เพียงไม่นานเวลาก็ได้ผ่านไปแล้วสองปี เจ้าหนูน้อยในตอนนี้มีอายุสามปีกับอีกครึ่งขวบและมีชื่อเป็นของตัวเองแล้ว เจ้าหนูน้อยมีชื่อว่า “ฉีเฮ่า”

เมื่อตอนอายุขวบครึ่ง เจ้าหนูได้แต่วิ่งไล่ตามหลังผู้อื่น แต่ตอนนี้เจ้าหนูมีอายุแค่สามขวบครึ่งแต่กลับมีร่างกายที่น่าประหลาดใจ เขาสามารถวิ่งไปรอบๆ พร้อมกับเด็กโต อื่นๆ

ในเวลานี้ ลานหน้าหมู่บ้านศิลา ที่ว่างเปล่ากลับเพิ่มขึ้นและเต็มไปด้วยชาวบ้านที่ชุมนุมกันเต็มไปหมด จนดูเหมือนกับว่าแม้นแต่น้ำก้ไม่สามารถไหลผ่าไปได้ และทุกคนในหมู่บ้านกำลังเฝ้ามอง กลุ่มเด็กๆที่กำลังฝึกฝนวิทยายุทธ์กันอยู่

กลุ่มเด็กๆที่ตอนนี้มีกล้ามเนื้อที่แข็งแกร่ง กับร่างกายท่อนบนที่เปลือยเปล่า พร้อมกับเหงื่อที่กระเซ็นไปทั่วทุกทางเพราะฝึกฝนอย่างหนัก บางคนในกลุ่มสามารถยกคทาที่น้ำหนักมากกว่าร้อย จินได้อย่างไม่คาดคิด พวกเขาเหวี่ยงไปรอบๆ จนเกิดเสียง “วู้บ วู้บ”

ช่วงอายุของพวกเด็กๆอยู่ที่ประมาณ 6หรือ7 ปีจนถึง12หรือ13ปี และพวกเขาดูดุดันเหมือนดั่งสัตว์ร้ายตัวน้อย พวกเขาแข็งแกร่งมากและมีร่างกายที่เข้มแข็งและน่าอัศจรรย์

“มาดูนี่เร็ว!! นั่นลูกข้าเองเห็นไหม เขาพึ่งจะหกขวบเองนะ แต่กลับยกหินปูนที่หนักว่าร้อยจิน ใช้เป็นโล่ได้ จะมีใครเทียบกับเขาได้ ในอนาคต เขาจะต้องได้เป็นนักรบที่น่าเหลือเชื่อแห่งหุบเขามืดอย่างแน่นอน”

“ลูกของข้าเป็นจอมพลัง พวกเจ้าเห็นธนูที่ทำมาจากเส้นเอ็นของแรดเพลิง เขาสามารถรั้งสายธนูที่มีแค่เฉพาะผู้ใหญ่ที่สามารถรั้งได้ ในอนาคต เขาจะต้องสามารถสังหารสัตว์ร้ายด้วยธนูเพียงดอกเดียวได้แน่”

อย่างไรก็ตามชาวบ้านที่นี่เป็นเพียงแค่มนุษย์ธรรมดา เมื่อพวกเขาจับกลุ่มคุยกัน ย่อมต้องมีการโอ้อวดความแข็งแกร่งของลูกหลานของพวกตน หลังจากข่มกันไปมา กลุ่มของบุรุษก็ควงหมัดเป็นคลื่นออกมาอย่างต่อเนื่องด้วยรอยยิ้มที่มีความสุข

ส่วนกลุ่มของสตรีนั้นแทบจะซ่อนรอยยิ้มไว้ไม่มิด เพราะกลุ่มเด็กๆนั้นค่อนข้างโดดเด่น พวกเขาทั้งหมดเสมือนมีพลังของมังกรมีความดุดันของพยัคฆ์ และแข็งแกร่งอย่างไร้ขีดจำกัด ยุคสมัยอันเจิดจรัสของหมู่บ้านศิลาใกล้เข้ามาแล้ว

“มอออ” เสียงวัวตัวใหญ่ดังลั่นไปทั้งหมู่บ้าน

“มาดูนี่เร็วเข้า!! เมิ่งเอ๋อแค่แปดขวบแท้ๆ แต่กลับพลิกวัวตัวใหญ่ได้อย่างง่ายดาย น่าประทับใจเสียจริง”

