ห้องโถงใหญ่ในเวลานี้ นอกจากสายตาของทั้งแปดคนที่มองไปยังฉากเบื้องหน้า ต่างก็แสดงสีหน้าแปลกใจ จนทำให้บรรยากาศท่ามกลางห้องโถงใหญ่ในเวลานี้เปลี่ยนเป็นดีขึ้นมาก

 

ม่อฝานหลงและผางเจี่ยที่มีพลังฝีมือสูงที่สุด มองไปยังฉากเบื้องหน้าด้วยสีหน้าปั้นยาก พวกเขาที่มีพลังฝีมืออยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่หกแล้ว จนท้ายที่สุดสิ่งของกลับต้องตกไปอยู่ในมือของเยี่ยจงที่มีพลังฝีมืออยู่แค่พลังขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่

 

และบุคคลอย่างซร่งเทียน ซ่งเซ้าเฉิงก็ขมวดคิ้วขึ้นมาพร้อมกัน นัยน์ตาทอประกายถึงความจำยอม พวกเขาเพื่อที่จะมาหาคัมภีร์ในตำนานอย่างยากลำบาก ยังไม่เท่ากับเยี่ยจงที่ลงมือในภายหลัง ถึงแม้ว่าจะเป็นศิษย์ลัทธิแห่งดวงดาวเช่นนี้ แต่ก็ทำให้ภายในใจของพวกเขาไม่พอใจ

 

และจำพวกเหรี่ยโหยวฮู่ หนิงหยี่ ซูเซวียน นัยน์ตาของแต่ละคนก็ทอประกายเย็นเยียบอย่างที่สุดออกมา พวกเขาและเยี่ยจงความจริงแล้วมิค่อยลงรอยกันซักเท่าไหร่ ตอนนี้ได้แต่เพียงมองดูคัมภีร์อารามก่อฟ้าในตำนานตกอยู่ในมือของเยี่ยจง นี้เป็นไปได้อย่างไรกัน ?

 

ดังนั้น ในสายที่ทอประกายที่มีหลากความรู้สึกที่จ้องมองมา มีทั้งความโลภและรังสีการฆ่าฟัน  เริ่มต้นที่จะกระจายออกไปทั่วทั้งห้องโถงใหญ่

 

เห็นได้ชัด เมื่อคัมภีร์ตกอยู่ในมือของเยี่ยจงแล้ว มีผู้คนไม่น้อยที่แผ่รังสีกดดันและฆ่าฟันเข้ามา ที่มิอาจอดทนเก็บเอาไว้ต่อไปได้

 

เยี่ยจงก็รับรู้ได้ด้วยตนเองว่าเหล่ายอดฝีมือได้ทอประกายความโลภออกมา ต่อมาเขาก็พลิกมือคราหนึ่งเพื่อเก็บม้วนคัมภีร์เอาไว้ และจากนั้นกระบี่คงหมิงก็ปรากฏอยู่ในกลางฝ่ามือ กระบี่บินขึ้นมา ระหว่างนั้นกระบี่ก็ราวกับกลืนแล้วคายประกายอย่างดุดัน

 

“ ซวบ “

 

ซูหยี่ตอนนี้ได้เหินมายังบริเวณด้านข้างของเยี่ยจง และจากนั้นก็พบว่าในมือนางกุมบางอย่างไว้อยู่ พลังเพลิงสีแดงสายหนึ่งของลูกปัดได้แผ่ปกคลุมบริเวณด้านหน้าของนางเอาไว้ เห็นได้ชัด สิ่งนี้ก็เป็นศาสตราวุธวิเศษที่มิได้ด้อยแต่อย่างไร

 

“ เยี่ยจง นำสิ่งของออกมาซะ นั้นเป็นสมบัติของคนตระกูลม่อเรา “

 

บรรยากาศภายในห้องโถงใหญ่มิอาจทำให้รวมตัวกันได้นาน หลังจากนั้น ม่อฝานหลงก็ตระโกนเสียงดังออกมาในทันทีเพื่อทำให้เพิ่มความชิงชังและกำลังใจอยู่หลายส่วน จากนั้นก็พบว่าร่างกายของเขาขยับคราหนึ่ง ปะทุออกมาโดยตรง การโจมตีที่โหดร้ายมุ่งประทับยังจุดที่เยี่ยจงกำลังจะไป

 

“ อย่างเจ้าหรือ ? “

 

