(T/L ชื่อตอนอาจจะทำให้งงนิดหน่อยนะครับ เพราะเป็นชื่อของเรื่องเล่าของนิยายเกี่ยวกับคนที่มีนามว่าเซี้ยวฟงได้ดาบเล่มหนึ่งมา จากนั้นก็ละเลงเลือดเหมือนดั่ง ดาบเดินได้สะท้อนแสงของเลือดที่เป็นเหมือนตอนเวลาพระอาทิตย์ขึ้นครับ)

 

“ มีเรื่องอันใดหรือ “

 

ชายคลุมหน้าทั้งสองต่างสบตากัน ในตอนแรกที่พวกเขาคาดการณ์ไว้ จากที่เล่าลือกันว่าคุณชายขยะคนนี้ควรจะกลัวจนปัสสาวะราดแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะสงบนิ่งได้ขนาดนี้

 

“ เหอะ เหอะ อย่างนี้ก็ดี คุณหนูบ้านข้าน้อยนั้นบอกว่าวันนี้ที่บ้านของเรานั้นมีงานหมั้นหมายเป็นดั่งวันรับขวัญ ไม่ว่าจะยังไง คุณชายเยี่ยก็ต้องไปให้ได้ “ ชายคลุมหน้าที่อยู่ด้านหน้ากล่าวทั้งที่กำลังหัวเราะออกมา

 

เยี่ยจงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาพึ่งจะนึกออก ว่าจะมีการจัดงานหมั้นในวันนี้ แต่ทว่าเรื่องพวกนี้เขาก็ยังคงไม่เห็นอยู่ในสายตาอยู่ดี คนอื่นจะทำอันใด มันก็ไม่เกี่ยวข้องกับเข้าอยู่ดี ยิ่งกว่านั้นในตอนนี้ภารกิจของเขาคือการฝึกยุทธ์ให้สำเร็จเป็นอันดับแรก

 

ดูจากอาการของเยี่ยจงที่มีท่าทีเหมือนจะไม่ยินยอมนั้น ชายคลุมหน้าที่อยู่ด้านหน้าก็ได้หัวเราะพร้อมกับกล่าวออกมา “ แน่นอน คุณหนูบ้านข้าน้อยนั้นก็ทราบมาว่า คุณชายเยี่ยนั้นเป็นคนเยี่ยงไร เป็นไปได้ที่จะไม่เห็นนางอยู่ในสายตา ดังนั้น คุณหนูบ้านข้าน้อยนั้นคาดหวังไว้ว่าคุณชายเยี่ยจะไปงานหมั้น เพื่อที่จะเรียกร้องการขอถอนหมั้น อีกทั้งยังต้องสำเร็จอีกด้วย …….ถ้าหากว่าล้มเหลวละก็ หวังโม่ก็คงต้องตายแน่ “

 

“ หวังโม่ “ ดวงตาของเยี่ยจงในตอนนี้สาดประกายคมกล้า จากที่เขาคำนวณดูจากสถานการณ์ เขาก็ทราบถึงเหตุผลกลในทันที เจ้าสองคนนี้คงจะเป็นผู้คุ้มกันของซูขุย พวกเขาคงจะจับตัวหวังโม่ไว้             บังคับให้ตนเข้าร่วมงานหมั้น จากนั้นก็ตนเรียกร้องขอถอนหมั้นในงาน หากเหตุการณ์เป็นเช่นนั้นละก็ ต่อไปตนคงจะต้องลำบากไม่น้อย ดูเหมือนว่าคนที่ต้องการชีวิตของตนนั้น คงมีความเป็นไปได้ที่จะเป็นคู่หมั้นของตน ซูขุย

 

“ นำทาง “ หลังจากที่ทบทวนอย่างถี่ถ้วนแล้วเยี่ยจงก็ได้ขานด้วยเสียงอันดังก้อง

 

ทันใดนั้น ผู้คุ้มกันทั้งสองก็มีอาการตะลึงออกมา ตอนแรกพวกเขาคิดว่าจะต้องใช้ไม้แข็งเพื่อนำตัวไป แต่การแสดงออกของเยี่ยจงในตอนนี้ช่างแตกต่างจากปกติราวกับคนละคน แต่ทว่าตอนนี้เยี่ยจงยินยอมที่จะไปก็เพียงพอแล้ว สำหรับคนที่ใกล้จะตาย แน่นอนแล้วว่าพวกเขาไม่มีอารมณ์ที่จะมาแยแสหรือเปลี่ยนแปลงชะตากรรมหรอก

 

