…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ห้องอาหารหลงนั้นมีสภาพแวดล้อมที่สวยงามพร้อมด้วยสไตล์การตกแต่งที่เลิศหรูและภายในห้องโถงนั้น ไทหลงกำลังทักทายกับผู้เชี่ยวชาญทั้งสี่คนจากสำนักมังกรรุ่งโรจน์และเชิญให้พวกเขานั่ง

“คุณทั้งสี่คนมีชื่อว่าอะไรงั้นหรอ?”

ไทหลงหรี่ตาลงและจ้องมองพวกเขาทั้งสี่คน

ต้องรู้ว่าสำนักมังกรรุ่งโรจน์นั้นเป็นโรงเรียนที่สอนวิทยายุทธที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองนี้และชื่อเสียงได้แพร่กระจายออกไปยังภายนอก เจียงเฟิงซึ่งเป็นผู้นำสำนักนี้มีความสำเร็จด้านวิทยายุทธถึงจุดสุดยอดแล้ว เขาได้เดินทางไปรอบโลกและได้สร้างชื่อเสียงอย่างมากมายจากความแข็งแกร่งในการต่อสู้ของเขา จนกระทั่งเมื่อ20 ปีที่แล้วที่เขาได้กลับมาที่เมืองแห่งนี้ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเขาและก่อตั้งสำนักนี้ขึ้น

หลังจากผ่านไปกว่าสองทศวรรษแห่งการพัฒนาแล้ว ในแต่ละรุ่นของนักเรียนที่จบออกมานั้นมักเป็นคนที่มีพรสวรรค์เป็นอย่างมากและผู้ฝึกวิทยายุทธส่วนใหญ่ในเมืองแห่งนี้ก็ได้จบมาจากสำนักนั้น

ไทหลงรู้อย่างชัดเจนว่าผู้ที่สามารถเป็นอาจารย์ของสำนักแห่งนี้ได้นั้นจะต้องเป็นคนที่มีความสามารถมากมายอย่างแน่นอน

“ฉันเฟย์เขวียนและทั้งสามคนนี้เป็นพี่น้องของฉัน”

ชายที่ดูแข็งแกร่งและสุขภาพดีได้พูดด้วยน้ำเสียงลึกๆออกมา

ไทหลงพยักหน้าช้าๆแล้วพูดต่อว่า

“ผู้ฝึกสอนเฟย์ ฉันมอบหมายให้ซันดาซี่ในการช่วยติดต่อคุณ ฉันมีข้อตกลงทางธุรกิจที่ฉันต้องพูดคุยกับคุณ คุณมีความสนใจหรือไม่ ”

เฟย์เขวียนพูดออกมาว่า

“ไหนลองว่ามาก่อน!”

ไทหลงเองก็ได้พูดต่อว่า

“เมื่อเร็วๆนี้ฉันได้ไปล่วงเกินคนที่แข็งแกร่งมากๆ ฝ่ายตรงข้ามของฉันนั้นมีความสามารถที่น่ากลัวสุดๆ ลูกน้องของฉันกว่า20คนที่มีประสบการณ์นั้นถูกเขาทำร้ายอย่างสาหัสได้อย่างง่ายดาย ตอนนี้พวกเขายังนอนหยอดน้ำข้าวต้มอยู่ที่โรงพยาบาลอยู่เลย ดังนั้นฉันอยากจะเชิญให้คุณจัดการเกี่ยวกับเรื่องเหล่านี้ส่วนเรื่องราคานั้นสามารถว่ามาได้เลย ”

มีผู้บาดเจ็บมากกว่า20คน?

ท่าทางของเฟย์เขวียนนั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อยและเหล่าพี่น้องของเขาเองก็แสดงให้เห็นถึงความไม่อยากจะเชื่อ แม้ว่าพวกเขาจะไม่สนใจพวกอันธพาลที่เอาแต่ต่อสู้ไปวันๆแต่มันก็ยังเป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่าพวกเขาเหล่านั้นมีประสบการณ์ในการต่อสู้และยากมากที่จะจัดการ แต่คนๆเดียวกลับสามารถที่จะทุบตีคนเหล่านั้นกว่า20ให้บาดเจ็บสาหัสได้ นั่นก็เป็นไปได้เพียงอย่างเดียวว่าความสำเร็จในด้านวิทยายุทธของฝ่ายตรงข้ามนั้นสูงมากๆ!

