บทที่ 119 ซูเหมิงหานถูกจับตัว

หลินเต๋อเทียนค่อยๆเดินไปทีประตูบ้านขณะเอามือไขว้หลัง แต่เมื่อเขาเห็นซูเหมิงหานเปิดประตูออกมา ชายวัยกลางคนก็ค่อนข้างรู้สึกแปลกใจ

“เรียกเย่เฟิงออกมาทีสิ”

หลินเต๋อเทียนพูดออกมาเหมือนกับออกคำสั่ง

“ตอนนี้เขาไม่อยู่บ้านค่ะ แล้วทำไมคุณถึงอยากเจอเขาล่ะ?”

ซูเหมิงหานยืนขวางอยู่หน้าประตูบ้าน ดวงตาคู่งามของเธอจ้องมองไปยังหลินเต๋อเทียน ชัดเจนว่าเด็กสาวรู้ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นใคร ซึ่งมันทำให้เธอสงสัยว่าเย่เฟิงไปทำอะไรในคืนนี้ ทำไมคนที่มีสถานะทางสังคมสูงขนาดนี้ถึงได้มาหาเขากัน?

หากซูเหมิงหานไม่เห็นว่าคนที่มายืนหน้าประตูตอนนี้คือหลินเต๋อเทียน เธอคงต้องหวาดกลัวแน่นอน แต่ด้วยที่เด็กสาวกลายเป็นผู้ฝึกวรยุทธ์แล้ว สายตาของเธอจึงคมชัดขึ้นแม้อยู่ในเวลากลางคืน

“ไม่อยู่งั้นหรอ?”

หลินเต๋อเทียนเค้นเสียง ก่อนจะโบกมือ “พาตัวสาวน้อยคนนี้ไปด้วย เธอเป็นแขกของเรา เดี๋ยวฉันจะไปโทรหาเจ้าหนุ่มเย่เฟิงเสียหน่อย”

หลังจากพูดจบ เขาก็หันตัวเดินจากไป

แน่นอนว่าคนของหน่วย NSA ต้องปฏิบัติตามคำสั่งของหลินเต๋อเทียนอยู่แล้ว เมื่อได้ยินดังนั้น พวกเขาก็เดินเข้าไปล๊อกตัวเด็กสาวทันที

“พวกคุณจะทำอะไร? ทำไมฉันต้องถูกจับด้วย?”

ซูเหมิงหานรู้สึกโมโหและพยายามจะดิ้นรน แต่มันก็ไม่มีผลเลยแม้แต่น้อยเมื่อต้องเผชิญกับหน่วย NSA สี่คน ซึ่งแม้แต่เย่เฟิงเอง หากต้องเผชิญหน้ากับคนพวกนี้พร้อมกัน เขาก็ไม่สามารถจัดการได้ง่ายๆ นับประสาอะไรกับซูเหมิงหานที่เพิ่งเริ่มฝึกวรยุทธ์ และเธอยังไม่ได้เรียนทักษะเซียนใดเลยอีกด้วย

“ขอโทษด้วยครับคุณหนู พวกเราต้องทำตามคำสั่ง อย่าทำให้พวกเราลำบากใจเลย ไม่อย่างนั้นพวกเราจำเป็นต้องใช้ความรุนแรง”

หนึ่งในสมาชิกของหน่วย NSA พูดด้วยโทนเสียงต่ำขณะจ้องมองซูเหมิงหานผ่านกล้องอิเล็กทรอนิกส์ที่ครอบดวงตาเอาไว้

“จะพาฉันไปที่ไหน?”

ซูเหมิงหานถามขึ้นทันที

“ทุกสิ่งขึ้นกับหัวหน้าของพวกเราครับ”

หนึ่งในนั้นตอบ ก่อนจะมองไปที่สมาชิกในหน่วยคนอื่น พวกเขาต่างคิดว่าเด็กสาวคนนี้น่ารำคาญจริงๆ

เสียง“ปัก”ดังขึ้น ชายคนนั้นตบด้วยสันมีดลงที่ท้ายทอยของซูเหมิงหานอย่างแม่นยำ ทำให้เธอสลบไปในทันใด หลังจากนั้น เด็กสาวถูกพาตัวไปยังรถบรรทุกทหารลายพราง ซึ่งรถคันนี้กำลังมุ่งไปยังคฤหาสน์ตระกูลหลินที่ตั้งอยู่ในเขตฉางผิง

ในระหว่างทาง หลินเต๋อเทียนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา จากการตรวจสอบภูมิหลังของเย่เฟิงมาแล้ว เขาย่อมรู้เบอร์โทรศัพท์ของชายหนุ่ม ดังนั้น หลินเต๋อเทียนจึงกดโทรออกไปทันที