หลังจากที่ทั้งสองคนนำทางอยู่นั้น เพียงไม่นานก็มาถึงเขตใจกลางเมืองเจียงโจว ก่อนจะถึงตำหนักของท่านเจ้าเมือง

 

ผู้คุ้มกันคนหนึ่งหัวเราะฮิฮะกล่าว “ คุณชายเยี่ย เชิญ “

 

ลักษณะท่าทาง และคำพูดของบุคคลทั้งสองราวกับว่าจะลากเยี่ยจงเข้าไปด้านในของตำหนักท่านเจ้าเมืองก็มิปาน

 

เยี่ยจงไม่สนใจหรือเหลียวแลพวกเขา ก่อนที่พวกเขาจะเดินใกล้เข้ามา ก็ได้ค่อยๆก้าวเดินเข้าไปยังด้านตำหนักของท่านจ้าวเมือง

 

ผู้คุ้มกันในตำหนักของท่านจ้าวเมืองนั้นส่วนมากก็แทบจะทราบสถานะของเยี่ยจงดีอยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีการขัดขวางแต่อย่างใด เพียงแค่โค้งคำนับ จนในที่สุดก็เดินมาจนถึงด้านในของตำหนัก

 

หลังจากที่เข้าตำหนักผ่านประตูใหญ่แล้วนั้น ด้านหน้าจะเป็นลานกว้าง ในระหว่างที่เยี่ยจงเดินเข้าไปนั้น ก็ได้รู้สึกถึงเงาสีเขียวใกล้ๆ ที่เห็นเพียงแวบเดียว

 

หลังจากที่พบเงาร่างนี้ เยี่ยจงก็ได้ตะโกนดังๆว่า “ หลิวชิงม้ง”

 

ในตอนที่หลิวชิงม้งกำลังจะเดินอยู่นั้น นางรู้สึกว่าเสียงที่เรียกขานนางอยู่นั้น นางรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด ราวกับว่าพึ่งได้ยินเสียงนี้เมื่อไม่นานมานี้

 

“ เยี่ยจง “ หลิวชิงม้งได้หันกลับมามองไปยังเยี่ยจงด้วยใบหน้าที่สงบราวกับพื้นผิวของน้ำ หลิวชิงม้งนั้นก็อยู่ที่หมู่บ้านยุทธ์สายรุ้งฝึกยุทธ์เช่นเดียวกัน นางรู้อยู่แล้วว่าคนคนนี้คือขยะแห่งบ้านตระกูลเยี่ย แต่ว่าเหตุใดน้ำเสียงของเยี่ยจงนั้นช่างคลับคล้ายคนที่นางกำลังตามหาอยู่เมื่อหลายวันก่อน

 

“ ท่านพอจะสามารถช่วยข้าซักเล็กน้อยได้หรือไม่ “ เยี่ยจงนั้นมองไปยังหลิวชิงม้ง เขานั้นจำได้ตั้งแต่แรกแล้วว่าหลิวชิงม้งนั้นเป็นบุตรีของท่านจ้าวเมืองเจียงโจว ความจริงแล้วเยี่ยจงนั้นกำลังจะเข้าไปเข้าร่วมงานหมั้น แต่ทว่าตอนที่พบกับหลิวชิงม้งนั้น ทำให้ใจของเขานั้นแอบเต้นเล็กน้อย

 

หลิวชิงม้งลังเลอยู่ครู่หนึ่ง มองไปยังเยี่ยจงที่ไม่แยแสสนใจ จากนั้นก็พยักหน้าอยู่หลายครา จิตใต้สำนึกของนางบอกว่า เยี่ยจงที่อยู่ตรงหน้านางนั้นเป็นบุคคลเดียวกันกับที่นางนั้นกำลังตามหาอยู่

 

ผู้คุ้มกันของตระกูลซูที่อยู่ที่ด้านหลังนั้นเกิดอาการว้าวุ้นเล็กน้อย แต่ทว่าเยี่ยจงตามมาจนถึงที่แห่งนี้ก็นับว่าเพียงพอแล้ว ยังไงซะพวกเขาก็ไม่กล้าที่จะเข้าไปขัดขวางหลิวชิงม้งอยู่แล้ว

 

“ ต้องการให้ข้าช่วยอะไรหรือ ท่านลองบอกมา “ หลังจากที่สับสนอยู่ครู่ นางก็ได้กล่าวตอบ

 

” ข้าเพียงอยากให้ท่านช่วยข้าพกของจำพวกดาบกระบี่หอบหนึ่ง เข้างานเลี้ยงให้ข้าหน่อย ข้าจะรอเจ้านะ ” พอพูดจบเยี่ยจงก็อมยิ้มพร้อมกับพยักหน้าหลายครา หันหลังเดินจากไป