“ความพยายามของพวกเราไม่สูยเปล่าจริงๆ เหล่าผู้อาวุโสให้พวกเด็กดื่มเลือดสัตว์ร้ายทุกๆสามวัน และยังให้ยาที่แสนล้ำค่า ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อและกระดูก ดูเหมือนยาพวกนั้นจะทำหน้าที่ได้ดีจริง”

“พวกเด็กแข็งแกร่งขึ้นมาก ในอนาคตจะต้องสามารถเข้าร่วมการเข่นฆ่าสัตว์ร้ายสายพันธุ์ที่ทรงพลังในหุบเขามืดได้อย่างแน่นอน”

“ตูมม” เหมือนเสียงของกระทบพื้นมาจากการกระทำของเด็กผอมแห้งคนหนึ่งที่โยนแท่นตีเหล็กไปไกลเป็นสิบเมตร

“โว้ววว ดูเด็กแปดขวบนั่นสิ ทั้งที่ไป่หัวดูผอมแห้งแรงน้อยแบบนั้น แต่กลับแข็งแกร่งอย่างไม่น่าเชื่อ ไม่ควรตัดสินคนจากรูปลักษณ์จริงๆ”

“ย่อมแน่นอนอยู่แล้ว สังเกตเด็กที่อยู่ข้างๆเขาสิ ข้าตั้งชื่อให้เขาว่า ฉีต่งหัว ในอนาคตเขาจะต้องได้ออกจากหุบแห่งนี้ และได้รับความรุ่งโรจน์จากการประลองต่อหน้าพระราชาเป็นแน่”

ชายคนหนึ่งโอ้อวดออกมาในกลุ่ม ทุกคนต่างก็คิดว่าบุตรของจะต้องโดดเด่นอย่างแน่นอน

“ครืนนนนน”

พื้นดินสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง ควันและฝุ่นต่างฟุ้งกระจายไปทั่ว สายทุกคู่เพ่งไปที่จุดๆหนึ่งด้วยความแปลกใจ มีคนกำลังพยายามยกหม้อน้ำขนาดมหึมา

ณ ที่ว่างใจกลางลานหน้าหมู่บ้านเป็นที่ตั้งของหม้อโบราณที่มีน้ำหนักมากกว่าพันจิน บนหม้อโบราณถูกสลักเป็นลายสัตว์บกและสัตว์ปีกมามากมาย เอ้อล้นไปด้วยความรู้สึกเก่าแก่มีมนขลังที่พื้นผิวของหม้อมีความหนามากแผ่บรรยากาศที่หนักอึ้งออกมา ขาของหม้อที่กำลังถูกยกขึ้นนั้นมีรูปสลักของหงส์เพลิง

 

“ฉีเจี้ยวน้อย เจ้าใช้กำลังทั้งหมดกลับยกได้เหนือพื้นเล็กน้อย เพราะตองนี้เจ้ายังเยาว์เกินไป อีกสี่ปีเจ้าจะต้องทำได้ดีกว่านี้แน่” ชายแก่คนหนึ่งเอ่ยออกมาอย่างอารมณ์ดี

 

นับว่าเป็นเรื่องยากเกินไปที่จะยกหม้อทองแดงน้ำหนักหนึ่งพันจิน หากพยายามมากเกินไปอาจมีอาการบาดเจ็บได้ เพราะฉะนั้นไม่มีเด็กคนไหนยกขึ้นได้แน่นอนและพวกเขายังถูกห้ามไม่ให้เข้าใกล้อีกด้วย

“ให้ข้าลองเถอะ”

มีเด็กหนุ่มท่าทางแข็งแรงเดินปรากฏออกมา อายุประมาณ12หรือ13ปี ใช้มือหนึ่งจับที่หูหม้อส่วนอีกมือจับที่ขาหม้อ เด็กหนุ่มใช้แรงทั้งหมดยกขึ้นในคราวเดียว หม้อยักษ์ขยับขึ้นเล็กน้อยก่อนจะตกลงมาที่พื้นก่อให้เกิดฝุ่นฟุ้งกระจายไปทั่ว

มันเป็นความล้มเหลวอย่างชัดเจน แต่โชคดีที่เด็กหนุ่มไม่ได้รับบาดเจ็บ

“ข้าด้วย!!”