เฟย์เขวียนตอบอย่างตรงไปตรงมาว่า

“ถ้าเป็นเจ้าสำนักแล้วละก็อาจจะพอเป็นไปได้ที่จะจัดการพวกเขาพร้อมกันถึง20คน แต่พวกเรานั้นไม่มีความมั่นใจเพียงพ่อที่จะทำเรื่องเหล่านั้นได้ ”

“นี่…”

ไทหลงรู้สึกกลัวจนหัวหด หากว่าพวกเขาไม่สามารถทำได้แล้วเขาจะไปหาใครที่ไหนไปจัดการไอเด็กเวรนั่นหละ? อย่าบอกนะว่าจะต้องใช้ทางเลือกสุดท้ายซึ่งก็คือการใช้อาวุธปืน ?

เฟย์เขวียนได้พูดต่อว่า

“ถ้าเป็นหนึ่งในพวกเราไปคนเดียวก็อาจจะไม่ใช่คู่มือของฝ่ายตรงข้ามแต่ฉันเชื่อว่าหากเราทั้งสี่คนรุมเขาพร้อมๆกันแล้วละก็ อย่างน้อยก็สามารถที่จะทำให้เขาพิการได้ แต่มันก็ยังมีความเสี่ยงเพราะว่าเรานั้นจะต้องได้รับบาดเจ็บอย่างแน่นอน ส่วนเรื่องราคานั้น……… ”

ไทหลงมีความสุขมากหลังจากได้ยินคำพูดนี้ เขารีบพูดขัดออกมาอย่างรวดเร็วว่า

“1 ล้าน”

เฟย์เขวียนยกนิ้วโป้งขึ้นและยกย่องว่า

“บอสไท เป็นคนตรงไปตรงมาดังนั้นเราจึงจะไม่พูดอะไรอีกต่อไป เอาข้อมูลเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นมาแล้วเราจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือคุณ หากว่าเราไม่สามารถจัดการเขาได้ เราจะไม่รับเงินรางวัลแม้แต่หยวนเดียว ”

“ไม่จำเป็นต้องเอาข้อมูลเกี่ยวกับเขาเพราะเขาได้บุกเข้ามาในบริษัทของฉันแล้วและผู้ชายคนนั้นก็กำลังนั่งอยู่ในห้องทำงานของฉัน ”

“นี่มันจะไม่อวดดีเกินไปหน่อย?”

ท่าทางที่แปลกใจได้ปรากฏอยู่บนใบหน้าของเฟย์เขวียนและคนอื่นๆ

ไทหลงได้พูดทันทีว่า

“ใช่แล้ว!ไอ้เด็กบ้านั้นมันอวดดีเกินไป ดังนั้นฉันแค่หวังว่าทั้งพวกคุณทั้งสี่จะสามารถเก็บกวาดเขาได้ ”

เฟย์เขวียนได้พูดออกมาว่า

“ไปกันเถอะ!”

ที่บริษัทอสังหาริมทรัพย์เจียงฉาน , ภายห้องทำงานผู้จัดการทั่วไป

ถังวิ่วนั่งอยู่ที่โต๊ะของไทหลงและกำลังมองไปที่หญิงที่มีความโกรธอยู่เต็มใบหน้า เขาโบกมือแล้วพูดว่า

“โอเค ออกไปได้แล้ว นี่ไม่ใช่เรื่องของเธอ!”

ผู้หญิงคนนั้นจ้องมองอย่างดุเดือดไปที่ถังซิ่วพร้อมหันไปทางประตู เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวตนของถังซิ่วแม้แต่น้อย ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าทำอะไรบูมบ่ามเพราะยังไงก็ตามแล้ว ถังซิ่วไม่ได้กลัวนายใหญ่ของเธอแม้แต่น้อย เธอที่เป็นแค่เลขาฯของไทหลงและของเล่นของเขาก็ไม่มีอำนาจจะทำอะไรได้

อย่างไรก็ตามเมื่อเธอเพิ่งเดินออกไปจากประตู เธอก็ได้เห็นชายแข็งแกร่งทั้งสองและโห่ร้องด้วยความปิติยินดีว่า

“ทำไมเพิ่งจะมาถึงที่นี่? มีไอเด็กเวรที่ไหนไม่รู้กล้าที่จะสาปแช่งนายใหญ่ของเรา ตอนนี้มันนั่งอยู่ในห้องของเขา ”

“ฮึมมม!”