 

หลิวชิงม้งมองไปยังด้านหลังของเยี่ยจง ค่อยนึกขึ้นได้ วันนี้เป็นวันที่ห้าตระกูลใหญ่ บ้านตระกูลเยี่ยและบ้านตระกูลซูนั้นได้จัดพิธีหมั้นที่ตำหนักบ้านของตน เยี่ยจงนับจากวันนี้ คู่หมั้นของเขาจะไม่ใช่สาวงามอันดับหนึ่งซูเหวินชิงอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นหญิงสาวนาม ซูขุย

 

เขาต้องการกระบี่และดาบไปเพื่ออะไร หลิวชิงม้งรู้สึกงงเล็กน้อย หลังจากตั้งสติกลับมาได้ ก็ได้หันกายไปเข้าไปยังคลังแสงที่เหล่าทหารของท่านเจ้าเมืองเก็บอาวุธไว้ ไม่ว่าเยี่ยจงนั้นจะทำอะไร ดูเหมือนว่านางไม่มีทางที่จะปฎิเสธคำขอของเขาได้เลย

 

ระหว่างทางที่เดินเข้ามาตามที่ทหารยามของตำหนักแนะนำมาจนถึงส่วนกลางห้องโถงรับรองภายในตำหนัก ทั่วห้องเลี้ยงรับรองนั้นประดับไปด้วยโคมไฟขนาดใหญ่และผ้าสีแดงติดไว้ตลอดทาง ให้บรรยากาศของความเป็นสิริมงคล ที่กลางห้องโถงนั้น มีบุคคลหลายคนนั่งเรียงเป็นแถวตลอดสองข้างทาง ที่ด้านบนสุดนั้นมีที่นั่งสามที่แต่ที่ดูเป็นสง่าตั้งไว้อยู่ตรงกลาง ที่นั่งนี้จะเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกเสียจากจ้าวเมืองแห่งเมืองเจียงโจวหลิวฮานนั้นเอง

 

ในระหว่างที่เดินมาถึงประตูทางเข้าออกห้องโถงนั้น สีหน้าของเยี่ยจงนั้นยังคงสงบนิ่งไม่เปลี่ยนแปลง จากนั้นจึงเดินเข้าไปอย่างช้าๆ

 

เยี่ยจงสำรวจที่นั่งตลอดสองข้างทาง บริเวณด้านซ้ายมือของตน สมควรเป็นตระกูลซูหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ บริเวณด้านขวามือของตน สมควรเป็นตระกูลเยี่ยหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่ มีญาติพี่น้องของเยี่ยจงมาร่วมงานอยู่ไม่น้อย แต่ทว่าสายตาของพวกเขานั้น ราวกำลังดูถูก เหยียดหยามตนเอง มากกว่าคนในตระกูลซูอีก

 

หลังจากที่กวาดตาสำรวจญาติพี่น้องของตนเรียบร้อยแล้วนั้น เยี่ยจงก็ไม่ได้สังเกตใครเป็นพิเศษ แต่ทว่าสายตากลับมองหยุดอยู่ทางฝั่งบ้านตระกูลซูอย่างรวดเร็ว

 

บนที่นั่งที่ใกล้กับด้านบนสุดสามตัวทางด้านซ้าย มีหญิงสาวสองนางที่สวมชุดฉีเพาสีแดงสดนั่งคุกเข่าอยู่ ตรงนั้นคงจะเป็นซูเหวินชิงและซูขุย

 

หลังจากพบเยี่ยจงเดินเข้ามาแล้วนั้น สายตาของซูขุยก็ได้สาดประกายเย็นเยียบยิ้มออกมาอย่างเยือกเย็น ความจริงเยี่ยจงได้ถูกส่งตัวมาที่นี้ก็เพราะด้วยฝีมือของผู้คุ้มกันของนางนั้นเอง ทว่าในวันนี้นั้นไม่ว่าเขาจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม ก็มีแต่ต้องตายสถานเดียว

 

หลังจากที่เยี่ยจงสำรวจซูขุยเสร็จแล้ว ก็ยังไม่ได้หยุดโดยทันที แต่ยังคงมองสำรวจอย่างรวดเร็วไปยังบุคคลด้านข้างของซูขุยอีกคน บุคคลนั้นยังปรากฏเงาร่างอยู่ร่างหนึ่ง จากนั้น เยี่ยจงก็ได้ตระหนกไปชั่วขณะ พร้อมกับปรากฏสีหน้าที่ปั่นยากบนใบหน้า

 

