ทั้งสี่คนจ้องมองไปที่บริเวณของป่าไผ่ที่มีศาลาเก่าแก่สูงหลายชั้นในเวลาเดียว ชั้นด้านบนนั้นมิถือว่าใหญ่โตแต่อย่างไร ใช้ต้นไผ่เป็นวัสดุหลักในการสร้าง อีกทั้งยังทำให้ผู้คนสามารถมองเห็นด้านในที่ประดับไว้ด้วยสิ่งของโบราณส่วนหนึ่ง เห็นได้ชัด สถานที่แห่งนี้น่าจะเป็นหนึ่งในส่วนที่สำคัญหรือเป็นที่อยู่ของบุคคลสำคัญของอารามก่อฟ้าเมื่อกาลก่อน หรือไม่เช่นนั้นละก็ คงไม่อาจมีทัศนียภาพเช่นนี้ได้

 

อีกทั้งในส่วนที่ยุ่งยากมากที่สุดก็คือ ในบริเวณรอบนอกของศาลาสดับในตอนนี้ ได้ถูกโอบล้อมไปด้วยเขตแดนที่ส่องสว่างออกมา ในสายตาของทุกๆคน สัมผัสการรับรู้และความเคลื่อนไหวราวกับถูกปิดกั้นอย่างวุ่นวาย เห็นได้ชัด หากต้องการที่จะเข้าไปด้านใน ยังไงก็ต้องจัดการกับเขตแดนนี้ให้ได้ก่อน ทว่าการมีอยู่ของเขตแดนนี้เป็นสิ่งที่บ่งบอกได้ว่า สิ่งของที่อยู่ด้านในยังคงมิได้ถูกผู้อื่นแย่งชิงได้

 

หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ อีกทั้งเยี่ยจงยังอยู่ด้านใน นัยน์ตาของทุกๆคนต่างประดับไว้ด้วยความเร้าร้อนอยู่หลายส่วน

 

“ เช่ง “

 

เซียงฉียวี่ชี้ไปที่ด้านหน้า เขตแดนในนั้นได้ปรากฏสายลมหมุนวนสายหนึ่ง ในขณะเดียวกัน เขตแดนนั้นก็ราวกับเหมือนมีสายน้ำสายหนึ่งออกมาปกคลุมรอบแยกรอบๆ แต่ก็มิได้ทำให้เกิดความเสียหายมากมายนัก

 

“ ของสิ่งนี้คือสิ่งใดกัน “ เซียงฉียวี่ขมวดคิ้วขึ้นมา เห็นได้ชัดว่านางก็มองออกเช่นเดียวกัน เขตแดนนี้ที่อยู่ด้านหน้าสายตาเห็นได้ชัดว่ายากที่จะต่อกร

 

“ นี้คือค่ายยันต์วิญญาณ “ เยี่ยจงหรี่ตามองไปยังเขตแดนนี้ จากนั้นก็กล่าวออกมาเสียงดัง

 

หลังจากเงียบงัน เซียงฉียวี่และพวกทั้งสามสาวต่างก็หันหน้ากลับไปมองเยี่ยจงด้วยความแปลกประหลาดคราหนึ่ง อีกทั้งภายในดวงตาของชวีเซวียนก็ได้ทอประกายแจ่มใสขึ้นมา

 

“ เยี่ยจง ท่านในเมื่อทราบว่านี้คือค่ายยันต์วิญญาณ ? ท่านคงมิใช่เป็นผู้สร้างยันต์หรอกนะ ? “ เซียงฉียวี่ราวกับไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นมองไปทางด้านเยี่ยจง คนผู้นี้เพียงพอที่จะสามารถพลิกฟ้าได้แล้ว หากว่าเขายังเป็นผู้สร้างยันต์อีกละก็ จะไม่เกินไปหรอกหรือ

 

“ ข้ามิใช่ผู้สร้างยันต์ เพียงแต่ว่า เคยมีโอกาสเคยสัมผัสกับยันต์วิญญาณส่วนหนึ่งมาก่อน “ เยี่ยจงตอบเสียงดัง “ ค่ายยันต์วิญญาณนี้ น่าจะเป็นผู้สร้างยันต์ในระดับหนึ่งสร้างทิ้งไว้ สถานการณ์ของพวกเราในตอนนี้ ยังถือว่าไม่สมควรกู้มัน (ทำอย่างกับกำลังกู้ระเบิดเลยครับ )

 