ชายหนุ่มทั้งสองคนวิ่งไปที่ออฟฟิศ เมื่อพวกเขามองไปที่ถังซิ่วซึ่งกำลังนั่งอยู่บนเก้าอี้ของเจ้านายพวกเขาแล้วนั้น หนึ่งในนั้นก็ตะโกนออกมาอย่างรุนแรงว่า

“แกลุกขึ้นเดี๋ยวนี้เลยนะ ที่นั่งไม่ใช่ที่ที่แกจะนั่งได้! ”

ถังซิ่วพูดออกมาอย่างเยาะเย้ยว่า

“มันนั่งได้แค่ไทหลงงั้นหรอ?”

“ใช่!”

ชายรูปร่างใหญ่ได้ยิ้มอย่างเย็นชาไปที่ถังซิ่วเหมือนดั่งว่าเขาเป็นลูกแกะที่กำลังจะถูกเชือด

ถังซิ่วค่อยๆลุกขึ้นยืน สายตาของเขามองไปที่ชายทั้งสองขณะที่หรี่ตาลงแล้วพูดอย่างใจเย็นว่า

“ดูๆแล้วแกทั้งสองนั้นไม่ค่อยเป็นมิตรสักเท่าไหร่ ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้วก็ขอจัดการกับพวกแกก่อนเลยแล้วกัน ”

ชายสูงสองคนได้มองไปที่กันและกันด้วยท่าทางเยาะเย้ย ทันใดนั้นพวกเขาก็ดึงปืนออกมาจากเอวและเล็งปากกระบอกปืนไปที่ถังซิ่ว

“ไอเด็กเวร พวกฉันรู้ว่าแกพอจะเป็นกังฟูอยู่บ้าง ถึงแม้ว่าแกจะแข็งแกร่งแต่แกหยุดกระสุนได้ไหมหละ ? ฮึ่มมม…….. ไอเด็กน้อยที่โง่เขลาและไม่รู้อะไรเลย คิดว่าตัวเองมีความสามารถแล้วจะไปล่วงเกินคนอื่นได้งั้นหรอ ห๊า ? วันนี้พวกฉันจะทำให้แกได้รู้ว่าหากมาล่วงเกินพี่หลงแล้วละก็ จะเกิดอะไรขึ้นกับแก ”

ชายร่างสูงคนนั้นได้มองไปที่ถังซิ่วด้วยสายตาที่ดุร้ายก่อนจะพูดออกมาพร้อมหัวเราะ

ฆ่าคน !

เขาได้เคยฆ่าคนมาแล้ว และมันมากกว่าหนึ่งครั้ง

ฉากที่โปรดปรานมากที่สุดของเขาคือการมองศัตรูของเขาที่กำลังตายไปช้าๆขณะที่จมอยู่ในกองเลือดของตัวเองพร้อมดิ้นรนกระเสือกกระสนเพื่อจะมีชีวิตรอด เมื่อใดก็ตามที่เขาได้พบกับฉากแบบนี้เขารู้สึกราวกับว่า เขากำลังกระหายน้ำที่ไม่ได้ดื่มน้ำสักสองสามวันแล้วได้ดื่มเบียร์เย็นๆแทน

ขณะที่ชายร่างสูงทั้งสองคนได้ปรากฏตัวขึ้น การแสดงออกของผู้หญิงที่แต่งหน้าหนาก็เดินตามหลังพวกเขามาในขณะที่เธอหัวเราะแล้วพูดออกมาว่า

“เป็นไงบ้างหละ? กลัวแล้วหละสิ? แกเป็นคนงี่เง่าที่โง่งม แกไม่ได้สืบสวนเบื้องหลังของบริษัทเรางั้นหรอ แกเอาตัวเองมาตายแท้ๆแต่อย่างไรก็ตามหากแกคุกเข่าขอชีวิตตอนนี้พร้อมพูดจาเพราะๆกับเรา บางทีเราอาจจะไว้ชีวิตแก ”

“เธอเองก็ต้องโดนดัดนิสัยหน่อยแล้ว”

ถังซิ่วพ่นลมหายใจออกมาอย่างเย็นชาพร้อมกับเคลื่อนไหวทันที เขาได้ปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าของชายทั้งสองในพริบตาพร้อมกับบิดข้อมือของพวกเขาทันที ในชั่วพริบตานั้น ข้อมือของชายทั้งสองได้แตกระเอียดพร้อมกับปืนที่ได้หล่นลงไปที่พื้น

