บทที่ 120 ทักษะผนึกวิญญาณ

เย่เฟิงยืนขึ้น ก่อนจะก้มหัวลงมองบาดแผลแห้งกรังที่ต้นขาขวาของเขา

“อาวุธของหน่วย NSA นี่น่าทึ่งจริงๆ โดยเฉพาะกระสุนนั่น นอกจากเรื่องความเร็วแล้ว ความรุนแรงยังสูงจนน่าเหลือเชื่อ แม้แต่ทักษะย่างก้าวไร้เงาของเราเองก็ไม่มั่นใจว่าจะหลบพ้น………ยังดีที่ตอนนี้เรามีทักษะสัมผัสวิญญาณแล้ว ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนั้นขึ้นอีก มันไม่มีทางยิงโดนเราแน่”

เย่เฟิงคิดในใจ พร้อมกับพลิกฝ่ามือ และทันใดนั้นเอง มือขวาของเขาก็เริ่มเปล่งแสงสีทองส่องสว่างออกมา

ทักษะเซียน – แสงศักดิ์สิทธิ์!

ทักษะนี้ถือว่าเป็นทักษะเซียนพื้นฐานในโลกเทวะที่ผู้ฝึกวรยุทธ์ทุกคนที่มีวรยุทธ์ระดับ 10 ปีจะได้เรียน ความสามารถหลักของทักษะนี้คือการรักษาบาดแผลภายนอก นอกจากนี้ มันยังมีความสามารถในการฟื้นฟูเส้นลมปราณที่เสียหายได้อย่างดีเยี่ยม

เย่เฟิงถูกคนของหน่วย NSA ยิงเข้าที่ขาข้างขวา จนเกิดบาดแผลเป็นรูลึกขนาดเท่าครึ่งกำปั้น แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่ปัญหาใหญ่สำหรับเขาอีกต่อไป

ด้วยการนำแสงสีทองที่ส่องประกายในมือข้างขวา เข้าไปใกล้ๆกับบาดแผลของเขา ชายหนุ่มกดมันลงบนบาดแผลที่เป็นหลุมลึก ทันใดนั้น เนื้อเยื่อที่ฉีกขาดก็เริ่มประสานตัวกันอย่างรวดเร็ว ซึ่งแม้แต่ตาเปล่าก็สามารถเห็นการฟื้นฟูของมันได้อย่างชัดเจน!

(ตอนก่อนหน้านี้แปลผิดนะครับ55+ เย่เฟิงมันยังไม่ได้ใช้ทักษะนี้รักษาแผล ตอนนั้นมันแค่คิดในใจเฉยๆ)

ไม่นานหลังจากนั้น ขาข้างขวาของเขาที่ได้รับบาดเจ็บก็ถูกฟื้นฟูอย่างสมบูรณ์ เหลือไว้เพียงแค่รอยเลือดแห้งเป็นวงบนกางเกง หลังจากนั้น เย่เฟิงกดแสงสีทองในมือขวาลงบนหน้าอกของเขาและส่วนอื่นๆ ซึ่งก็เป็นไปตามขาด รอยแผลพวกนั้นสามารถฟื้นคืนจนไร้ร่องรอยได้อย่างรวดเร็ว

จากนั้น แสงสีทองจึงค่อยๆจางหายไป

‘ทักษะนี้ใช้เจินชี่ของเราไปเกือบครึ่งเลยทีเดียว แต่ก็คิดไว้แล้วล่ะนะว่ามันคงจะประมาณนี้’

เย่เฟิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้น เขาก็ล้วงเอาไหวิญญาณสีดำที่เก็บไว้ออกมา ขนาดของมันเกือบเท่าสองกำปั้น และเมื่อมองดูแล้ว มันคล้ายกับสิ่งที่ไว้เก็บอัฐิซึ่งสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันลี้ลับบางอย่างเล็กน้อย

ชายชราผู้ใช้ความตายเคยใช้ของสิ่งนี้ อัญเชิญศพเดินได้ขึ้นมาต่อสู้กับเขา ไหใบนี้จะกักขังดวงวิญญาณเอาไว้ ซึ่งทุกครั้งที่อัญเชิญออกมา ดวงวิญญาณเหล่านั้นจะได้รับความเสียหาย

สำหรับเย่เฟิงแล้ว เขาไม่เคยคิดจะใช้ของประหลาดแบบนี้เลย ถึงอย่างนั้น ก่อนต้องไปเจอกับตระกูลหลิน เขามีบางสิ่งบางอย่างที่ต้องการถามจากไซ่เชาหงเสียก่อน