………

เวลานี้ เย่เฟิงอยู่ที่ทะเลสาบจำลองเหวยหมิงของมหาลัยเหยียนจิง เขากำลังเตรียมตัวอยู่เงียบๆสำหรับการเปิดใช้งานทักษะสัมผัสวิญญาณ ชายหนุ่มกดปุ่มเปิดเครื่องโทรศัพท์มือถือของเขา ซึ่งมือถือเครื่องนี้ เขาได้มาจากชายหน้าบากหลังจากกลับจากเขาฉางไป่

ทันทีที่เปิดเครื่อง เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกสงสัยไม่น้อย เมื่อมองดูเบอร์โทรศัพท์ เขาก็คิดในใจว่าเขามีคนรู้จักที่ใช้เบอร์นี้ด้วยงั้นหรือ?

โดยไม่คิดให้มากความ ชายหนุ่มกดปุ่มรับโทรศัพท์แต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“เย่เฟิงใช่ไหม?”

น้ำเสียงหนักแน่นของชายวัยกลางคนดังขึ้นในสายโทรศัพท์

‘หลินเต๋อเทียนงั้นหรอ?’

เมื่อเย่เฟิงได้ยินเสียงในสาย เขาจำได้ทันทีว่าเป็นเสียงของหลินเต๋อเทียนที่เขาเคยได้ยินในห้องใต้ดิน แล้วทำไมชายคนนั้นถึงโทรหาเขากัน?

ชายหนุ่มเดาสุ่มถึงความเป็นไปได้หลายอย่างในใจ เขาเดาว่าฝ่ายตรงข้ามคงจนปัญญาที่จะหาตัวชายสวมหน้ากาก ฝ่ายนั้นจึงเปลี่ยนมาหาตัวเขาแทน

“ใช่ ผมเอง”

หลินเต๋อเทียนถามออกไปโดยไม่อ้อมค้อมทันที “ชายสวมหน้ากากเพื่อนของนายอยู่ที่ไหน? แล้วเขาเป็นใคร?”

“โทษทีนะครับ เขาเป็นเพื่อนของผม ไม่ใช่คนรับใช้ แล้วผมจะรู้ได้ไงว่าเขาอยู่ที่ไหนตอนนี้?”

เย่เฟิงตอบกลับเสียงเย็น

“เอาละ นี่ฉันไม่ได้ถามนาย แต่ฉันขอสั่งนาย!”

หลินเต๋อเทียนพูดเสียงเบาในลำคอ “ด้วยที่ชายสวมหน้ากากขัดขวางการปฏิบัติหน้าที่ของกองทัพ ดังนั้น ฉันขอโทษจริงๆที่จำเป็นต้องบอกว่า ทุกการกระทำของนายต้องถูกกองทัพจับตาดูเอาไว้ ไม่ว่านายจะอยู่ที่ไหนตอนนี้ ให้มาที่เขตฉางผิงภายในหนึ่งชั่วโมงเพื่อรับการตรวจสอบจากกองทัพ นอกจากนี้ คุณหนูซูเหมิงหานยังอยู่ที่นี่แล้ว และกำลังถูกตรวจสอบอยู่ ถ้านายไม่มาละก็……”

เย่เฟิงรู้สึกงงงันว่าทำไมหลินเต๋อเทียนถึงไม่มาหาเขา แต่ไปหาซูเหมิงหานแทน หรือเพราะมันง่ายกว่างั้นหรอ? ไม่อย่างนั้นด้วยอำนาจของชายคนนั้น เขาย่อมหาเย่เฟิงเจอได้ไม่อยากด้วยการตรวจสอบตำแหน่งของสัญญาณโทรศัพท์ สังสัยชายคนนั้นคงขี้เกียจเกินกว่าจะใช้วิธีนี้

“เธอไม่รู้อะไรด้วย พวกคุณกลับสอบปากคำเธอ นี่มันไม่แปลกไปหน่อยหรือไง?”