ภาพติดตาของถังซิ่วได้ไปปรากฏอยู่ที่หน้าประตูก่อนที่จะปิดมันก่อนที่เขาจะหันกลับมามองที่คนเหล่านี้ด้วยรอยยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า

“ตอนนี้พวกแกมีสองทางเลือก อย่างแรกคือกระโดดตึกตายไปซะส่วนอย่างที่ของคือรอคนมาหามศพแกออกไป จะเลือดอย่างไหนดีหละ?! ”

ชายสองคนที่ดูแข็งแรงได้ถูกทำลายข้อมือของพวกเขาและปืนเองก็ได้ตกลงไปอยู่บนพื้นแล้ว ความเจ็บปวดที่ถูกส่งออกมาเรื่อยๆได้ทำให้พวกเขาโอดครวญออกมา บนหน้าผากของพวกเขาในตอนนี้นั้นได้มีเครื่องหมายคำถามตัวใหญ่ปรากฏขึ้นมาและบนใบหน้าของพวกเขาได้ปรากฏความรู้สึกที่ตื่นตระหนกตกใจเพราะในขณะที่พวกเขามองไปที่ถังซิ่วนั้นเหมือนดั่งว่ากำลังมองไปที่เทพแห่งความตาย

“ปืน!”

พวกเขายังเป็นคนที่โหดเหี้ยมและไร้ความเมตตาเมื่อเห็นว่าถังซิ่วไม่ได้หยิบปืนไป พวกเขาก็ก้มหัวลงทันทีและพยายามจะหยิบปืนขึ้นมาพร้อมกับเล็งไปที่ถังซิ่วอย่างรวดเร็ว

(*ใจเย็น ไหนว่ามือหักวะ 5555)

“ปังปัง…”

นี่ไม่ใช่เสียงปืน แต่มันเป็นเสียงที่มาจากใบหน้าของพวกเขาที่ถูกกระแทกโดยหมัดเป็นชุดที่ถังซิ่วส่งออกมา ชายทั้งสองนั้นได้ถูกส่งลอยไปกระแทกกับกำแพงด้านหลังโดยทันที

“กรี้ดดดด ……”

เสียงกรีดร้องดังออกมาจากปากของหญิงสาวคนนั้น เธอในตอนนี้นั้นเหมือนดั่งกระต่ายตัวน้อยที่กำลังหวาดกลัว ร่างกายของเธอสั่นเทาขณะที่เธอหลบไปอยู่ที่มุมด้านข้าง

รอยยิ้มที่เย็นชาได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของถังซิ่ว เขาเตะปืนให้ผู้หญิงคนนั้นและพูดด้วยรอยยิ้มดั่งปีศาจว่า

“ฉันจะให้โอกาสเธอในการรักษาชีวิต ไม่อย่างนั้นฉันก็จะโยนเธอลงไปจากชั้น12นี่และฉันเองก็เชื่อว่าเธอน่ารู้ผลลัพธ์ของการตกลงไปจากตึก12ชั้นดี เมื่อเธอตกลงไปกระแทกกับพื้นแล้ว ร่างกายของเธอก็จะแตกกระจายเหมือนดั่งแตงโมที่ถูกทุบเชียวหละ … … ”

“มะ ไม่ อ-อย่า … อ-อย่าฆ่าฉันเลย!”

ผู้หญิงคนนั้นกรีดร้องด้วยความกลัว

ความเสียใจ

เธอเสียใจที่เธอไม่ควรพึ่งพาลูกน้องของเจ้านายเธอหรือแม้กระทั่งการที่ไปยั่วยุถังซิ่ว เธอรู้สึกเสียใจว่าทำไมเธอถึงไม่หนีไปก่อนหน้านี้

ถังซิ่วได้พูดต่อว่า

“ไม่ฆ่าเธอนั้นก็เป็นไปได้ มีสองทางเลือกให้เธอ หนึ่งคือ หยิบปืนนั่นขึ้นมาและยิงพวกเขาซะ และห้ามยิงที่มือหรือเท้าของพวกเขา ทางเลือกที่สองคือ ฉันจะเหวี่ยงเธอออกไปจากชั้น12นี่และปล่อยให้เธอตกลงไปตายข้างล่าง เอาหละ ฉันได้ให้ทางเลือกแก่เธอแล้ว มีเวลา 30วิ คิดให้ดีๆ ”

30วินาที?

