…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ในช่วงสองวันถังซิ่วได้คิดอย่างหนักเขาได้เปลี่ยนแปลงสูตรยาต่างๆเพื่อให้สารถสร้างได้บนโลกนี้
อย่างไรก็ตามการจะทำนั้นจำเป็นต้องมีกระบวนการผลิต,การตลาด,ผลิตภัณฑ์,การดำเนินงานของบริษัทและการบริหารจัดการด้านอื่นๆซึ่งทำให้เขางงงัน
ชาติที่ผ่านมาของเขามักจะเป็นหมาป่าตัวเดียว(ทำอะไรคนเดียวตลอด) เขามีคนรับใช้ของเขาที่คอยดูแลทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาต้องการจนถึงจุดที่เขาจัดการเฉพาะเรื่องของตัวเองและไม่สนใจอะไรอื่น
แต่ในชีวิตปัจจุบันของเขาไม่เพียงแต่เขามีเพื่อนน้อยมากเขายังไม่มีคนรับใช้,ทำให้เขารู้สึกไร้กำลังเหมือนกับมือและเท้าของเขาถูกมัด
ถึงแม้ว่าบั่นโฉว,ดิ่งซี่และคนอื่นๆจะพร้อมใช้งานแต่ถังซิ่วไม่คิดว่าคนเหล่านี้จะมีความสามารถในการช่วยเขาจัดการบริษัทของเขาเองได้
“ดูเหมือนว่าฉันต้องเริ่มตามล่าหาคนสำหรับบริษัทของฉันหรือคิดริเริ่มที่จะหาคนที่มีพรสวรรค์,อย่างไรก็ตามการได้รับความไว้วางใจจะทำให้เสียเวลามากเกินไป ”
ถังซิ่วถอนหายใจขณะที่เขาเขียนและเขียนภาพบนกระดาษต่อไป
ในสองวันนี้เขาเขียนและวาดเอกสารไว้เป็นกองในสมุดบันทึกเมื่อภายหลังเขาตระหนักว่าภาพวาดในสมุดโน้ตของตัวเองทำให้มันเปลืองกระดาษเขาก็ใช้เอกสารการสอบที่ว่างเปล่าบนโต๊ะทำงานเพื่อเขียนและระบายสีความคิดของเขา
“พี่ชาย,นายมีปัญหาอะไรงั้น? นายกังวลเกี่ยวกับการทดสอบเข้าวิทยาลัยหรอ ? ”
ขณะหยิบเอกสารที่ถังซิ่ววาด,หยวนชูหลิงดูเหมือนจะจมไปในความรู้สึกกระวนกระวายในขณะที่เขาถามด้วยความกังวลใจ
“ฉันกำลังวางแผนที่จะปล้นธนาคารนายต้องการที่จะเข้าร่วมกับฉันหรือไม่?”
ระลึกถึงความคิดที่เน่าเสียในการทำเงินเร็วๆที่หยวนชูหลิงแนะนำให้เขา,เขาตอบกลับ
เมื่อได้ยินเช่นนั้นแล้วหยวนชูหลิงก็เขินอายขณะที่เขายิ้มก่อนที่เขาจะตอบกลับทันทีว่า
“เอ่อถ้านายขาดเงินจริงๆและต้องการอย่างเร่งรีบนายก็สามารถหาเงินแบบนั้นได้นอกจากการขโมยและเล่นการพนันแล้วไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำธุรกิจอื่นๆเนื่องจากต้องใช้เงินเป็นจำนวนมากและมีประสบการณ์ ”
“ฉันรู้แล้วอย่างไรก็ตามฉันแค่เบื่อและวาดรูปเพื่อแก้ความเบื่อหน่ายนายไปยุ่งกับการเรียนนู้นไป! ”
ถังซิ่วผลักเขาและต่อมาก็วาดรูปเล่นในกระดาษข้อสอบต่อ
ทันใดนั้นถังซิ่วรู้สึกว่าแสงแทงตาของเขาทำให้เขาขุ่นเคืองทันที
ถ้าเป็นเช่นนั้นสำหรับคนทั่วไปการโดนแสงจากกระจกสะท้อนจะไม่ทำให้พวกเขาตกใจเพราะมันอยู่ในช่วงกลางวันแสกๆดวงอาทิตย์กำลังเผาไหม้ด้านนอกและบางคนอาจจะเล่นกระจกหรือเปลี่ยนหน้าต่างทำให้แสงแดดส่องลงสู่ร่างกายซึ่งจะถือว่าเป็นการเกิดขึ้นตามปกติสำหรับพวกเขา
อย่างไรก็ตามหลังจากที่ถังซิ่วได้บ่มเพาะขั้นต้นของชั้นแรกแล้วสัมผัสทั้งห้าของเขาและการรับรู้ก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆถึงจุดที่เขาเป็นเหมือนกล้องวิดีโอที่สามารถจับภาพได้อย่างสมบูรณ์ทุกฉากในรัศมี100เมตรภายในใจของเขา