สีหน้าของเย่เฟิงเปลี่ยนไปทันที

“เธออาศัยอยู่กับนาย แน่นอนว่าเธอต้องรู้อะไรบ้าง ขอเตือนอีกครั้งว่านี่เป็นภารกิจของกองทัพ นายไม่มีสิทธิปฏิเสธได้ ไม่ว่ากรณีใดๆก็ตาม”

หลินเต๋อเทียนเน้นเสียงหนัก หลังจากนั้น น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนเป็นเข้มขึ้น “ต่อให้นายเป็นหลานชายของผู้เฒ่าตระกูลเย่ แต่ฉันจำเป็นต้องทำแบบนี้ นายรู้ไหมว่าเพราะชายสวมหน้ากาก ไซ่เชาหงที่เป็นลูกชายของประธานบริษัทเผ่ยเขิงกรุ๊ปถึงถูกฆ่าตายในประเทศจีนของพวกเรา นอกจากนี้ มันยังไม่หยุดแค่นั้น มันไม่แค่ทำให้ซิวเหวินเสียสติ แต่มันยังสังหารทหารของหน่วย NSA ไปถึงสามคน…….”

เมื่อเย่เฟิงได้ยินดังนั้น เขาก็พลันมึนงงไปชั่วครู่

หลินซิวเหวินกลายเป็นเด็กเอ๋องั้นหรอ?

แล้วทหารหน่วย NSA ยังถูกสังหารไปสามคน?

สิ่งเหล่านี้เกี่ยวอะไรกับเขากัน? เขาสังหารเพียงแค่ไซ่เชาหง เพราะแผนการของมันเป็นอันตรายกับประเทศจีน แถมยังมีหลักฐานตั้งมากมายอยู่ในห้องลับในห้องใต้ดินนั่น แล้วพวกหน่วย NSA ไม่ได้ตรวจสอบหลักฐานพวกนั้นหรือไงกัน?

“ตู๊ดๆ”(เสียงวางสาย)

หลังจากกล่าวจบ หลินเต๋อเทียนก็วางสายไปทันที

เย่เฟิงขบคิดเล็กน้อย ก่อนจะโยนโทรศัพท์มือถือลงทะเลสาบไป

หากเขาไม่ไปถึงเขตฉางผิงภายในหนึ่งชั่วโมง ไม่เพียงซูเหมิงหานจะเดือดร้อน แต่ฝ่ายนั้นคงตามหาตัวเขาจากตำแหน่งของสัญญาณโทรศัพท์ด้วยแน่นอน

สายตาขึ้นชายหนุ่มเย็นเยียบ หลินเต๋อเทียนจับไล่จับคนมั่วไปหมดโดยไม่ตรวจสอบให้ละเอียด นี่มันช่างน่ารำคาญจริงๆ หากมีอะไรเกิดขึ้นกับซูเหมิงหานละก็ เขาได้คว่ำตระกูลหลินทิ้งแน่!

เย่เฟิงมีเวลาเพียงหนึ่งชั่วโมง แต่นั้นก็เกินพอให้เขาเปิดใช้งานทักษะสัมผัสวิญญาณได้ ถึงแม้เขาจะต้องรีบไปที่ตระกูลหลินให้เร็วที่สุด แต่เขาต้องเตรียมตัวให้พร้อมเสียก่อน หากเขาไม่สามารถแสดงทุกสิ่งให้ชัดเจน และไม่สามารถโน้มน้าวพวกตระกูลหลินได้ ชายหนุ่มจะได้มีทางเลือกอื่นไว้สำรอง

หลินซิวเหวินกลายเป็นปัญญาอ่อน ซ้ำทหาร NSA สามนายยังถูกสังหาร ดูเหมือนว่ามีคนที่รู้วิธีทำให้เย่เฟิงตกอยู่ในสถานการณ์ลำบาก และตั้งใจจะผลักความผิดมาทางเย่เฟิงโดยเฉพาะ

แล้วมันเป็นใครกัน?

แม้เย่เฟิงจะรู้แล้วว่ามีใครบางคนกำลังพยายามสร้างปัญหาให้เขา แต่ชายหนุ่มก็ยังไม่มีเบาะแสว่าคนๆนั้นเป็นใคร มันเป็นผู้สมคบคิดกับไซ่เชาหงอย่างงั้นหรอ? นั่นก็มีความเป็นไปได้

ชายหนุ่มยืนขึ้น แล้ววิ่งออกจากทะเลสาบเหวยหมิงไป ไม่นาน เขาก็มาถึงยังสนามเด็กเล่นที่แสนวังเวง เย่เฟิงตรงไปที่พุ้มไม้หนาเพื่อซ่อนตัวอยู่ที่นั่น แล้วเริ่มกระบวนการของเขาด้วยการนั่งขัดสมาธิและเริ่มการกลั่นเอาวิญญาณหยินออกมา

วิญญาณหยินเป็นจิตวิญญาณขั้นต้นซึ่งแบ่งออกเป็นสองชนิดคือ วิญญาณหยิน และวิญญาณหยาง ในโลกเทวะ หากใครได้ครอบครองวิญญาณหยิน 10 ปี และวิญญาณหยาง 100 ปีแล้วละก็ คนๆนั้นย่อมกลายเป็นผู้มีชื่อเสียงที่รู้จักกันไปทั่ว

