บทที่ 100 ความปั่นป่วนหน้าประตูโรงเรียน

เมื่อข้อเท้าของหลงจื่อถูกเย่เฟิงจับไว้ได้กลางอากาศ ใจของชายชุดม่วงพลันตื่นตกใจ ก่อนหน้านี้ เขาได้ยินมาว่าโม่จิ่วเกอดูเหมือนคนวัยหนุ่ม ซึ่งจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะสามารถปลดปล่อยพลังชี่ภายในออกมานอกร่างกายได้? ยิ่งกว่านั้น ท่าที่ชายสวมหน้ากากใช่ออกมานี่มัน…..ทักษะกรงเล็บมังกรของตระกูลเย่งั้นรึ?

หลงจื่อพลันไหลเวียนพลังชี่ของตัวเองกลับเข้าไปในจุดตัดเถียนเพื่อสร้างเสถียรภาพ จากนั้นจึงค่อยๆทิ้งตัวลงมาบนพื้นอย่างมั่นคง

“ยอดเยี่ยม การปลดปล่อยพลังชี่ภายในออกมานอกร่างกายไม่ใช่เรื่องง่ายแม้แต่น้อย”

หลงจื่อชื่นชมเย่เฟิงจากก้นบึ้งของจิตใจ “ท่านมีความสัมพันธ์อะไรกับตระกูลเย่งั้นรึ?”

ก่อนหน้านี้ หลงหวางเอ๋อบอกว่าเย่เฟิงเป็นเพียงแค่คนธรรมดา ดังนั้น ไม่ว่าหลงโม่หรันหรือคนอื่นๆตระกูลหลงจึงไม่มีใครสงสัยเขา

หากเย่เฟิงไม่ใช้ทักษะแฝงตัวลอบสังหาร ทุกๆคนย่อมต้องสงสัยในตัวเขาแน่ๆ

“ความสัมพันธ์ของผมกับตระกูลเย่ เป็นเพียงแค่เรื่องตอบแทนบุญคุณเท่านั้น”

เย่เฟิงตอบเสียงต่ำ

“ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์จะไม่ใช่แค่ผิวเผินเสียด้วย น่าเสียดายจริงๆ”

หลงจื่อส่ายหัว “เมื่อเห็นพรสวรรค์ของท่านแล้ว ข้าบอกได้เลยว่า หากท่านได้รับการฝึกฝนที่ดี ท่านจะกลายเป็นดาวเด่นรุ่นใหม่ของวงการยุทธภพอย่างแน่นอน”

“แล้วไงล่ะ?”

เมื่อเย่เฟิงเห็นหลงจื่อไม่จู่โจมเข้ามาอีก เขาจึงถามออกไปอย่างระมัดระวัง

“ท่านนี่กล้าหาญไม่เบาเลยจริงๆ”

หลงจื่อพูดขณะที่ยังคงแสดงท่าทางสุภาพอยู่ “ข้าไม่รู้ว่าเหตุใดหลงหวางเอ๋อถึงหลงไหลในตัวท่าน แต่หากข้ายอมให้ท่านเข้าสู่ตระกูล นั่นจะมีเพียงทางเดียวเท่านั้นคือการแต่งงาน”

เมื่อเย่เฟิงได้ฟังดังนั้น เขาก็เกือบจะหลุดหัวเราะ ชายคนนี้ชื่นชอบเขาเพียงเพราะว่าชายหนุ่มสามารถปลดปล่อยพลังชี่ภายในออกมานอกร่างกายได้ตั้งแต่อายุยังน้อย ดังนั้นหลงจื่อจึงอยากจะดึงตัวเย่เฟิงเข้าตระกูลของเขา

“คุณเป็นตัวแทนของหลงโม่หรันงั้นรึ?”