ถังซิ่วรู้ว่าการแสงที่กระทบบนใบหน้าของเขาเป็นแสงสะท้อนของดวงอาทิตย์สิ่งที่ทำให้เขาขมวดคิ้วเป็นเพราะเขารู้สึกว่าการสะท้อนของแสงแดดนี้เป็นเรื่องแปลก
เขารู้สึกแปลกๆเพราะมันเกิดขึ้นเร็วเกินไปในตอนเช้าขณะที่เขายังนั่งอยู่ข้างหน้าต่างและดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงอยู่ในความเป็นจริงนอกเหนือจากนักเรียนที่นั่งอยู่ข้างหน้าต่างและมีนักเรียนเพียงไม่กี่คนที่อยู่นอกโรงเรียนก็เกือบจะเป็นไปไม่ได้ที่แสงแดดจะส่องลงมาที่นักเรียนห้องอื่นๆ
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกแปลกๆเพราะเขาตระหนักดีว่าแสงแดดที่สะท้อนออกมาจากทางตะวันตกในขณะที่ด้านตะวันตกของห้องเรียนนี้ไม่ได้ถูกส่องแสงโดยดวงอาทิตย์ในตอนนี้ไม่ต้องพูดถึงว่าอาคารเรียนของโรงเรียนนี้เป็นอาคารสูง10ชั้นและโดยทั่วๆไปจะบดบังอาคารที่อยู่อาศัยรอบๆมันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีแสงสะท้อนจากอาคารที่อยู่อาศัยด้านล่าง
ด้วยการเคลื่อนไหวสายตาอย่างรวดเร็วของเขาถังซิ่วสามารถหาทิศทางการสะท้อนแสงแดดได้
ถังซิ่วเห็นชายหนุ่มที่หล่อเหลากำลังถือกล้องส่องทางไกลและมองไปทางทิศทางของห้องเรียนเขากำลังจดจ่ออยู่กับเพื่อนร่วมโต๊ะของเขาหยวนชูหลิง
“แอบมอง? การเฝ้าระวัง? หรือบางทีมันอาจเป็นแค่เรื่องบังเอิญเท่านั้น? ”
ถังซิ่วมองอย่างระมัดระวังในขณะที่ประกายแห่งความเย็นยะเยือกปรากฏขึ้นในตาของเขา
ถังซิ่วถอนสายตาของเขาและยังคงวาดรูปบนกระดาษสอบแต่มุมของดวงตากวาดไปทางด้านขวาตลอดเวลาเพื่อดูการเคลื่อนไหวของคนเหล่านั้นที่อยู่ในอาคารชั้นบน
“ห่าอะไรวะ !!! ถังซิ่วมันคงไม่ได้เห็นฉันใช่ไหม ? ”
เกือบในเวลาเดียวกันที่ถังซิ่วพบคนร้ายนั้น,คนร้ายก็เห็นว่าถังซิ่วมองมาที่ดวงตาของเขานั้นจึงทำให้เขาร้องอุทานออกมา
“ไอเจ้าโง่! นายคิดมากเกินไป! เราอยู่ห่างจากอาคารดังกล่าวตั้ง1กม.นายสามารถดูห้องเรียนนั่นได้เนื่องจากใช้กล้องส่องทางไกลแต่ถังซิ่วไม่มีกล้องส่องทางไกลแล้วมันจะเอาวิธีไหนมาเห็นเราวะ ? ห๊ะ ? ”
ขณะที่ตุ๊ดนั้นตะโกน,ชายสวมแว่นตาไร้กรอบได้เยาะเย้ยเขาตุ๊ดนั่นคิดสักครู่และตระหนักว่าเขาคิดมากเกินไปเขารู้สึกโล่งใจและยังคงติดตามการกระทำและการเคลื่อนไหวของถังซิ่วอีกครั้ง
เมื่อตุ๊ดพบว่าถังซิ่วเพียงแค่มองไปที่ทิศทางของเขา,เขาก็ถอนสายตาของเขา,เขารู้สึกโล่งใจและรอยยิ้มที่ดูถูกตัวเองถูกเปิดเผยบนใบหน้าของเขา
“เวรกำ,นักเรียนสมัยนี้มันช่างขี้ลืมจริงๆผ่านไปเพียงวันเดียวตั้งแต่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นแต่พวกเขาลืมไปแล้ววันนี้และตั้งใจศึกษาราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ”
“แล้วทำไมนายไม่ย้ำเตือนพวกเขาอีกครั้งล่ะ?”