ด้วยวรยุทธ์ระดับ 10 ปี ผู้ฝึกวรยุทธ์จะสามารถปลดปล่อยวิญญาณหยินออกมา และสามารถใช้มันรับรู้ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นรอบๆตัวได้ในระยะหนึ่ง ยิ่งมีระดับวรยุทธ์สูงขึ้น ขอบเขตการรับรู้ก็ยิ่งกว้างขึ้น สำหรับวรยุทธ์ระดับ 10 ปี ขอบเขตการรับรู้จะมีรัศมีประมาณ 100 เมตร ซึ่งไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่นิ่งหรือสิ่งที่เคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว ผู้ใช้ล้วนรับรู้ได้ทั้งหมดอย่างง่ายดาย

เมื่อระดับวรยุทธ์ถึงระดับ 100 ปี ผู้ฝึกจะสามารถปลดปล่อยวิญญาณหยางออกมาได้ ซึ่งความสามารถของมันสูงส่งยิ่งกว่านี้มาก แต่เย่เฟิงไม่เคยคิดถึงเรื่องนี้ เพราะระดับวรยุทธ์ของเขาเวลานี้ยังห่างไกลเกินไป

ด้วยอาศัยความแข็งแกร่งระดับสูงสุด เย่เฟิงหมุนเวียนเจินชี่ในจุดตัดเถียนอย่างรวดเร็ว ในไม่ช้า เงาโปร่งแสงร่างหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาบนหัวของเขา เมื่อมีวรยุทธ์ระดับ 10 ปีแล้ว การกลั่นวิญญาณหยินออกมาจึงทำได้อย่างง่ายดาย อย่างไรก็ตาม มันเป็นเพราะชายหนุ่มคุ้นเคยกับทักษะสัมผัสวิญญาณเมื่อตอนอยู่ที่โลกเทวะด้วยเช่นกัน กระบวนการทั้งหมดถึงได้ราบรื่นขนาดนี้

วืด! วืด! วืด!

คลื่นลมหนาวเย็น แผ่กระจายออกมารอบๆตัวเย่เฟิงสามครั้ง จากนั้นพวกมันก็ถูกพัดปลิวไปยังพุ้มไม้รอบๆ ก่อให้เกิดเสียงดังกรอบแกรบ

ในที่สุดก็สามรถเปิดใช้งานทักษะสัมผัสวิญญาณสำเร็จแล้ว!

เวลานี้ เมื่อปิดเปลือกตาลง เย่เฟิงรับรู้ถึงทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในรัศมี 100 เมตรรอบตัวของเขา

เสียงร้องของแมลง ใยแมงมุม เสียงฝีเท้าของคนที่เดินอยู่นอกสนามเด็กเล่น ฝูงแมลงวันและฝูงยุงที่บินอยู่บนฟ้า ฝูงมดที่เดินอยู่ใต้ดิน ตะขาบ………….ทุกสิ่งทุกอย่างที่ชายหนุ่มต้องการรู้สึก เขาก็สามารถรับรู้ในใจได้ทุกอย่างไม่ต่างอะไรจากการมองด้วยตา!

เย่เฟิงเปิดเปลือกตาขึ้นมา เจินชี่ที่ไหลเวียนอย่างบ้าคลั่งอยู่ทั่วร่างก่อนหน้านี้ ในที่สุดก็กลับมาสงบดั่งเดิม

เวลานี้ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานการณ์ใด เขาก็ไม่จำเป็นต้องกลัวอะไรอีกแล้ว ณ ตอนนี้ ช่องว่างระหว่างผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาของโลกใบนี้ กับผู้ฝึกวรยุทธ์วิถีเซียน ได้แสดงออกมาอย่างชัดเจน

สายตาของเย่เฟิงเปล่งประกายเย็นเยียบ เขามุ่งไปที่คฤหาสน์ตระกูลหลินเพื่อหมายจะช่วยซูเหมิงหานออกมาจากการจับกุม และเขายังต้องการอธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นแก่ตระกูลหลิน ชายหนุ่มต้องการให้ฝ่ายนั้นรู้ว่าผู้ร้ายตัวจริงไม่ใช่ตัวเขาแต่เป็นไซ่เชาหง และยังมีใครบางคนที่พยายามใส่ร้ายตัวเขาด้วย

………………………..

แปลโดย Solar Spark

Solar Spark: ตอนนี้นอกจากน้ำเยอะแล้วยังแปลยากอีกต่างหาก -*-