เย่เฟิงพูดออกมาขณะยังคงแสดงท่าทางสงบนิ่ง “ผมไม่คิดว่าหลงโม่หรันจะยอมรับผมหรอกนะ”

“ฮ่า ฮ่า”

หลงจื่อหัวเราะ “หากหัวหน้าตระกูลเรารู้ว่าบุตรเขยของเขาเป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างน่าเหลือเชื่อ เขาย่อมรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่มีโอกาสได้เสริมความแข็งแกร่งของตระกูลหลง ยิ่งกว่านั้น ตระกูลเย่ถือว่าหลุดพ้นจากยุทธภพแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีความสัมพันธ์อันใดกับตระกูลหลงอีก ดังนั้น การเข้าร่วมตระกูลหลงของพวกเราไม่ได้หมายความว่าเป็นศัตรูกับตระกูลเย่”

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่เชิญชวน แต่เรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญสำหรับผมมาก ผมจึงต้องขอเวลาคิดกับมันให้ดีเสียก่อน”

เย่เฟิงไม่รู้สึกเห็นด้วยกับหลงจื่อแม้แต่น้อย แต่เขาย่อมไม่แสดงสิ่งที่คิดออกมา ชายหนุ่มจึงเลี่ยงการตอบคำถามโดยขอใช้เวลาสำหรับคิดเรื่องนี้แทน สิ่งสำคัญสำหรับเวลานี้ของเย่เฟิงคือการโกหกให้ชายคนนี้กลับไป เพื่อที่เขาจะได้พักผ่อนและเก็บแรงไว้สำหรับจัดการกับไซ่เชา

“เข้าใจแล้ว ข้าเชื่อว่าท่านเป็นคนฉลาด”

หลงจื่อยิ้ม “โอ้ อีกเรื่องหนึ่ง หากท่านตัดสินใจได้เมื่อไหร่ก็ให้มาหาหัวหน้าตระกูลเราที่ทะเลจีนตะวันออก ข้าและคนอื่นๆของตระกูลหลงจะรอต้อนรับท่านอยู่ที่นั่น”

เย่เฟิงรู้ว่าหลงจื่อรู้สึกยินดีและพอใจมากกับความสามารถของเขา แต่ถึงอย่างนั้น ชายหนุ่มยังค้นพบร่องรอยของความกังวลในสายตาของเขา ความจริงแล้ว หลงจื่อคงรู้ว่าการโน้มน้าวใจหลงโม่หรันให้ยอมรับโม่จิ่วเกอเป็นลูกเขยไม่ใช่เรื่องง่ายเลยแม้แต่น้อย

แต่เมื่อได้เห็นพรสวรรค์ของเย่เฟิง หลงจื่อคงรู้สึกเสียดายอย่างยิ่งหากไม่ได้ลองพยายามดึงตัวเย่เฟิงเข้าสู่ตระกูลหลง ดังนั้น เขาจึงเชิญชวนโม่จิ่วเกอไปยังทะเลจีนตะวันออก ซึ่งเป็นที่ๆชายหนุ่มมีโอกาสได้แสดงพรสวรรค์ต่อหน้าหลงโม่หรันเพื่อเปลี่ยนใจของเขา……….

“เข้าใจแล้ว”

เย่เฟิงพูดด้วยเสียงโทนต่ำ ถึงอย่างนั้น เขารู้สึกมึนงงเล็กน้อยเมื่อได้ยินว่าตระกูลหลงจะไปที่ทะเลจีนตะวันออก พวกเขาจะไปที่นั่นทำไม? หรือเพราะต้องการจะไปยลโฉมเทพธิดาแห่งทะเลจีนตะวันออกงั้นหรือ?

หลังจากได้คุยเรื่องไร้สาระมากมาย สุดท้าย หลงจื่จึงได้หันหลังจากไปด้วยความพึงพอใจ ที่เสียดายที่ความจริงแล้ว เย่เฟิงไม่ได้สนใจจะเข้าร่วมกับตระกูลหลงเลยแม้แต่น้อย ชายหนุ่มไม่รู้ว่าหากได้เห็นพรสวรรค์ของเขาแล้ว หลงโม่หรันผู้มีอารมณ์แปรปรวนคนนั้นจะรู้สึกพอใจในตัวเขาไหม? นี่เป็นเรื่องที่ทำนายได้ยากจริงๆ

เมื่อเห็นหลงจื่อในชุดคลุมสีม่วงจากไป เย่เฟิงค่อยรู้สึกโล่งใจ ชายหนุ่มเดินกลับเข้าไปในบ้านอย่างเงียบเชียบโดยไม่เปิดไฟ เพื่อกลับไปที่เตียงนอนของเขา

เย่เฟิงไม่รู้เลยว่าเหตุการณืที่เขาได้พูดคุยกับหลงจื่อนั้น ล้วนตกอยู่ในสายตาของคนๆหนึ่งมาโดยตลอด

“เด็กคนนั้น ถึงแม้ว่าจะถูกตระกูลหลงเชิญชวน แต่เขาก็ยังคงไม่แยแสแม้แต่น้อย จิตใจของเขานับว่าน่าชื่นชมจริงๆ!”