เด็กคนหนึ่งเดินออกมาด้านหน้า เขาคือเด็กน้อยที่ก่อนหน้านี้ควงวัวต้วอ้วนพีเล่นนั่นเอง ชื่อของเขาคือ ฉีเมิ่ง ทุกคนต่างเรียกเขา เมิ่งเอ๋อ และเด็กคนนี้มีรูปร่างที่หนาและใหญ่โต ทั้งที่ตอนนี้เขาอายุแค่แปดขวบเท่านั้น

ทันใดนั้นขาของหม้อทอแดงลอยขึ้นจากพื้นอีกครั้ง และค่อยๆถูกยกขึ้นไปในอวกาศ สาเหตุที่ทำให้ตกใจและผวาคือเพราะเขายังเด็กนัก แต่ตอนนี้เขากลับยกขึ้นได้สูงกว่านี้อีก สร้างความตกใจได้อย่างมากมาย

แต่โชคไม่ดีนัก ที่ไม่สามารถยกขึ้นในระดับเหนือศีรษะของเขาได้ ในตอนนี่แขนทั้งสองสั่นระริก ก่อนจะปล่อยมือออก หม้อทองแดงตกลงมากระแทกพื้นเสียงดังสนั่นเกิดเป็นรอยยุบที่พื้นดิน

ตั้งแต่คนแรกที่พยายามยกหม้อทองแดง หลังจากเด็กๆทั้งหมดต่างกระตือรือร้นเข้ามาทดลอง แต่ก็ไม่มีผู้ได้ยกได้สำเร็จ

จนกระทั่งมีเด็กคนหนึ่งคิ้วหนาตาโตถูกเรียกว่า ฉีต้าจง ก้าวออกมา หลังจากที่สูดหายใจเฮือกใหญ่ แล้วใช้พลังของเขายกขึ้นมารวดเดียว ดูเหมือนจะไปได้ดีเมื่อเขายกขึ้นได้ในระดับเหนือศีรษะ

ถึงแม้ว่าแขนของเขาจะสั่นและขาของจะเซ แต่ว่าเขาก็สามารถยกขึ้นมาเหนือระดับศีรษะได้สำเร็จ บรรดาผู้ใหญ่ต่างอุทานด้วยความตื่นเต้น เพราะเขาอายุแค่เก้าขวบเท่านั้น นั่นแสดงให้เห็นว่าเขามีพลังมหาศาลมาตั้งแต่กำเนิด

“ต้าจงทำได้ดีมากจริงๆ ในอนาคตเขาจะต้องทำบางสิ่งที่น่าเหลือเชื่อกว่านี้อีกแน่นอน”

“แค่เก้าขวบแต่สามารถยกของหนักกว่าพันจินได้ ไม่มีเด็กเก้าขวบคนไหนเทียบเขาได้แน่ ในอนาคตเขาคงจะได้เป็นจอมพลังอันดับ1แห่งทวีปอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”

บรรดาผู้ใหญ่ต่างเอ่ยชมอย่างมากมาย เพื่อเป็นการให้กำลังใจและชื่นชมในความสามารถของเมิ่งเอ๋อเช่นกัน นั่นเพราะเขาเกือบจะทำได้สำเร็จ

เหล่าผู้อาวุโสต่างก็ยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ เพราะความพยายามที่ทุ่มเทในเวลาสามปีมานี้ไม่สูญเปล่า ตั้งแต่ที่ใช้เลือดสัตว์ร้ายช่วยเสริมสร้างและหล่อหลอมร่างกายของพวกเด็กๆ จากผลลัพธ์ที่แสดงออกมาให้เห็น อนาคตของหมู่บ้านหินผาจะมีผู้แข็งแกร่งจำนานไม่น้อยเลยทีเดียว

“เจ้าหนูที่ยื่นหัวออก จะไม่อยากลองยกเหมือนคนอื่นๆหน่อยเหรอ” มีเสียงหยอกเย้าดังออกมาจากกลุ่มผู้ใหญ่

ภายในฝูงชนเจ้าหนูกำลังมองลอกแลกไปมา นั่นเป็นเจ้าหนูน้อยอย่างแน่นอน ในที่สุดเด็กน้อยก็มีชื่อแล้ว เด็กน้อยถูกเรียกว่า ฉีเฮ่า แต่ยังคงมีร่างกายที่เล็กอยู่ เด็กน้อยพยายามเขย่งเท้าท่ามกลางฝูงชนเพื่อชมบรรดาเด็กโตยกหม้อทองแดง