เมื่อชายหนุ่มโบกมือ กลุ่มควันสีเทาดำพร้อมด้วยสายลมอันหนาวเย็นก็พลันค่อยๆปรากฏออกมาจากไหวิญญาณ ทักษะเซียนชนิดนี้เรียกว่า ‘ทักษะชุมนุมวิญญาณ’

ทักษะนี้ไม่ถือว่าเป็นทักษะทั่วไปในโลกเทวะ เพราะมันไม่ใช่ทักษะที่ใครสามารถเรียนได้ง่ายๆ ถึงแม้เย่เฟิงจะเป็นลูกศิษย์ของซูเฟยหยิ่ง แต่ก่อนหน้าที่จะได้เจอเธอ เขาได้ลองผิดลองถูกทักษะนี้ด้วยตัวเองจนเกิดความชำนาญ

ทักษะชุมนุมวิญญาณแบ่งออกอีกเป็นสามทักษะย่อยคือ ทักษะอัญเชิญวิญญาณ ทักษะผนึกวิญญาณ และทักษะปลดปล่อยวิญญาณ

ทักษะอัญเชิญวิญญาณ ใช้สำหรับอัญเชิญวิญญาณออกมาในระยะที่ไม่ไกลจากผู้อัญเชิญ วิญญาณที่อัญเชิญออกมาจะมีรูปร่างโปร่งใส นอกจากนั้น รูปร่างของวิญญาณยังสามารถมองเห็นได้ชัดเจนด้วยตาเปล่า ในกรณีที่คนๆนั้นเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน หากอัญเชิญออกมา วิญญาณจะยังมีสติอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์

ทักษะผนึกวิญญาณก็ใช้งานเช่นเดียวกับทักษะอัญเชิญวิญญาณ เพียงแต่มันใช้ในการอัญเชิญวิญญาณที่ถูกผนึกออกมา ไม่สำคัญว่าวิญญาณดวงนั้นจะถูกผนึกเมื่อไม่กี่วินาทีก่อนหน้านี้ หรือถูกผนึกมาแล้วเป็นร้อยปี หลังจากทำลายผนึกแล้ว สติของวิญญาณดวงนั้นจะถูกปลุกขึ้นมาใหม่

ส่วนทักษะปลดปล่อยวิญญาณ ใช้ในการปลดปล่อยวิญญาณคนธรรมดาในโลกมนุษย์ หรืออีกความหมายก็คือ การส่งวิญญาณดวงนั้นไปสู่สุคติ แน่นอนว่ามันใช้ได้แค่วิญญาณทั่วไป

การมีทักษะเซียนชนิดนี้ นั่นหมายความว่าคนๆนั้นจะสามารถเก็บเกี่ยวข้อมูลจากทุกที่ได้อย่างรวดเร็ว เพราะคงไม่มีที่ไหนที่ไม่มีคนตาย

เมื่อเย่เฟิงโบกมือครั้งหนึ่ง กลุ่มควันสีเทาดำก็ค่อยๆโผล่ออกมาจากไหวิญญาณ จากนั้นแล้ว ไหใบนี้ก็เริ่มสั่นอย่างน่ากลัวพร้อมกับกลุ่มควันที่ค่อยๆก่อตัวเป็นรูปร่างมนุษย์ ไม่นานนัก ดวงวิญญาณมากมายก็ยืนอยู่ต่อหน้าเย่เฟิงโดยแต่ละดวงจะไม่สามารถออกห่างจากเย่เฟิงได้ไกลนัก

วิญญาณที่ถูกอัญเชิญมาด้วยทักษะชุมนุมวิญญาณนั้น จะสามารถออกห่างจากผู้อัญเชิญได้เพียงระยะหนึ่งเท่านั้น

ดูเหมือนจะมีดวงวิญญาณอยู่ไม่มากที่ถูกเก็บไว้ในไหวิญญาณใบนี้ มันอาจเป็นเพราะว่าในเมืองแห่งนี้ ไม่ได้พบเห็นร่างคนตายง่ายๆเหมือนดั่งที่เผาศพ หรือที่ฝังศพ และต่อให้เป็นที่พวกนั้น ศพทั้งหลายก็ล้วนเสียชีวิตมาเป็นเวลานานแล้ว ดวงวิญญาณของพวกเขาจึงล้วนกระจัดกระจายหายไป

