เมื่อร่างกายของเยี่ยจงได้เข้ามายังประตูก่อฟ้าในทันที เขาก็รู้สึกได้อย่างชัดเจนว่า บริเวณรอบข้างของเขานั้น ได้มีบรรยากาศที่แปลกประหลาดแผ่กระจายออกมาอย่างช้าๆ และทิวทัศน์ด้านหน้าสายตาหลังจากนั้น ก็ได้เริ่มที่จะเปลี่ยนราวกับอยู่ในความฝันขึ้นมา

 

ที่ปรากฏอยู่ด้านหน้าของเยี่ยจงนั้น ก็คือทางเดินโบราณสีดำสายหนึ่ง ทางเดินมีสองฝั่ง ราวกับมีตึกราบ้านช่องที่สร้างจากหินอย่างสวยงามตั้งเรียงราย เงียบสงบไร้เสียงใดๆ ใดความรู้สึกโบราณแผ่ปกคลุมออกมา

 

เป็นที่ชัดเจน ที่อยู่ในตอนนี้ก็คือส่วนด้านในของประตูก่อฟ้าแล้ว สถานที่ตามตำนาน

 

คนประเภทเยี่ยจงเมื่อมองไปยังฉากเบื้องนี้ ในตอนนี้ที่เข้ามาที่นี้มีทั้งหมดเก้าคน รวมทั้งเยี่ยจงด้วย นัยน์ตาของทุกๆคนต่างก็มีอยู่หลายส่วนที่ร้อนระอุเป็นไฟ แต่ให้เป็นเยี่ยจง ในตอนนี้สายตาก็เปลี่ยนเป็นหนักแน่นอยู่หลายส่วน สถานที่ในตำนานเช่นนี้ทั้งยังมีกลิ่นอายโบราณบ่งบอกได้เป็นอย่างดี ในครั้งนี้คงจะมีสิ่งของดีเยี่ยมเก็บรักษาไว้อยู่ไม่น้อยเลย

 

“ ทุกท่าน ตอนนี้เกรงว่าจะมิใช่เวลาที่พวกเราจะมาแย่งชิงกัน ค่อยพบกันเมื่อตอนบริเวณที่เล่าขานก็แล้วกัน “

 

ม่อฝานหลงหัวเราะฮาฮาคำหนึ่ง และจากนั้นก็หันร่างพุ่งออกไปในทันที มุ่งตรงเป็นเส้นทางเดียวออกมา

 

และเมื่อเหล่ายอดฝีมืออื่นที่พบเห็นฉากเบื้องหน้านี้ แต่ละคนสายตาก็ประกายขึ้น มิได้เหินตามขึ้นไปโดยเร็ว

 

นับตั้งแต่ดูสถานการณ์มาตั้งแต่ต้น สถานที่ที่เรียกว่าอารามก่อฟ้าแห่งนี้ถือได้ว่าใหญ่โตมโหฬาร นอกจากส่วนนอกของอารามก่อแล้ว คาดว่ายังมีสมบัติดีๆอยู่อีกไม่น้อย กล่าวได้ว่า เป็นมรดกที่ใครต่างก็ต้องการ แต่ว่าสมบัติอื่นๆเหล่านั้น ก็อย่าได้พลาดจะดีกว่า

 

“ ไป “

 

เวลาผ่านไปไม่นาน ซร่งเทียน ซ่งเซ้าเฉิงเป็นต้นต่างก็เลือกเส้นทางของตนเองไปคนละสายออกไป เห็นได้ชัดว่ามีการตัดสินใจของตนเองอยู่แล้ว

 

“ ศิษย์พี่ซูหยี่ ท่านใช่เตรียมที่จะเดินทางไปพร้อมกับข้าด้วยใช่หรือไม่ ? หรือว่าเตรียมตัวที่จะไปค้นหาสมบัติด้วยตนเอง “ เยี่ยจงมองไปยังยอดฝีมืออีกเจ็ดคนที่หายตัวไปในทันที ค่อยหันศีรษะมองไปทางซูหยี่แล้วกล่าวออกมา

 

“ ยังคงไปด้วยกันเถอะ เด็กน้อยเช่นเจ้าทราบเกี่ยวของสมบัติอยู่ไม่น้อย “ หลังจากซูหยี่กวาดสายตามองเยี่ยจงรอบหนึ่ง แต่ก็มิได้เหินจากไปพร้อมกับคนอื่นๆออกไป

 

หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็พยักหน้าไปมา เขาและซูหยี่ความจริงก็มีความสัมพันธ์ร่วมมือกันมีตั้งแต่เริ่มแรกที่เข้ามายังอารามก่อฟ้านี้ จนกระทั่งก่อนหน้านี้ถึงได้แยกจากกัน แต่ว่าในตอนนี้ได้กลับมาร่วมมือกันอีกครั้ง ความสัมพันธ์ร่วมมือกันยังไงซะก็ยังถือว่ายังคงมีอยู่

 

ต่อจากนี้ เยี่ยจงก็มิได้กล่าวมากความอันใดต่อ เพียงแต่โบกมือคราหนึ่ง ก็นำพาซูหยี่เหินบินออกไป

 

เยี่ยจงโยนก้อนหินที่ส่องสว่างอย่างสวยงามไปบริเวณทางด้านหลังของเขา ทางเข้าที่ถูกปิดซ่อนของห้องโถงหินนี้ในที่สุดก็ปรากฏออกมาสู่สายตา ตอนนี้ ที่ด้านในของห้องโถงมีทรัพย์สมบัติอยู่ไม่น้อยเลย แต่ว่า เยี่ยจงราวกับมองไปเห็นก็มิปาน เพียงพุ่งตรงเข้าไปทางด้านในที่เป็นบริเวณส่วนลึก

 

นับตั้งแต่เริ่มแรก ซูหยี่ยังคิดว่าการเคลื่อนไหวขอเยี่ยจงดูน่าสงสัย แต่ในช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปมานี้ ในช่วงสุดท้ายนางถึงได้เข้าใจว่า เยี่ยจงมีเป้าหมายอันใดกัน

 

เยี่ยจงถือได้ว่าเป็นคนที่ทำอะไรก็ต้องมีเป้าหมายในการทำงาน ในตอนนี้ได้สูดดมอากาศอันฉุนของอารามก่อฟ้า ความเร็วของเยี่ยจงสามารถเรียกได้ว่าเพิ่มขึ้นสูงจนตนเองยังต้องตกใจ กระทั่งเยี่ยจงค่อยทราบ สถานที่ในตำนานเช่นนี้ มีของดีอย่างอื่นอยู่อีกก็ไม่น้อย แต่ว่ากับสมบัติเซียนอย่างวิญญาณเหลวเวียนก่อฟ้า ถึงแม้จะอยู่ในดินแดนซานเชียนเซินเจี่ยก็นับได้ว่าพบได้ยากน้อยมาก อย่าว่าแต่ของสิ่งนี้มาอยู่ในดินแดงแห่งนี้ ดังนั้น ไม่ว่าจะกล่าวอย่างไร แน่นอนว่าเยี่ยจงจะไม่ทำเหมือนคนโง่ที่ได้งาแล้วทิ้งแตงโมไปเช่นนั้นหรอก

 

“ ต๊ง “

 

เงาร่างทั้งสองพุ่งผ่านไปตามทางที่เล่าลือไปได้ประมาณครึ่งชั่วยามหลังจากนั้น เยี่ยจงที่คอยระวังเส้นทางที่อยู่ด้านหน้า ร่างกายก็เกิดสั่นไหวขึ้นมาในทันที จากนั้นก็มาถึงบริเวณด้านหน้าของห้องโถงหินโบราณแห่งหนึ่ง

 

ด้านบนของห้องโถงศิลานี้เต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ เมื่อมีผู้ใดมาพบเห็น จะต้องไม่สนใจสถานที่เช่นนี้อย่างแน่นอน แต่ว่าร่างกายของเยี่ยจงก็ได้ค่อยๆเข้าไปบริเวณส่วนใน อีกทั้งยัง นัยน์ตาของเขาก็ทอประกายรสชาติร้อนแรงขึ้นมา

 

กลิ่นอายของวิญญาณเหลวก่อฟ้าเข้มข้นอย่างที่สุด ได้ลอยโชยออกมาจากท่ามกลางห้องโถงศิลาออกมา

 

“ ที่แห่งนี้คือ …… “

 

ซูหยี่มองไปที่ห้องโถงเก่าโบราณเบื้องหน้าสายตาด้วยความสงสัย ไม่ว่าจะอย่างไรนางก็ไม่เข้าใจ ว่าเพราะเหตุใดเยี่ยจงถึงปล่อยวางสมบัติมากมายเหล่านั้น แต่กลับมุ่งหน้ามาทางด้านนี้มาแทน

 