ผิวของเธอเปลี่ยนเป็นซีดขาวราวกับกระดาษ เธอมองไปที่ชายร่างใหญ่ทั้งสองคนที่เป็นหมดสติแล้วหันกลับไปมองที่ท่าทางไม่แยแสของถังซิ่ว เธอได้แต่กัดฟันพร้อมกับใช้สิบวินาทีสุดท้ายเพื่อวิ่งไปหยิบปืนแล้วยิงไปที่ชายทั้งสองที่นอนอยู่

“ปัง ปัง ปัง ปัง”

สี่นัด !

กระสุนทั้งสี่นัดได้เจาะทะลุน่องขาของพวกเขาก่อนที่เลือดจะไหลออกมาจากรูเหล่านั้น

หญิงสาวคนนั้นได้มองไปที่ถังซิ่วแต่เธอก็ไม่กล้าที่จะหันปากกระบอกปืนไปทางเขา เธอร้องออกมาว่า

“ฉันไปได้แล้วใช่ไหม?”

ถังซิ่วได้พยักหน้าและอุทานออกมาด้วยความแดกดันว่า

“มีคำกล่าวว่า พิษร้ายที่แรงยิ่งกว่าตัวต่อต่อยก็คือจิตใจของผู้หญิง ในวันนี้ฉันเข้าใจถึงคำพูดนี้จริงๆเธอได้เลือกทางที่ดีและต้องระวังตัวเองมิฉะนั้นสวรรค์และโลกจะรวมกันเพื่อทำลายเธอ ตอนนี้เธอก็ทิ้งปืนไว้และออกไปได้แล้ว จำไว้ว่าในวันนี้คุณได้ยิงชายสองคนนี้และถ้าเรื่องเหล่านี้ไปถึงตำรวจ ฉันคิดว่ามีความเป็นไปได้สูงที่คุณจะต้องนั่งอยู่ข้างหลังลูกกรงหลายปีทีเดียว ”

“ฉัน ฉัน ฉันจะไม่พูดอะไร! แน่-แน่นอน!”

ผู้หญิงคนนั้นตอบขณะที่ตัวสั่นด้วยความกลัว

ถังซิ่วโบกมือและพูดว่า

“ออกไปจากที่นี่ซะ! จำไว้ว่าให้ออกห่างจากฉันให้ไกล ออกห่างจากไอ้บริษัทห่านี่ ออกห่างจากสตาร์ซิตี้และภาวนาว่าอย่าได้เจอฉันอีกต่อไปในชีวิตของเธอ ”

“ฉันจะไป ฉันจะไปทันที”

ผู้หญิงคนนั้นพูดด้วยความมั่นใจ

แม้ว่าเธอจะชอบที่จะข่มขู่ผู้คนแต่เธอก็เป็นคนฉลาด ดังนั้นเธอสามารถบอกได้ว่าไทหลงได้ไปล่วงเกินการดำรงอยู่ของสิ่งที่น่ากลัวเขาให้แล้ว บางทีไทหลงอาจจะต้องจบชีวิตอยู่ที่นี่ แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยายุทธกับปืนก็ยังไม่สามารถเอาชนะคนๆนี้ได้ ใครที่กล้าไปยั่วยุเขานั้นก็เท่ากับว่ากำลังหาที่ตายชัดๆ

เธอได้ตัดสินใจว่าจะไปแพ๊คของและเงินของตัวเองจากนั้นก็จะไปที่ๆไกลแสนไกลแล้วจะไม่กลับมายังเมืองนี้อีก เธอเริ่มอธิษฐานว่าเธอคงจะไม่ได้เจอเทพแห่งความตายที่โหดเหี้ยมและไร้ความเมตตาคนนี้อีกในตลอดชีวิตที่เหลือของเธอ

ถังซิ่วมองไปที่คนสองคนที่ถูกยิงขณะที่ปลุกพวกเขาให้ตื่นขึ้นและพูดล้อเลียนว่า

“เมื่อกี้ตอนที่พวกแกชักปืนออกมาพวกแกพูดไว้ว่าอะไรน๊า??? พอดีความจำของฉันมันไม่ค่อยดี ช่วยพูดอีกทีจะได้ไหม ? “