หวงเผยหรงที่ยืนอยู่ใต้เงาต้นไม้อีกด้านหนึ่งของถนนชื่นชมโม่จิ่วเกออย่างมากมาย เขาเป็นคนหนึ่งที่รู้ข่าวว่าโม่จิ่วเกอกลับมาที่เหยียนจิงแล้ว ยิ่งกว่านั้น เขายังรีบไล่ตามมาเพื่อต้องการพูดคุยกับชายหนุ่ม ถึงอย่างนั้น ก่อนที่เขาจะเข้าไปหาโม่จิ่วเกอ น่าที่เสียที่เขาถูกตระกูลหลงชิงตัดหน้าไปเสียก่อน

เมื่อเห็นหลงจื่อล้มเหลวในการเชิญชวน หวงเผยหรงอดใจไว้ไม่ให้ตัวเขาโดดเข้าไปหาโม่จิ่วเกอ อิทธิพลและความน่าดึงดูดของสวรรค์แห่งเขาเทียนจู่นั้นไม่อาจเทียบได้กับตระกูลหลง ดังนั้นการเชิญชวนโม่จิ่วเกอในตอนนี้ย่อมไม่มีโอกาสสำเร็จแม้แต่น้อย

“เรื่องนี้คงต้องใช้เวลา ถึงอย่างนั้น ทะเลจีนตะวันออกกำลังจะคึกคักจริงๆ ช่างน่าตกใจที่หลงโม่หรันปรารถนาจะแต่งงาน จึงได้ระดมคนตระกูลหลงไปที่นั่น…….”

หวงเผยหรงคิดถึงเรื่องนี้ขณะยังแอบซ่อนตัวอยู่

สุดท้าย รอบๆบ้านของเย่เฟิงก็กลับสู่ความเงียบสงบ ซึ่งเหลือไว้เพียงแค่เงาของต้นไม้ที่โบกสะบัดไปตามสายลมอันหนาวเย็นที่พัดไหวไปอย่างช้าๆ

…………..

เช้าวันถัดมา เย่เฟิงและซูเหมิงหานได้เดินไปโรงเรียนพร้อมกัน

เหลืออีกเพียงครึ่งเดือนจะถึงช่วงการสอบเข้ามหาวิทยาลัย และนี่คือสัปดาห์สุดท้ายของการเรียนการสอนในโรงเรียน โดยหลังจากสัปดาห์นี้ไปแล้ว ทางโรงเรียนจะหยุดให้นักเรียนได้มีเวลาเตรียมตัวสำหรับการสอบ

ความจริงแล้ว ในการสอบจำลองครั้งล่าสุด คะแนนของเย่เฟิงได้อันดับหนึ่งนับมาจากหลัง ซึ่งทำให้ซูเหมิงหานรู้สึกเป็นกังวลมาก และเป็นเหตุผลหลักที่เย่เฟิงรู้สึกว้าวุ่นใจ

“เย่เฟิง ตั้งแต่วันนี้ไป ฉันจะพยายามช่วยติวให้นายอย่างดีที่สุด นายได้ยินไหม?”

ซูเหมิงหานพูดอย่างจริงจังระหว่างที่พวกเขาเดินอยู่

“อ่า……….แล้วเรื่องระหว่างตระกูลเซี่ยกับพ่อของเธอเป็นไงบ้าง?”