“ วิญญาณเหลวเวียนก่อฟ้าในที่แห่งนี้นั้นเป็นของข้า ส่วนของชิ้นอื่นนั้นเจ้าอยากได้ก็เอาไป จากนั้นพวกเราค่อยพบกันตอนแย่งชิงคัมภีร์ “ หลังจากกล่าวอธิบายเพียงประโยคเดียว เยี่ยจงก็มิได้ลังเลต่อไปแต่อย่างไร เพียงแต่สะบัดมือขวาคราหนึ่ง เพลงกระบี่ตราประทับอาชูร่าก็ปรากฏอยู่ในกลางฝ่ามือ จากนั้นเยี่ยจงก็ฟาดฝ่ามือกระทบไปที่ประตูที่กำลังส่องสว่างอยู่

 

“ ตูม “

 

หนึ่งฝ่ามือถูกใช้ประทับออกไป เยี่ยยจงสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด ทั่วทั้งสรรพร่างกายเป็นดั่งราวเกราะในทันที และจ้องมองไปทั่วทั้งสี่ทิศ นัยน์ตาของเขาทอประกายออกมา

 

“ โอสถวิเศษในห้องโถงงั้นหรือ ? “ ซูหยี่มองไปทั่วทั้งสี่ทิศ จากนั้นก็พกพาความสงสัยเอ่ยปากถาม

 

ตอนนี้ ในท่ามกลางห้องศิลานี้ ทุกที่ได้ถูกจัดวางไว้ด้วยเหล่าดอกไม้ใบหญ้ากลุ่มหนึ่ง ด้านบนของหญ้าเหล่านี้ได้ส่งกลิ่นหอมของโอสถออกมาอย่างรุนแรง เป็นที่ชัดเจนว่าเป็นโอสถวิเศษที่ไม่เลวเลย

 

เพียงแต่ว่า เยี่ยจงก็ยังมิได้ให้ความสนใจต่อโอสถวิเศษเหล่านี้ เพียงแต่เหินมองกวาดเข้าไปเรื่อยๆ ทันใดนั้นต่อมา เขาก็จ้องมองไปยังบริเวณส่วนลึกที่สุด

 

ก็พบกับบริเวณส่วนมุมของห้องศิลานี้ ตั้งไว้ด้วยต้นไม้ทองคำต้นหนึ่งที่ไม่เล็กและไม่ใหญ่จนเกินไป บนต้นไม้ทองคำงอกเงยไว้ด้วยผลไม้ที่มีลักษณะคล้ายหยดน้ำงอกออมา บนตัวหยดน้ำ สามารถพบเห็นการไหลเวียนของพลังวิญญาณได้ และมีเพียงแค่สามหยดเท่านั้น

 

“ วิญญาณเหลวก่อฟ้าสามหยด “

 

สายตาเยี่ยจงทอประกายร้อนแรงอย่างแรงกล้าออกมา เพียงแค่วิญญาณเหลวก่อฟ้าหยดเดียว ก็เพียงพอที่จะสามารถทำให้พุ่งขึ้นสู่ระดับขั้นก่อเกิดขั้นที่แปดได้ได้แล้ว แต่นี้มีวิญญาณเหลวก่อฟ้าถึงสามหยด คุณค่าในการใช้นั้นถือได้ว่าไม่ใช่น้อยๆเลยก็ได้ กล่าวได้ว่าเหมือนกับว่าตนเองสามารถเข้าสู่พลังขั้นก่อเกิดขั้นที่เก้า(ปู้ซิ่วโย้วเซิน)แล้วก็เป็นได้

 

ถึงแม้ว่า ถึงจะเป็นแค่เพียงความเป็นไปได้ แต่ว่าความเป็นไปได้ชนิดนี้นั้น ก็ถึงว่าเพียงพอที่จะทำให้ผู้คนเลือดลมพลุ่งพล่านได้

 

“ ของชิ้นนี้เป็นของข้า ส่วนของอย่างอื่นทั้งหมดยกให้ท่าน “

 

ตอนนี้ ซูหยี่จ้องมองไปทางด้านบนของต้นไม้ทองคำ แม้ว่านางจะนึกไม่ออกว่านี้คือสิ่งใด แต่ว่าการเคลื่อนไหวอันแปลกประหลาดเช่นนั้น บวกกับหากว่าซูหยี่ตรวจสอบอย่างดีแล้ว ทว่าเยี่ยจงก็เอ่ยปากออกมาอย่างรวดเร็ว

 

