่าวสารที่รวดเร็วกว่าได้ทาง Facebook: Netear.ST นะคะ