ในตอนที่มีคนมองเห็นเยี่ยจงเดินเข้ามาที่ทางเข้าห้องโถงใหญ่อยู่นั้น ต่างก็มีสีหน้าแปลกประหลาดมองไปที่สาวงามอันดับหนึ่งซูเหวินชิง มีคนไม่น้อยกำลังหัวเราะอย่างเย็นชา ไม่ว่าจะเป็นคนของตระกูลเยี่ยของตน ยังมีคนของตระกูลซูอีก ความจริงนั้นมีคนที่ทราบความลับที่ซูเหวินชิงเคยเปิดเผยออกมาก่อนหน้านี้นั้นยังมีไม่มากนัก เลยทำให้มีคนหลายคนที่อิจฉา ริษยา ในตอนที่เยี่ยจงและซูเหวินชิงได้หมั้นหมายกัน แต่ว่าวันนี้ทุกคนก็ทราบว่าการหมั้นหมายในวันนี้หมายถึงอย่างไร ดังนั้นจึงดูว่าเยี่ยจงจะแสดงการละเล่นอะไรออกมา อีกทั้งยังจะมีแต่ทำให้พวกเขาหัวเราะไม่หยุดอีกด้วย

 

เยี่ยจงมองดูใบหน้าที่เหมือนดั่งภาพวาด ดั่งราวกับจะเดินออกมาจากภาพวาด ซูเหวินชิงไม่ได้ดูเหมือนสดใสมากมายนัก แต่ก็เปรียบดั่งดอกกล้วยไม้ที่ให้อารมณ์น่ารักน่าเอ็นดู  ต่อให้มองผ่านชุดฉีเพาแล้วก็ตาม ผมของนางนั้นมีสีดำขวับ มีผ้าคลุมบางๆสวมทับประบ่า เป็นที่น่าดูไร้ที่ติ

 

บนใบหน้าที่เรียวราวก็ไข่ห่านนั้นแสดงอารมณ์กังวลออกมา คิ้วของนางขมวดเล็กน้อย ภายในสายตานั้นให้ความรู้สึกแบบหนึ่งที่เหมือนความเศร้าโศกและการสูญเสียยากที่จะพรรณนาได้ นางนั้นเปรียบดั่งนางเซียนที่ลงมาจากสวรรค์ก็มิปาน ช่างไร้ที่ติ งามจนยากที่อาจเอื้อม

 

สายตาเช่นนี้ อารมณ์เช่นนี้ แม้แต่ตัวเองก็ยังดูแลรักษา

 

ร่างกายเยี่ยจงนั้นรู้สึกช็อคเล็กน้อย สูดลมหายใจคำโต ตั้งสติกลับมา เขาได้ทราบแล้วว่า บุคคลที่เขามองอยู่นั้น ให้ความรู้สึกเช่นเดียวกับที่เขาพบกับอาจารย์ปู้หยานก็เถอะ แต่ก็ไม่เหมือนกัน ในเวลาที่วอกแวกไร้สตินั้น ทุกครานางจะออกอาการชนิดหนึ่งราวกับความเศร้าโศกและการสูญเสียบางสิ่งบางอย่าง

 

ชั่วเวลาที่น่าเบื่อได้ผ่านพ้นไป เยี่ยจงได้เข้าใจบางอย่าง หญิงสาวตรงหน้าเขานั้นถ้ามิใช่อาจารย์ของตนเองละก็ ถ้าอย่างนั้นนางก็ไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับตน

 

สติของเยี่ยจงในตอนนี้ได้กลับเข้าสู่เงียบสงบ เขาความจริงแล้วไม่เคยรู้จักหญิงสาวที่นามระบือว่างามเป็นอันดับหนึ่งซูเหวินชิงนางนี้ ถึงแม้ว่าเขาอาจจะคาดเดาอยู่หลายส่วน แต่ว่าเขาก็ไม่ได้สนใจความคิดและความสนใจของตนเอง

 

“ เยี่ยจง เจ้ามาได้ก็ดี “ ผู้ที่นั่งทางฝั่งด้านซ้ายเป็นคนเอ่ยออกมา จนในที่สุดก็กลั้นหัวเราะไว้ไม่อยู่  “ วันนี้ท่านก็เป็นตัวเอกเหมือนกัน ถ้าไม่มาละก็ มันจะไม่เป็นการเสียมารยาทจากพวกเราตระกูลเยี่ยหรอกหรือ “

 

เยี่ยจงมองสำรวจเข้าไปในคนกลุ่มนั้น เขาจำได้ว่าคนผู้นี้คือลูกพี่ลูกน้องของบิดาตน มีนามว่า เยี่ยหวูเยีย เป็นคนหนึ่งที่มีอำนาจภายในตระกูล เป็นผู้ดำเนินการการจัดงานงานหมั้นของทั้งสองตระกูล