เยี่ยจงพบว่าร่างกายของม่อฝานหลงได้รับบาดเจ็บหนักแต่ก็ยังไม่วายรนหาที่ตายเพื่อที่จะลงมือ นัยน์ตาที่มิอาจปกปิดรังสีการฆ่าฟันได้ปรากฏออกมา ก่อนหน้านี้เขาก็คิดไว้แล้วว่าจะเก็บกวาดม่อฝานหลงผู้นี้ให้ได้ เพียงแต่ว่าตลอดมานั้นยังหาโอกาสอันเหมาะสมไม่เจอ ในเมื่อตอนนี้เจ้าเด็กน้อยผู้นี้มาหาที่ตายแล้วละก็ แน่นอนว่าเยี่ยจงมิอาจที่จะเกรงอกเกรงใจต่อไปได้

 

“ ชึบ “

 

กระบี่คงหมิงทอประกายออกมา ทันใดนั้นก็ส่งเสียงหวืออกมา กระบี่เล่มนี้ราวกับดาวตกนอกเมฆา เคลื่อนประดุจกวาง ราวกับไม่มีการติดตามที่สามารถค้นหา เพียงแต่ว่าทันใดนั้นก็ปรากฏอยู่บริเวณด้านหน้าของม่อฝานหลง พุ่งกวาดไปยังบริเวณคอหอย

 

ม่อฝานหลงสีหน้าเปลี่ยนแปลงไปคราหนึ่งทันที ฝืนใจใช้พลังพลิกร่างท่ามกลางอากาศ และจากนั้นก็ใช้ออกด้วยฝ่ามืออย่างบ้าคลั่ง

 

“ ก๊ง “

 

เสียงดังจนสะเทือนไปทั้งพสุธา ดังออกมาจากห้องโถงใหญ่ จากนั้นผู้คนก็พบว่า ร่างกายของม่อฝานหลงได้ขยับคราหนึ่ง ทันใดนั้นก็กระอักเลือดสดๆออกมาหนึ่งคำ ร่างกายได้รับบาดเจ็บอย่างหนักจนทรุดลง

 

เพียงแค่กระบวนท่าเดียว ม่อฝานหลงก็ต้องพบกับความพ่ายแพ้ เห็นได้ชัดว่า เมื่อครู่ม่อฝานหลงได้รับบาดเจ็บไม่เบา ตอนนี้ยังจะต้องสูญเสียความสามารถในการแย่งชิงคัมภีร์ไปอีก

 

จากการพ่ายแพ้ของม่อฝานหลง ยอดฝีมือหลายคนที่จ้องมองมาในตอนนี้ก็ต้องเปลี่ยนเป็นแปลกใจขึ้นมา พลังฝีมือของเยี่ยจงนั้นไม่ถือว่าอ่อนหัดแต่อย่างไร แลกตอนนี้ผู้คนมากมายก็มองออกสิ่งที่อยู่ในมือของเขาเป็นศาสตราวุธในระดับใด ศาสตราวุธระดับสูง หากมีเจ้าสิ่งนี้อยู่ด้วย เยี่ยจงก็เหมือนเสือติดปีก ต่อให้ตอนนี้เขาจะร้อนรนไร้ที่เปรียบ แต่ภายในใจก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความกลัวชนิดหนึ่ง

 

“ เยี่ยจง เจ้าถือได้ว่ามิได้อ่อนแออย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าเจ้าไม่อาจที่จะนำคัมภีร์จากไปได้ ต่อให้ข้าไม่อาจที่จะรั่งเจ้าไว้ได้ เมื่อตอนที่เจ้าจากอารามก่อฟ้าไปแล้ว ตระกูลม่อของข้าก็จะออกจามล่าเจ้าขึ้นนภาจนไร้หนทางไร้ประตูต้อนรับ “ ม่อฝานหลงยื่นมือออกมาเช็ดไปที่บริเวณริมฝีปากที่มีเลือดไหลอยู่ กล่าวออกมาด้วยความไม่นำพา

 

“ เจ้าสมควรที่จะทราบ การคุกคามเช่นนี้มิได้มีอันใดดีเลย อีกทั้ง ตอนนี้หากสังหารเจ้าแล้วละก็ ตระกูลม่อของเจ้าก็จะไม่ทราบอันใดมิใช่หรือ ? “ เยี่ยจงหัวเราะแล้วหัวเราะอีก และจากนั้นก็ก้าวไปด้านหน้า การเคลื่อนไหวของเขาเร็วขึ้น ในทันทีที่ม่อฝานหลงยังไม่ทันที่จะมีปฏิกิริยากลับมาได้ทันท่วงที กระบี่คงหมิงในมือก็ได้แทงไปยังคอหอยของเขาแล้ว จนทำให้ม่อฝานหลงในตอนนี้ต้องแสดงใบหน้าเย็นชาและเจ็บปวดออกมาคราหนึ่ง