ดวงวิญญาณของไซ่เชาหงยังคงดูไม่ต่างอะไรกับตอนก่อนตาย เพียงแต่เวลานี้ ร่างของเขาอยู่ในสภาพโปร่งแสง ใบหน้าของไซ่เชาหงมีร่องรอยของความประหลาดใจและความตื่นตกใจปรากฏอยู่ด้วย

ดวงวิญญาณของจ้าวอี้เปยก็ถูกอัญเชิญออกมาเช่นเดียวกัน แต่วิญญาณของเขาดูเหมือนจะไม่สมบูรณ์และได้รับความเสียหายไปบางส่วน ยิ่งกว่านั้น ใบหน้าของเขายังดูหม่นหมอง เมื่อจ้าวอี้เปยมองเห็นเย่เฟิง สีหน้าของเขาก็แสดงออกถึงความประหลาดใจ
นอกจากนั้นยังมีดวงวิญญาณอื่นๆอีก อย่างเช่น ไห่ถังจากวังกระบี่สวรรค์ ขวานวายุ พี่น้องหลัวลี่ และหลัวเล่ยจากหมัดเทพทวารา และดวงอื่นๆ อย่างไรก็ตาม ดวงวิญญาณของพวกเขาล้วนได้รับความเสียหายเหมือนกันกับดวงวิญญาณของจ้าวอี้เปย ส่วนดวงวิญญาณของจูไป่เหนี่ยวกลับไม่ปรากฏออกมาแต่อย่างใด

เมื่อเห็นดังนั้น เย่เฟิงก็พึ่งจะเข้าใจทุกอย่างชัดเจน

‘ดูเหมือนว่าการอัญเชิญวิญญาณออกมาต่อสู้ จะทำให้ดวงวิญญาณเหล่านั้นได้รับความเสียหายไปไม่น้อย และหากยังทำเช่นนั้นต่อไปอีกเรื่อยๆ สุดท้าย ดวงวิญญาณของพวกเขาก็จะสูญสลายไป…..’

การที่เขาไม่เห็นจูไป่เหนี่ยวแบบนี้ มันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเศร้าใจ จุดประสงค์ของการไปที่ทะเลจีนตะวันออกของเย่เฟิงคือการไปตามหาซูเฟยหยิ่ง แต่นอกจากนี้แล้ว เขายังต้องไปที่นั่นเพื่อไปเอาทักษะการก่อกำเนิดเมล็ดพันธุ์ของโลกใบนี้ รวมทั้งเคล็ดวิชากระบี่ปีศาจคำราม เพื่อใช้ในการฝึกวรยุทธ์ของชายหน้าบาก หากวิญญาณของจูไป่เหนี่ยวยังคงอยู่ในไหใบนี้ ชายหน้าบากก็จะสามารถฝึกวรยุทธ์ได้เลยโดยไม่ต้องรอเย่เฟิงไปเอาทักษะเหล่านั้นมา

นอกจากนี้ วิญญาณของจูไป่เหนี่ยวยังสามารถปิดผนึกเพื่อเก็บรักษาดวงวิญญาณเอาไว้ได้ หากเมื่อใดที่เย่เฟิงกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณ ชายคนนั้นจะกลายเป็นผู้ช่วยที่ยอดเยี่ยมสำหรับเขา

เย่เฟิงหันไปมองยังดวงวิญญาณของจ้าวอี้เปยที่ดูไม่ค่อยสมบูรณ์ สิ่งที่เห็นทำให้เขารู้สึกอึดอัดใจ และไม่สบายใจ ทั้งหมดนั้นมาจากที่เย่เฟิงติดหนี้ชีวิตชายหนุ่มคนนี้อยู่ แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาเหมาะสมที่จะคุยถึงเรื่องราวเหล่านั้น

“อี้เปย ไม่ต้องตกใจไปหรอก ตอนนี้นายอยู่ในสภาพดวงวิญญาณ ฉันจะใช้ทักษะผนึกวิญญาณให้นายก่อน แล้วไว้ฉันสามารถใช้ทักษะ‘แก่นวิญญาณ’ได้เมื่อไหร่ ฉันจะปลุกนายขึ้นมาอีกทีหนึ่ง ในตอนนั้นนายก็จะสามารถอยู่ในโลกใบนี้ในรูปวิญญาณได้แล้ว”