เย่เฟิงพยักหน้าแล้วถามเพื่อเปลี่ยนเรื่อง

“แน่นอนว่าคงต้องฟ้องร้องพวกเขา”

ซูเหมิงหานพูดอย่างรู้สึกอึดอัดเล็กน้อย “แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอะไรบ้างนี่สิ”

“งั้นฉันจะให้หน้าบากช่วยเธอเรื่องนี้นะ”

เย่เฟิงพูดอย่างไม่กังวล หน้าบากที่เป็นหัวหน้าแก๊งโลกใต้ดินย่อมมีประสบการณ์ทางสังคมมากพอ เพราะฉะนั้น การช่วยซูเหมิงหานเรื่องนี้ถือว่าเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเขา ยิ่งกว่านั้น ในเรื่องการฟ้องร้อง ยังมีซูซินฉางที่คอยเป็นพยาน ดังนั้น ไม่ว่าเซี่ยหมินหรือเซี่ยเฉิงเย่ย่อมไม่อาจดิ้นหลุดได้

และถึงแม้จะมีปัญหาอะไรเกิดขึ้น มันย่อมไม่ใช้เรื่องใหญ่สำหรับเย่เฟิง เขาสามารถจัดการปัญหาที่เหลือได้ด้วยกระบี่ของเขา ถึงอย่างนั้น นี่เป็นเรื่องของซูเหมิงหานซึ่งเธอไม่ยอมให้เย่เฟิงแก้ปัญหาด้วยการฆ่าผู้คนแน่นอน

หลังจากพูดอย่างนั้น เย่เฟิงโทรหาชายหน้าบากให้เขาช่วยจัดการเรื่องนี้ให้

“พี่เย่ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้ครับ ผู้พิพากษาของศาลเมืองเหยียนจิงเป็นคนของตระกูลหลิน ยิ่งไปกว่านั้น พวกเรายังมีคำสารภาพจากปากของซูซินฉาง ดังนั้น พวกมันดิ้นไม่หลุดแน่นอน!”

ชายหน้าบากรับปากอย่างขึงขัง

เมื่อฟังจากน้ำเสียง เย่เฟิงยังสามารถรู้สึกถึงความโศกเศร้าในน้ำเสียงของเขา คนที่แข็งแกร่งอย่างชายหน้าบากยังไม่สามารถทำใจกับความสูญเสียได้

“ในโลกเทวะ ความตายทางกายภาพไม่ถือว่าเป็นการตายอย่างสมบูรณ์……น่าเสียดายที่ในโลกนี้ ด้วยระดับวรยุทธ์ของเราในตอนนี้ เรายังไม่สามารถจะทำอะไรได้”

เย่เฟิงรู้สึกสงสารและรู้สึกผิดในใจ

แต่ต้นเหตุทั้งหมดของเรื่องนี้มาจากเจ้าไซ่เชาจากองค์กรลึกลับนั่น!

เมื่อเย่เฟิงและซูเหมิงหานมาถึงใกล้ๆประตูโรงเรียน ทันใดนั้น เขาพบว่ามีความโกลาหนอยู่ที่หน้าประตูโรงเรียน ที่นั่นมีรถและผู้คนอยู่มากมาย ยิ่งกว่านั้น นอกจากนักเรียนแล้ว ยังมีผู้ปกครองมากมายยืนอยู่รอบๆประตูโรงเรียน

เพราะใกล้จะถึงวันสอบเข้ามหาวิทยาลัยงั้นหรือ? ถึงมีผู้ปกครองมากมายมาส่งบุตรหลานที่โรงเรียน

อย่างไรก็ตาม ไม่นานพวกเขาทั้งคู่ก็เข้าใจว่ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องการสอบเข้า เพราะเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เดินตามมาด้านหลังพวกเขาได้วางมืออย่างแรงบนไหล่ของเย่เฟิงแล้วพูดว่า “ผึ้งน้อย รีบไปดูเร็ว ฉันได้ยินมาว่าคุณหนูตระกูลหลินมาที่นี่วันนี้เพื่อมาหาใครบางคน ทุกๆคนจึงมามุ่งดูกัน”

อะไรนะ?

หลินชื่อฉิงคนนั้นมาที่โรงเรียนเพราะแค่มาหาเขางั้นหรือ?

เย่เฟิงและซูเหมิงหานเบิกตากว้างและถึงกับนิ่งเงียบไปในทันที

………………………..

แปลโดยทีมงาน GSI