ชายสวมแว่นพูดออกมาก่อนที่เขาจะหยิบโทรศัพท์มือถือของเขาออกมาและโทรไปที่หมายเลขหนึ่ง
ระหว่างที่ชายคนนั้นโทรศัพท์อยู่ถังซิ่วได้ยืนขึ้นทันที,นั่นทำให้หยวนชูหลิงและเฉิงเยี่ยนหนานงงงวยเพราะว่าเขานั้นเดินออกจากห้องไปแล้ว
สำหรับทุกสิ่งทุกอย่างการสายไปอาจจะดีกว่าไม่ทำอะไรแต่มันจะดีกว่าถ้าป้องกันก่อนที่มันจะเกิดขึ้น
แสงไฟสว่างขึ้นในดวงตาของถังซิ่วขณะที่จิตใจของเขาหมุนวนและวิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่างอย่างพิถีพิถันเมื่อไม่นานมานี้มีเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่โรงเรียนเขาอาจจะไม่สนใจแต่ตอนนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากการที่จะผลักดันจิตวิญญาณและจิตใจของเขาเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุบัติเหตุเช่นเดียวกันขึ้น
เบื้องหลังชดความผิดปกติทั้งหมดนี้จะต้องมีปีศาจที่คอยชักใยไว้อย่างลับๆ
บางคนได้เฝ้าระวังและติดตามนักเรียนด้วยกล้องส่องทางไกลและคนที่เป็นเป้าหมายของการเฝ้าระวังก็คือหยวนชูหลิงผู้ซึ่งเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับนักเลงเมื่อวานนี้สิ่งนี้ทำให้เขามั่นใจได้ว่าคนเหล่านั้นเป็นคนที่ไม่ค่อยดี
เมื่อถังซิ่วพึ่งมาถึงออฟฟิศเขาก็เห็นว่าฮั่นชิงหวูกำลังงอตัวและทำความสะอาดบางสิ่งบางในขณะที่ก้นที่งอนและได้รูปของเธอได้ชี้ไปที่เขาในเวลาเหมาะสมเอวของเธอบางแต่ก็ดูนิ่มนวลและยืดหยุ่นมาก
“ครูฮั่นคุณยุ่งอยู่?”
ฮั่นชิงหวูหันกลับมาและรู้สึกประหลาดใจมากที่ได้เห็นถังซิ่วที่ออฟฟิศของเธอ,เธอแกล้งทำเป็นว่าโกรธและดุเขา
“เฮ้ทำไมนายไม่ได้เรียนหนังสืออยู่ในห้องทำไมนายถึงมาอยู่ที่นี่?”
ต้องใช้เวลานานในการเลือกคำพูดของเขา
“ครูฮั่นผมไม่รู้สึกดีผมต้องการไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล ”
“นายป่วย?”