 

“ เยี่ยจง เจ้ากล้า “

 

“ เจ้าก็จะเข้าใจข้าเอง “

 

เยี่ยจงหัวเราะไปมา และแล้วทันทีที่ม่อฝานหลงเกิดอาการวอกแวก เยี่ยจงก็สะบัดที้ข้อมือคราหนึ่ง กระบี่ก็เข้าตัดบริเวณคอหอยของม่อฝานหลงจนได้ สีหน้าของม่อฝานหลงแสดงถึงการไม่เชื่อในสิ่งที่เห็น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ว่ายังไงก็คิดไม่ถึง ในเวลาเช่นนี้เยี่ยจงยังจะลงมือสังหารตนเองจริงๆ หรือว่าเขานั้นไม่มีแม้กระทั่งความกลัวเลยงั้นหรือ ?

 

เขายื่นมือลูบที่บริเวณคอหอยของตนเอง รู้สึกได้ถึงพลังภายในชีวิตของตนเองได้ล่องลอยออกไปอย่างรวดเร็ว บริเวณคอหอยของม่อฝานหลงส่งเสียงดังอู่อู่ ทันใดนั้นราวกับตนตายอย่างไม่ทราบสาเหตุด้วยสีหน้าแข็งทื่อล้มลงบนพื้น

 

การลงมือของเยี่ยจงถือได้ว่าเร็วมาก คาดว่าอยู่ในช่วงเวลาที่ยังไม่ทันจะจุดไฟ พลังขั้นก่อเกิดขั้นที่หกของม่อฝานหลงก็ยังถูกเขาฟันสังหาร ความเร็วและฝีมือเช่นนี้ ทำให้ที่เหลืออีกเจ็ดคนต้องสีหน้าเปลี่ยนไป และเหม่อมองเยี่ยจงในเวลานี้ การจ้องมองของคนเหล่านี้ต่างก็เต็มไปด้วยความตกตะลึง

 

เยี่ยจงผู้นี้ เห็นได้ชัดว่าไม่มีแม้แต่ความกลัว ผลลัพท์ของการสังหารจะเป็นเช่นไรกัน ?

 

“ พอแล้ว ไม่รู้ว่าต่อจากนี้หนึ่งในพวกเรายังมีใครอีก ที่ไม่ความคิดเห็นเป็นอื่นต่อข้าอีก ? “ เยี่ยจงกวาดสายตาจ้องมองไปอย่างดุดันคราหนึ่ง แล้วกล่าวด้วยเสียงดังกังวาล

 

ซ่งเซ้าเฉิง ซร่งเทียน ซูเซวียน หนิงหยี่ทั้งสี่คนซบตากันคราหนึ่ง จากนั้นก็หยักไหล่ในเวลาไล่เลี่ยกัน แลวก็ถอยหลังไปยังบริเวณทางด้านหลัง พลังฝีมือของพวกเขาเทียบไม่ได้กับม่อฝานหลง และตอนนี้แม้กระทั่งม่อฝานหลงก็ยังต้องก็กำจัดอย่างหมดจดภายในน้ำมือของเยี่ยจง พวกเขายังคงไม่คิดที่จะยุ่งกับเรื่องเช่นนี้อีกแล้ว ต่อให้จะอยากแย่งชิงก็ตาม แต่ก็มิใช่เรื่องราวที่ควรกระทำในตอนนี้

 

จากการครุ่นคิดคำนวณ ทั้งสี่คนก็บีบไปที่ป้ายก่อฟ้าของตนเองในเวลาเดียวกัน ก็พบว่าร่างกายของพวกเขาเกิดการสั่นคราหนึ่ง จากนั้นก็หายวาบออกไปจากห้องโถงใหญ่ เห็นได้ชัดว่าได้ถูกส่งตัวออกไปแล้ว

 

“ ทั้งสองท่านมีความคิดเห็นอย่างไรบ้าง ? “ เยี่ยจงจ้องมองไปยังภายในสนามที่เหลือยู่สองคน “ จะอยู่หรือจะไป เกรงว่าคงต้องให้ทั้งสองท่านตัดสินใจแล้ว ? “

 