“นั่นสิ ทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเฮ่าน้อยมีกำลังมหาศาลจนน่าอัศจรรย์ แม้ว่าเขาอายุยังน้อยอยู่ก็ตาม เขาก็น่าจะมาลองซักหน่อยนะ แค่แท่นหินนี่ก็ได้”

บางคนพยักหน้ากล่าวว่า“ฟังจากที่ลูกข้าเล่ามา พลังของเฮ่าน้อยไม่ด้อยไปกว่าพวกเขาเลย ข้าไม่เคยเชื่อเลยแม้แต่น้อย นี่เป็นโอกาสที่จะได้พิสูจน์แล้ว ลองเข้ามาทดลองดูเถอะ”

ฉีเฮ่าที่ตอนนี้อายุสามขวบครึ่ง มีผมดำสนิทยาวประบ่าทั้งสองข้าง มีดวงตากลมโตสีดำเป็นประกายและมีชีวิตชีวา ประกอบกับผิวขาวนุ่มนิ่ม ดูน่ารักน่าชังยิ่งนัก

เด็กน้อยมองไปยังเหล่าผู้อาวุโสที่มีรอยยิ้มประดับบนใบหน้า แล้วฉีหยุ่นเฟิงก็กล่าวออกมา “ไปเถิด ข้าเองก็อยากเห็นระดับความแข็งแกร่งของตัวเจ้าในตอนนี้เช่นกัน”

“ไฮ้!!” ฉีเฮ่ายังเยาว์เหลือเกิน เสียงตอบรับของเขาเล็กและยังไม่แตกหนุ่ม ยังไงก็ตามเขาใช้ความพยายามเล็กน้อยสำหรับยกแท่นหินนั้น

“ไม่เลว” ทุกคนพยักหน้าชื่นชม

หลังจากนั้น เขายกแท่นหินขึ้นมาแล้วขว้างออกไปทันที แท่นหินที่ลอยราวกับเป็นหินธรรมดาไปตกทางอีกด้านหนึ่ง ไกลออกไปประมาณ60ถึง70 เมตร แท่นหินยังกระเด็นไถลเป็นรอยลึก เป็นเหตุฝุ่นฟุ้งกระจายไปทุกทาง แล้วกระแทกกับพื้นดินอย่างรุนแรง

ทุกคนถลึงตามองค้าง ไม่สามารถพูดอะไรออกมาได้

ไม่เพียงแค่นั้น เด็กน้อยยังวิ่งไปที่วัวตัวอ้วนพีสีดำ ใช้กำลังของเขาจับไปทีเขาของวัวอย่างรวดเร็ว และฟาดไปที่พื้นอย่างรุนแรง

แม้ว่าเด็กน้อยจะไม่ได้ใช้กำลังเพียงอย่างเดียว แต่ก็นับว่าพลังของเขาเหนือสามัญสำนึกอยู่ดี ทุกคนสูดลมหายใจด้วยความหนาวเหน็บ รู้สึกเหมือนกับมองไปยังสัตว์ร้ายที่กำลังสำแดงพลังของตนเองอยู่

ต้องเข้าใจก่อนว่า ฉีเฮ่ามีอายุน้อยและยังตัวเล็กที่สุดในหมู่บ้าน ไม่ว่าจะมองยังไง ก็ยังดูเป็นเพียงเด็กตัวเล็กๆดูไร้เดียงสา ช่างไม่สอดคล้องกับกำลังที่เหมือนจะไร้ก้นบึ้งเลยแม้แต่นิด

ภายใต้บรรดาสีหน้าที่แสดงอาการเหลือเชื่อนั้น ฉีเฮ่าเดินไปยังหม้อทองแดงยักษ์ ด้วยความสูงของเขาเป็นไปไม่ได้ที่จะเอื้อมไปจับหูของหม้อทองแดง เด็กน้อยจึงมุดลงไปใต้หม้อ แล้วใช้ร่างกายเล็กๆประคองฐานของหม้อทองแดง ในตอนนั้นเอง เด็กน้อยใช้พลังยกหม้อทองแดงยักษ์ขึ้นมาเหนือหัวอย่างฉับพลัน

ทุกคนถูกอาการมึนงงโถมเข้าใส่ ไม่อาจทำใจให้เชื่อในสิ่งกำลังเกิดขึ้นอยู่ตรงหน้า เด็กอายุสามขวบครึ่งกำลังยกหม้อทองแดงที่มีน้ำหนักว่าพันจิน มันช่างไร้สาระเหลือเกิน