ท่าทางของฮั่นชิงหวูเปลี่ยนไปทันทีที่เธอวางไม้กวาดลงขณะที่เธอวิ่งมาถึงหน้าถังซิ่วอย่างรวดเร็วเธอเอามือที่ขาวนุ่มของเธอแตะไปที่หน้าผากของเขา
1 วินาที!
10 วินาที!
ครึ่งนาทีต่อมา,การแสดงออกของฮั่นชิงหวูที่เต็มไปด้วยความห่วงใยและพูดเบาๆว่า
“อุณหภูมิร่างกายของนายปกติไม่ใช่ไข้แต่ร่างกายของนายอาจจะไปถูกบางอย่างเข้าไปกันเถอะ!ฉันจะพานายไปที่โรงพยาบาลเอง ”
“นี้…”
ถังซิ่วลังเลในตอนแรกก่อนที่เขาจะพยักหน้าและตกลงกันตอนแรกเขาอยากจะออกไปด้วยตัวเองและไปที่อาคารที่พักอาศัยซึ่งคนเหล่านั้นได้เฝ้าระวัง แต่เพื่อที่จะไม่เตือนพวกเขา,ออกนอกโรงเรียนพร้อมกับฮั่นชิงหวูจะทำให้เนียนขึ้นมากและจะไม่ทำให้เกิดความสงสัยต่อคนเหล่านั้น
ที่อาคารที่พักอาศัย
คนที่มีแว่นตาวางโทรศัพท์มือถือของเขาลงเขาเหลือบตาของเขาขึ้นมาเมื่อได้ยินคำเตือน”เฮ้”จากเพื่อนของเขา,ด้วยท่าทางไม่พอใจเขาตะโกนว่า
“หุบปากซะไอตุ๊ด!และไม่ต้องเอะอะมากกว่านี้!เรายังมีสิ่งสำคัญกว่าที่ควรทำอย่าทำตัวเป็นตุ๊ดขี้กลัวเรื่องเล็กๆถึงแม้ว่าภูเขาไทกำลังถล่มลงต่อหน้านาย,นายก็ห้ามตื่นตระหนก ”
ตุ๊ดตะโกนกลับด้วยความโกรธ
“ไอ้เวรถ้าแกยังด่าฉันอีกฉันจะจัดการแกแน่ตอนนี้รีบย้ายก้นแกมาที่นี่ไอเด็กสมองมีปัญหานั่นกำลังออกไปกับผู้หญิง,เธอเป็นครูประจำชั้นห้องสิบนั่น ”
ดวงตาของชายที่สวนแว่นไร้กรอบเป็นประกายขณะที่เขาคว้ากล้องส่องทางไกลและจ้องมองขณะที่ลูบคางอย่างนุ่มนวลเขาหัวเราะและพูดว่า
“มันคือถังซิ่วไม่ต้องเป็นห่วงอะไรสมองของเขาได้รับความเสียหายและจะไม่เป็นภัยคุกคามต่อเราแต่ผู้หญิงคนนี้ … แม่งเอ๋ยฉันได้ผ่านผู้หญิงมามากมายแต่ไม่เคยได้ต้ำใครที่ดูสวยขนาดนี้เลยหลังจากที่เราจัดการปัญหานี้เสร็จแล้วฉันจะลักพาตัวเธอมาและเล่นสนุกกับเธอสักสองสามวัน! ”
“เราไม่จำเป็นต้องดูพวกเขา?”
ตุ๊ดคนนั้นรู้สึกกระวนกระวายเขาไม่รู้ว่าเพราะอะไรแต่เขารู้ได้ลางๆว่าการตัดสินในของชายสวมแว่นนั้นผิดพลาดแม้ว่าพี่น้องของเขาจะไม่นับว่าถังซิ่วเป็นตัวอันตรายแต่เมื่อตอนที่ถังซิ่วลบตาเขาความรู้สึกกลตึงเกลียดได้ก่อตัวขึ้นในใจเขา
ชายสวมแว่นพ่นลมหายใจออกจากจมูกและพูดว่า
“ทำไมเราต้องไปนั่งดูไอเด็กปัญญาอ่อนนั่นมันไม่สมเหตุสมผลเลยคนที่เราควรจะเฝ้านั้นคือหยวนชูหลิง! ”
“โอเคๆก็ได้ๆ!”