เหรี่ยโหยวฮู่จ้องมองเยี่ยจงอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็มองไปที่ซูหยี่ที่กำลังทำหน้าเตือนอยู่ นัยน์ตาของเขาในตอนนี้ทอประกายด้วยแสงประหลาดชนิดหนึ่ง และจากนั้นก็หัวเราะออกมาฮาฮาแล้วกล่าว “ ช่างมันเถอะ ครั้งนี้เห็นแก่สถานะของแม่นางซูหยี่ แถมเรื่องก็ดำเนินมาถึงขั้นนี้แล้ว แต่ว่า ครั้งต่อไปจะไม่จบลงอย่างง่ายดายเช่นนี้แน่นอน “

 

เสียงหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา เหรี่ยโหยวฮู่ก็พลิกมือบีบไปที่ส่วนหัวของป้ายก่อฟ้า ร่างกายก็สั่นเทาคราหนึ่ง จากนั้นก็หายตัวไปจากภายในห้องโถงใหญ่

 

เยี่ยจงจ้องมองไปยังร่างสุดท้ายที่อยู่ด้านหลังของผางเจี่ย ใบหน้าที่ปกคลุมไปด้วยความกลัว เรื่องราวในตอนแรกที่ผางเจี่ยลงมือ เยี่ยจงยังมิได้ลืมเลือน

 

ผางเจี่ยในตอนนี้ได้กำมือขึ้น จากนั้นก็ยิ้มมองไปทางด้านเยี่ยจง นัยน์ตาทอประกายราวกับงูพิษก็มิปาน ให้ความรู้สึกที่หนาวเหน็บชนิดหนึ่ง

 

“ ดีละ คุณชายเยี่ย มอบคัมภีร์และผลจากต้นไม้ก่อนหน้านี้ออกมาอย่างว่าง่ายเถอะ ไม่เช่นนั้น ก็อย่าหาว่าข้าสังหารผู้คนแย่งชิงแหวนก็แล้วกัน “ ผางเจี่ยที่ไม่ได้รับผลกระทบและแรงกดดันซักนิดจากเยี่ยจงเลย จากนั้นเขาก็เพียงแต่จ้องมองไปที่เยี่ยจงเป็นเวลานาน กระทั่งยิ้มออกมาเสียงเบาๆแล้วกล่าวออกมา

 

เห็นได้ชัด ต่อให้พลังฝีมือของเยี่ยจงในตอนนี้ ก็มิอาจที่จะสร้างอาการตื่นตกใจให้แก่เขาได้แต่อย่างไร

 

เมื่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า เยี่ยจงและซูหยี่ทั้งสองก็ขมวดคิ้วพร้อมกันในทันที ในเวลาต่อมา เยี่ยจงก็ได้ค่อยๆถอนหายใจออกมาคำหนึ่ง รีดเค้นกำลังภายในกระบี่หกสุสานออกมาอย่างรวดเร็ว ผางเจี่ยผู้นี้นับตั้งแต่เริ่มให้ทำให้เยี่ยจงรู้สึกได้ถึงความอันตรายที่มากมายมหาศาล

 

“ ความจริง สายตาของเจ้านับว่าไม่เลว “ ผางเจี่ยจ้องมองไปที่ใบหน้าที่กำลังเตรียมความพร้อมอยู่ของเยี่ยจง ริมฝีปากที่ปรากฏรอยยิ้มอยู่ตอนนี้ได้หายไป “ ทว่า สายตาของเจ้าก็ได้แค่ไม่เลวเท่านั้น ไม่รู้ว่าควรถอยเมื่อไหร่ หรือต่อให้วันนี้เพสภัยกำลังมาเยือนตัวเจ้า นำสมบัติออกมาเถอะ หากว่าข้าอารมณ์ดีสักนิด จะไว้ชีวิตของเจ้าไว้ซักทางก็ไม่แน่ “

 

นัยน์ตาของเยี่ยจงหดตัวลง และซบตามองไปที่ซูหยี่คราหนึ่ง ทั้งสองคนต่างก็รับรู้ได้ถึงเลศนัยในคำพูดของผางเจี่ย รู้สึกราวกับมีบางสิ่งที่ไม่ถูกต้องอยู่ “

 

“ เจ้าคงไม่คิดจริงๆหรอกนะว่า เมื่อครู่ในตอนที่ลงมือแย่งชิงสมุดทองคำในตำนาน ข้าจะไม่ได้เตรียมความพร้อมอันใดไว้เลย ? “

 