ซูหยี่เงียบงันอยู่ชั่วครู่ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็ได้ค่อยๆพยักหน้าตอบรับ นางทราบว่าของสิ่งนี้อย่างน้อยไม่ธรรมดา น่าจะเป็นสิ่งที่เยี่ยจงกล่าวเอาไว้วิญญาณเหลวก่อฟ้านั้นเอง ทว่าถึงแม้ตนเองจะไม่ทราบถึงวิชาใช้งานอย่างไรก็ตาม หรือต่อให้ทราบก็สู้การติดหนี้ไมตรีมิได้อยู่ดี

 

พบว่าซูหยี่หยักหน้าตอบรับ เยี่ยจงก็ไม่เกรงใจต่อไป และได้ค่อยๆเข้าใกล้อย่างกะชันชิดเข้าไปอย่างระมัดระวัง และจากนั้นก็เลื่อนมือของเขา ตรงเข้าไปยังด้านบนของต้นไม้ทองเข้าไปเด็ดวิญญาณเหลวก่อฟ้าลงมา

 

“ ตูม “

 

ทว่า ในขณะที่เยี่ยจงพึ่งจะเด็ดวิญญาณเหลวก่อฟ้าลงมาได้ วินาทีนั้น ที่ด้านข้างของมัน ทันใดนั้นก็มีพลังแรงลมก่อตัวขึ้นมาอย่างรุนแรงจนถึงขีดสุดเข้ามา พุ่งเข้าหาบริเวณที่เยี่ยจงอยู่อย่างโกรธเกรี้ยว

 

“ ระวัง “

 

ซูหยี่ที่อยู่ทางด้านหลังรับรู้ได้ก่อน เพียงแต่ว่าน่าในตอนนี้ให้ความช่วยเหลือไม่ทัน จึงได้แต่เพียงตะโกนออกไป

 

“ เปรี้ยง “

 

เมื่อจับวิญญาณเหลวก่อฟ้าไว้ในมือได้แล้วเยี่ยจงก็พลิกมืออยู่คราหนึ่ง ฝ่ามือในตอนนี้ก็ถูกพลิกใช้ออกไปอย่างสับสนวุ่นวาย และจากนั้นร่างของเขาก็ลอยถอยไปในทันที

 

“ ผิ้ง ผิ้ง ผิ้ง “

 

หลังจากที่เยี่ยจงถอยออกแล้ว ก็พบว่างูยาวหลายเมตรตัวนั้นได้โผล่ออกมาจากกลุ่มหญ้าดอกไม้ออกมา ดวงตาของมันจ้องมองด้วยสายตาที่ทอประกายสีฟ้าคราม ส่วนเกล็ดที่อยู่ตามลำตัวนั้นเป็นเหมือนราวกับต้นไม้ก็มิปาน หนาหนาเหนียวเหนียว

 

เยี่ยจงขมวดคิ้วมองไปที่สายตาของงูยาวตัวนี้ ก็มองก็พลังฝีมือที่แท้จริงของเจ้างูตัวนี้ออกมาได้ในทันที

 

งูเขียวกลืนโอสถ มีพลังฝีมือคล้ายกับคนที่ฝึกยุทธ์อยู่ขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่

 

ในตอนแรกก่อนที่เขาจะพบกับวิญญาณเหลวก่อฟ้า ก็รู้สึกได้ว่ามีความรีบร้อนเกินไปอยู่หลายส่วน จนลืมว่าสิ่งนี้คือสมบัติแห่งฟ้าดิน แน่นอนว่าต้องมีปีศาจวิญญาณคอยปกป้อง ยิ่งไม่ต้องพูดถึง วิญญาณเหลวก่อฟ้านี้ยิ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าทองคำนับหมื่นเท่า

 

“ ตอนนี้ทำอย่างไรดี ? “ ซูหยี่มองดูการปรากฏตัวของงูเขียวกลืนโอสถ และก็ได้ขมวดคิ้ว แม้ว่าทั้งสองคนจะร่วมมือกันจัดการกับสัตว์ปีศาจตนนี้จะไม่ถือว่ายากเย็นนัก แต่ก็เพราะว่ากลัวการลงมือ จะทำให้เหล่าโอสถเสียหายได้

 

“ ให้ข้าลงมือเถอะ “

 

หลังจากที่เยี่ยจงจดจ้องไปที่งูเขียวกลืนโอสถ ก็พลิกมือคราหนึ่ง จากนั้นก็เก็บวิญญาณเหลวก่อฟ้าไปในทันที จากนั้นก็กระตุกมืออยู่คราหนึ่ง กระบี่คงหมิงก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือ

 

“ ซืบ ซืบ “

 