ตุ๊ดนั้นกำจัดหมอกควันในหัวใจของเขา
ข้างนอกประตูของโรงเรียนถังซิ่วที่นั่งเก้าอี้ข้างคนขับและพูดอย่างกะทันหันว่า
“ครูฮั่นช่วยหยุดที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตที่มุมถนนหน่อยผมกระหายน้ำและต้องการซื้อน้ำ ”
ฮั่นชิงหวูกล่าวว่า
“ฉันจะซื้อให้นายเอง”
ถังซิ่วไม่ได้ปฏิเสธเธอเพราะเขายังวางแผนที่จะทำให้เธอซื้อมาให้หลังจากที่ฮั่นชิงหวูลงไปซื้อเขาจะมีโอกาสลอบเข้าไปในอาคารที่พักอาศัยซึ่งคนเหล่านั้นกำลังเฝ้าระวังอยู่
ไม่กี่นาทีต่อมาถังซิ่วหนีจากฮั่นชิงหวู,เขารีบวิ่งไปที่ย่านใกล้อาคารที่พักอาศัยเขาหยุดชั่วขณะหนึ่งและคอยสังเกตสภาพแวดล้อมรอบตัวเขาไม่พบอะไรผิดปกติโดยเฉพาะยึดความทรงจำของเขาก่อนหน้านี้เป็นหลักที่ว่าพวกคนร้ายอยู่ที่ชั้นไหนเขาก็รีบวิ่งไปที่ชั้นบนทันที
ด้วยพลังการรับรู้ของเขา,เขาเห็นอย่างชัดเจนว่าเป้าหมายของเขาอยู่ในอพาร์ตเมนต์ชั้น8มีผู้ชาย2คนผู้ชายคนหนึ่งเป็นคนที่เขาเห็นจากห้องเรียนเขากำลังถือกล้องส่องทางไกลอยู่ในขณะนี้ชายคนนั้นอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงเรียนของเขาขณะที่เขายังมองและดูสถานการณ์ของโรงเรียนในขณะที่คนอีกคนผิวของเขามืดทึบกับเฉดสีที่มืดมิดและดวงตาเย็นระยิบระยับขณะพิมพ์บนแป้นพิมพ์แล็ปท็อป
“ฮะ?”
คิ้วของถังซิ่วเหี่ยวย่นเป็นครั้งแรกแสงหนาวอันหนาวเหน็บแว๊บผ่านดวงตาเขา
เขาเห็นได้ชัดว่ามีปืนและมีดกองทัพสามแฉกสองอันวางไว้บนโต๊ะคอมพิวเตอร์
สักครู่ถังซิ่วคิดลึกๆเขามั่นใจ100%ว่าคนเหล่านี้เป็นอาชญากรถ้าพวกเขาเป็นตำรวจเฝ้าระวังที่เฝ้าติดตามโรงเรียนของเขาอย่างลับๆพวกเขาก็อาจต้องมีปืนด้วยแต่มันเป็นไปไม่ได้เลยที่พวกเขาจะมีมีดกองทัพนอกจากนี้ฆาตกรไว้เคราที่โรงเรียนนั้นก็ยังมีมีดกองทัพชนิดนี้
“ตั้งแต่ฉันได้ระบุตัวตนที่แท้จริงของพวกเขาได้ฉันควรรายงานต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจหรือไม่”
ความคิดแว๊บไปมาในหัวของเขาแต่เขารีบนำมันออกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญสูงสุดในดินแดนแห่งนิรันดร์แม้ว่าการบ่มเพาะของเขาตอนนี้มีเพียง1ในล้านเท่าของตัวเขาก่อนหน้านี้ก็ตามแต่เขาก็มั่นใจว่าเขาจะสามารถจัดการกับพวกอันธพาลไร้ค่าเหล่านี้ได้
เขาได้ตัดสินใจเรียบร้อยแล้ว
ดั่งเช่นเดียวกับลิงที่มีพลังแข็งแกร่งถังซิ่วได้เข้าไปใกล้ประตูห้องนั้นอย่างเงียบๆ