ผางเจี่ยหัวเราะด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย และจากนั้นก็พบว่านัยน์ตาของเขาเปลี่ยนไป แล้วก็ค่อยๆยกมือขวาขึ้นมา ก็พบว่าตรงบริเวณข้อมือของเขาที่สวมไว้ด้วยสร้อยข้อมือหยกได้แปรเปลี่ยนเป็นเศษผง เมื่อได้เห็นความเสียหายของสร้อยข้อมือชิ้นนี้ สีหน้าของเยี่ยจงและซูหยี่ก็เปลี่ยนแปลงพร้อมกันในทันที

 

ไม่ได้รับบาดเจ็บ

 

ผางเจี่ยผู้นี้นับตั้งแต่เจอเยี่ยจงก็เริ่มที่จะแสดงละคร พอถึงตอนนี้ เขาไม่ได้รับบาดเจ็บแม้เพียงเล็กน้อย ตลอดมา ก็เป็นเพียงการแสดงละครตบตาเท่านั้น

 

และพอถึงตอนนี้ เจ้าเด็กน้อยผู้นี้ก็มิได้ปกปิดอีกต่อไป และพลังฝีมือของเขาที่อยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่หก ก็เพียงพอที่จะทำให้เยี่ยจงและซูหยี่ทั้งสองคนเกิดความน่ารำคาญไร้ที่เปรียบได้

 

อย่างอื่นก็จะกล่าวถึง พลังฝีมือส่วนหนึ่งที่เก็บเอาไว้ การเตรียมใจในการตบตาว่าได้รับบาดเจ็บ ก็เพียงพอที่จะกล่าวได้ว่าคนผู้นี้ยากที่จะต่อกรด้วย

 

“ ดูเหมือน ความเห็นของข้า พวกเจ้าคงไม่เตรียมที่จะรับเอาไว้สินะ ? “ สีหน้าที่มองมาเริ่มเปลี่ยนแปลง ในระหว่างที่ทั้งสองยังไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ ใบหน้าของผางเจี่ยปรากฏความลี้ลับออกมาสายหนึ่ง “ ในเมื่อมิได้เตรียมตัวที่จะส่งมอบสิ่งของออกมาแล้วละก็ เช่นนั้นข้าก็จะไปเอามาเอง “

 

หลังสิ้นเสียง ผางเจี่ยก็ก้าวออกมาหนึ่งก้าว กริชทมิฬส่องเป็นประกายปรากฏอยู่ในใจกลางมือในตอนนี้ กระทั่งตอนนี้บนร่างของเขาก็อัดแน่นไปด้วยรังสีการฆ่าฟันอันมหาศาล

 

การปกปิดอันยาวนานของผางเจี่ย ทั้งหมดก็เพื่อทำการในครานี้

 

“ ตายซะ “

 

ด้านบนของกริช  ประกายแสงสีดำก็กระจายตัวออกไป และจากนั้นก็เปลี่ยนเป็นประกายแสงสีดำสายหนึ่งส่องสว่างออกมา ราวกับใต้ท้องสมุทรที่นิ่งสงบก็มิปาน  ผางเจี่ยพลิกมือคราหนึ่ง จากนั้นก็โยนออกไป กริชเล่มนี้อย่างนี้สมควรจัดอยู่ศาสตราวุธระดับกลาง ตอนนี้เมื่อรวมกับพลังฝีมือขั้นก่อเกิดขั้นที่หกของผางเจี่ยแล้ว มีอยู่หลายส่วนที่อาจทำให้ผู้คนตกตะลึงได้

 

“ ลงมือด้วยกัน “

 

เมื่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า สีหน้าของซูหยี่ก็เปลี่ยนแปลงคราหนึ่ง และจากนั้นนางก็ยื่นมือไปแตะที่ลูกประคำเพลิงสีแดง ในขณะนี้ก็พบกับเพลิงสายหนึ่งที่โหมกระหน่ำเข้ามาอย่างรวดเร็ว และจากนั้นก็ใช้ร่างของตนเองและเยี่ยจงรั่งบริเวณทางด้านหลังเอาไว้

 

“ นั่งรถจับตั๊กแตน “ (ขี่ช้างจับตั๊กแตน)

 

ผางเจี่ยมองไปยังฉากเบื้องหน้า แล้วก็หัวเราะเสียงเย็นชาคำหนึ่ง และจากนั้นก็ขยับกริชคราหนึ่ง วินาทีนั้นก็รั้งดึงกลับมา จากนั้นก็โบกสะบัดเพลิงที่โหมเขามาอย่างดุดัน

 

“ เปรี้ยง “

 

พลังถูกปะทุขึ้นมา ทันใดนั้นก็ในกวาดออกมาเป็นทางอย่างบ้าคลั่ง

.

.

.

.