 

“ ท่านผู้นี้คือ ท่านจ้าวเมืองเมืองเจียงโจว หลิวฮาน เจ้าน่าจะเคยรู้จักมาแล้ว “  เยี่ยหวูเยียมองไปที่นั่งตรงกลางห้องโถงที่หลิวฮานนั่ง หลังจากที่มองสำรวจไม่นานนัก สายตากวาดไปยังด้านขวาต่อ จนไปถึงชายหนุ่มสวมชุดขาวผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ด้านของซูขุย ” ส่วนท่านนี้คือท่านพี่ซูเฮ้า  นับจากนี้อีกไม่นานก็จะได้เป็นครอบครัวเดียวกันแล้ ยังไม่รีบคารวะ ”

 

จากนั้นไม่นานนัก ซูเฮ้าก็หันหน้ามามองที่เยี่ยจง เขานั้นได้ยิ้มให้และจางหายไปอย่างรวดเร็ว อายุของเขาในตอนนี้ย่างเข้าวัยสี่สิบปีแล้ว แต่ทว่าหน้าตายังดูอ่อนวัยอยู่ อาจเป็นเพราะมีการดูแลอย่างดี จนดูเหมือนอยู่ในวัยสามสิบต้นๆ ร่างกายนั้นมิได้สูงใหญ่มากนัก รอยย่นบนใบหน้าก็มีไม่มาก ให้บรรยากาศที่ดูน่าหลงใหล

 

จากใบที่ดูไม่จริงใจของซูเฮ้าเมื่อสักครู่ จากนั้นเขาได้โยนหมวกใบสีแดงราวกับจับวางไว้ที่กลางห้องโถง จากนั้นก็กล่าวคำพูดเสียงดังพอที่จะทำให้ได้ยินทั่วทั้งห้อง

 

” จงคลานเข้าไปเก็บหมวกใบนั่น นับจากวันนี้เป็นต้นไปเจ้าจะได้เป็นเขยขวัญของตระกูลซูแล้ว(ที่แต่งเข้าตระกูล) จากนี้นอกเสียจากคนของตระกูลซู จะไม่มีใครกล้าที่จะรังแกเจ้าอีกแต่ไป แม้แต่คนของตระกูลเยี่ยก็ไม่มีข้อเว้น ”

 

เยี่ยจงนั้นมองไปมี่หมวกที่ทิ้งไว้กลางห้อง  จากนั้นก็มองสลับกันระหว่าง ซูขุยและซูเฮ้า สีหน้ายังคงสงบนิ่ง ดูเหมือนว่าบุคคลเหล่าจะไม่ยังไม่ทราบเรื่องที่เกิดขึ้นที่หอฝึกยุทธ์ที่หมู่บ้านยุทธ์สายรุ้ง ทว่าอย่างนี้ก็ดี  อย่างนี้ก็จะทำให้ทุกคนในห้องนี้เกิดอาการตกใจได้อย่างรุนแรง

 

” เยี่ยจง ”

 

ในเวลาที่สำคัญเช่นนี้ ประจวบเหมาะกับที่หลิวชิงม้งหอบกระบี่และดาบเข้ามาจำนวนหนึ่ง เดินเข้ามาที่ห้องโถงอย่าระมัดระวัง ให้อารมณ์ที่น่ารักออกมาจากกริยาท่าทาง หลังจากสังเกตุบรรยากาศในห้องโถงในนั้นนี้ ทำให้นางสงสัยว่าตอนนี้เกิดอะไรกันขึ้น

 

” ในที่สุดเจ้าก็มาแล้ว ” เยี่ยจงยิ้มที่มุมปากในตอนที่พูด จากนั้นก็หันหน้าไปทางหลิวชิงม้ง จากนั้นก็กล่าวต่อ ” ขอบใจมาก ตามข้ามาให้ดีละ ”

 

หลังจากพูดจบแล้ว เยี่ยจงก็ไม่ได้พูดสิ่งที่ไม่จำเป็นอันใดต่อ เพียงแต่ชักมือเข้าไปชักกระบี่ออกมาจากหลิวชิงม้ง จากนั้นจึงค่อยๆหันหน้าไปยังที่นั่งด้านบนสุดทั้งสาม

 

“เช่ง — — ”

 

หลังจากกระบี่ได้ชักออกจากฝักแล้วนั้น ประกายกระบี่ประหนึ่งพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า ประกายกระบี่ส่องแสงประดุจสีเลือด