งูเขียวกลืนโอสถความจริงแล้วได้ค่อยๆเคลื่อนไหวร่างกายใกล้เข้ามา ในตอนที่เยี่ยจงถือกระบี่คงหมิงเอาไว้ในมือ มันก็รับรู้และรู้สึกได้ถึงความน่ากลัวจากสัญชาตญาณ

 

“ ชิร์ “

 

ทว่าในขณะต่อมา มันก็อดทนไว้ไม่ได้ที่ต้องโกรธเพราะถูกนำวิญญาณเหลวก่อฟ้าไป หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายก็เต็มไปด้วยรังสีการฆ่าฟันในทันที

 

“ ซวบ “

 

นัยน์ตาของเยี่ยจงทอประกาย กระบี่คงหมิงในมือสาดประกายเข้าไป ในขณะต่อมา งูเขียวกลืนโอสถก็ถูกแบ่งเป็นสองส่วน ร่วงหล่นลงสู่บนพื้นดิน

 

เมื่อมองไปยังฉากเบื้องหน้า ซูหยี่ก็ได้แต่หยักไหล่ไปมา จากแล้วก็ส่ายหัวแล้วยิ้มออกมา ไม่เจอกันเพียงสั้นๆไม่กี่วัน พลังฝีมือของเยี่ยจงก็น่าหวาดเกรงยิ่งขึ้นไปอีก แม้แต่นางที่ตอนนี้ยังคิดว่า แม้จะมีอยู่หลายส่วนบางที่เสียเปรียบ แต่ว่าถ้าลงมือกันจริงแล้วละก็ มีสักแปดส่วนแล้วที่ตนมิใช่คู่ต่อสู้เยี่ยจง

 

“ ดีละ เก็บของเอาไว้ให้ดี “ เยี่ยจงเก็บกระบี่คงหมิง จากนั้นแล้วกล่าวออกมาเสียงดุดัน

 

“ ทราบแล้ว ศิษย์น้องเล็ก “ ซูหยี่ยิ้มออกมาอย่างงดงาม หลังจากมองเยี่ยจงไปแล้ว นางก็โบกมือคราหนึ่ง เตรียมตัวที่จะเก็บเหล่าโอสถวิเศษนับไม่ถ้วนที่กระจัดกระจายเกลื่อนกลานเอาไว้ในแหวนจักรวาล

 

“ วืด “

 

ทว่า ต่อให้ร่างกายของซูหยี่ขยับเคลื่อนไหวในทันที ทันใดนั้น ก็มีเสียงความคมไร้ที่เปรียบตัดผ่านอากาศดังมาจากทางด้านในห้องโถงหิน และด้านหลังก็มีเงาร่างเนื้อเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วจนมิอาจจำแนกได้ชัดเจน ขณะที่ซูหยี่กับอยู่ในท่าทางตื่นตกใจอยู่นั้นเอง

 

“ ชี่ “

 

ร่างกายของเยี่ยจงได้หายไปในทันที มือขวาของเขาถูกใช้ออก แสงสะท้อนส่องสว่างไร้ที่เปรียบถูกสะท้อนออกมา

 

ติง ติง ติง

 

ราวกับเสียงกระทบของทองและเงินดังขึ้นมา และจากนั้นก็พบกับเข็มเงินดำทมิฬเล่มหนึ่งตกอยู่บริเวณบนพื้น เข็มเล่มนั้นตกอยู่บนพื้นด้านหน้า สามารถทำให้พื้นที่ทำจากศิลานั้นยังต้องกร่อน เห็นได้ชัดว่า เข็มเล่มนี้นั้นได้เคลือบแฝงไว้ด้วยยาพิษรุนแรงชนิดหนึ่ง

 

การลงมืออย่างอำมหิตเช่นนี้ ทำให้สีหน้าของเยี่ยจงเปลี่ยนไป และจากนั้นเขาก็เงยหน้า จ้องมองอย่างเยียบเย็นมองไปบริเวณทางเข้าด้านหลัง

 

ตอนนี้ บนเส้นทางของทางเข้า ได้มีเงาร่างสวมชุดดำทั่วกายค่อยๆเดินเข้ามา พบเห็นว่าเยี่ยจงกวาดสายมองไปในทันที เป็นชายหนุ่มใบหน้าขาวซีดผู้หนึ่ง ทันใดนั้นก็ยิ้มกว้างขึ้นกล่าว “ เหอะ คิดไม่ถึงว่าจะมีคนที่เคลื่อนไหว มาถึงได้เร็วกว่าข้าได้อีก…… “

.

.

.

.