เย่เฟิงอธิบายอย่างเอาจริงเอาจัง

จ้าวอี้เปยเดิมทีอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เมื่อเขาได้ยินเย่เฟิงพูดว่า ‘วิญญาณ’ เขาก็ผงะไปในทันใด วิญญาณ? ทักษะผนึกวิญญาณ? เดิมทีเขาคิดว่าสติของเขาจะไม่มีทางได้ตื่นขึ้นมาอีกแล้วเสียอีก

ชายหนุ่มจำได้ว่าในช่วงเวลานั้น เขากระโดดออกไปขวางกระสุนให้แก่เย่เฟิง จากนั้น สติของเขาก็พลันดับวูบไป จนถึงตอนนี้ เขายังคงอยู่ในอาการมึนงง เขาไม่คาดคิดว่าจะได้ตื่นขึ้นมาในวันนี้ และไม่เคยคิดเช่นกันว่าเย่เฟิงจะเป็นนักพรตหรืออะไรเทือกนั้น

แน่นอนว่าตอนนี้ เย่เฟิงไม่มีเวลาจะอธิบายทุกสิ่งให้จ้าวอี้เปยเข้าใจ เขาเพียงแค่ยิ้มอย่างพึงพอใจก่อนจะโบกมือ และใช้ทักษะผนึกวิญญาณกับดวงวิญญาณของจ้าวอี้เปย

ทักษะผนึกวิญญาณจำเป็นต้องใช้สิ่งของเพื่อผนึกวิญญาณลงไปด้วยเช่นกัน แน่นอนว่าเย่เฟิงไม่คิดที่จะผนึกจ้าวอี้เปยลงในไหวิญญาณอีกครั้ง เขายื่นมือขวาออกไปและตัดสินใจผนึกวิญญาณลงในแหวนกระบี่มังกรโบราณ
การที่วิญญาณของจ้าวอี้เปยถูกชายชราผู้ใช้ความตายอัญเชิญออกมาบ่อยครั้ง วิญญาณของเขาจึงได้รับความเสียหายอย่างมาก เย่เฟิงผนึกวิญญาณของชายหนุ่มลงในแหวนกระบี่มังกรโบราณเพื่อหวังว่า วิญญาณของเขาจะได้รับการฟื้นฟูจนกลับมาสมบูรณ์ดังเดิม

สายลมหนาวเย็นอันเบาบางพัดวนอยู่รอบๆดวงวิญญาณของจ้าวอี้เปยก่อนจะดึงเขาลงไปในแหวนที่นิ้วของเย่เฟิง

วิญญาณดวงอื่นๆรวมทั้ง ไซ่เชาหง ไห่ถัง หลัวลี่ หลัวเล่ย และขวานวายุ ล้วนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างชัดเจน

เย่เฟิงกวาดสายตาไปยังดวงวิญญาณเหล่านั้น ก่อนจะหยุดสายตาอยู่ที่ไซ่เชาหง “ไซ่เชาใช่ไหม? โทษทีนะที่ฉันจำเป็นต้องฆ่านายให้ได้ไม่ว่ายังไงก็ตาม ถึงอย่างนั้นตอนนี้ ฉันหวังว่านายจะตอบคำถามฉันมาตามตรง”

“แกคือชายสวมหน้ากากจริงๆ ฉันควรจะคิดได้ตั้งแต่ทีแรก”

ไซ่เชาหงก้มหน้าลงมองร่างของเขาที่โปร่งแสง และลอยอยู่รอบๆตัวเย่เฟิง ด้วยสีหน้ามืนมน

“ก็ใช่ แล้วทำไมละ?”

การที่ต้องเผชิญหน้ากับวิญญาณหลายดวงที่อยู่ภายใต้การควบคุมของเขาอย่างสมบูรณ์ เย่เฟิงไม่จำเป็นต้องปิดบังตัวตนอะไรต่อหน้าพวกเขา แต่ดวงวิญญาณเหล่านั้นต่างตกตะลึงเมื่อพบว่าเด็กหนุ่มคนนี้คือชายสวมหน้ากากที่เรียกตัวเองว่า “โม่จิ่วเกอ”

ดวงวิญญาณเหล่านี้ล้วนพากันขบกรามแน่นด้วยความโมโห ส่วนเหตุผลน่ะหรือ? นั่นเพราะพวกเขาถูกชายคนนี้สังหารยังไงล่ะ!

…………………….

แปลโดย Solar Spark