ผู้สร้างยันต์นั้นมีการแบ่งเป็นระดับชั้น โดยส่วนมาก แบ่งได้ทั้งหมดเก่าระดับ ถึงแม้ผู้สร้างยันต์ในระดับหนึ่งจะเป็นเหมือนดั่งผู้ที่พึ่งจะเข้าสู่สายผู้สร้างยันต์ก็ตาม แต่ว่าในด้านระดับพลังแล้ว ก็ยังถือว่าเพียงพอที่จะเรียกว่าน่าหวาดกลัวได้ หรือเทียบกับระดับการฝึกยุทธ์แล้วละก็ก็เป็นเหมือนอยู่ในขั้นที่อยู่หลังจากขั้นก่อฟ้าไปแล้วขั้นหนึ่ง——ยอดฝีมือขั้นลมปราณจิต

 

ทว่าเยี่ยจงในตอนนี้ยังถือว่าอยู่ในขั้นที่ฝืนสามารถสร้างยันต์ได้หลายชิ้นอยู่ แต่ก็ยังไม่ถึงกับเรียกได้ว่าเป็นผู้สร้างยันต์ อย่างมากก็เพียงได้แค่ผู้เริ่มต้นฝึกสร้างยันต์

 

“ ผู้สร้างยันต์ระดับหนึ่งเป็นผู้ที่วางค่ายยันต์วิญญาณ “ หลังจากเงียบงัน ใบหน้าเล็กๆของซูหยี่ก็เปลี่ยนเป็นสีดำ

 

“ ถ้าอย่างนั้นพวกเราตอนนี้ทำอย่างไรกันดี ? “ใบหน้าเล็กๆของโหยวซือหลิงปรากฏความเครียด ทั้งยังมายังสถานที่แห่งนี้อย่างยากลำบาก สุดท้ายถ้ายังไม่มีวิธีที่จะแก้ปัญหาหรือปลดค่ายยันต์วิญญาณเหล่านี้ได้แล้วละก็ เกรงว่าจะสามารถทำให้ผู้คนมัวหมองจนต้องกระอักเลือดออกมา

 

“ ถึงแม้ข้าจะไม่มีวิธีก็ตาม แต่ว่า ข้าคิดว่าแม่นางชวีเซวียนน่าจะพอคิดออกอยู่หลายส่วนแล้ว ? “ เยี่ยจงมองไปทางชวีเซวียนด้วยสายทางกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม เรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านี้ก็เป็นชวีเซวียนเป็นคนเริ่มต้นผลักดันเอง หากว่านางไม่สามารถที่จะแก้ไขสถานการณ์ได้ หรือว่าไม่มีการเตรียมการแล้วละก็ คนผู้อื่นก็คงจะไม่มีปัญญาทำอะไรต่อไปได้แล้ว

 

“ เสียวเซวียน (เซวียนน้อย) เจ้ารู้จริงๆหรือว่าจะจัดการกับค่ายยันต์วิญญาณนี้ยังไง ? “เซียงฉียวี่หัวหน้ามองไปทางด้านชวีเซวียน ใบหน้าเต็มไปด้วยความสงสัยเอ่ยปากถาม

 

“ ข้าก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน แต่ว่าในตอนที่ข้าดูจดหมายฉบับนั้น ยังได้รับสิ่งของอีกสิ่งหนึ่ง หรือว่าของสิ่งนั้นจะสามารถที่จะเปิดเส้นทางบริเวณนี้ได้ คงต้องลองดูถึงจะรู้ “ ชวีเซวียนเอ่ยปากตอบด้วยความลังเลอยู่หลายส่วน หลังจากนั้นมืออันขาวผ่องของนางก็สว่างวาบคราหนึ่ง ก็ได้มีลูกประคำสีเหลืองอำพันออกมา ปรากฏอยู่ในใจกลางฝ่ามือของนางในตอนนี้

 

บนลูกประคำสีเหลืองอำพันลูกนี้ ให้ความสว่างไสวอ่อนๆราวกับพระจันทร์ส่องแสง ในตอนนี้พึ่งปรากฏออกมา ยังทำให้ดวงตาของเยี่ยจงสามารถหดตัวลงได้ หญิงสาวที่เหลือทั้งสามนั้นมองไม่ออกว่าสิ่งนี้คืออันใด แต่ว่าเขากลับมองออกแล้ว ความจริงแล้วเจ้าลูกประคำสีเหลืองอำพันลูกนี้ก็เป็นเหมือนยันต์วิญญาณแบบหนึ่ง เพียงแต่ว่าถูกทำให้มีลักษณะคล้ายลูกประคำเท่านั้น หากว่าได้ลองเปิดลูกประคำออกมาดูแล้วละก็ น่าจะทำให้ผู้คนเข้าใจและได้เห็นความลับของยันต์แผ่นนี้

 

ลูกประคำที่อยู่ในมือนี้ หลังจากนั้นชวีเซวียนก็ใช้มันชี้ไปทางด้านของค่าย วินาทีนั้นลูกประคำก็ได้พุ่งทะยานออกไป จากนั้นก็ไปหยุดอยู่ด้านบนของค่ายทดสอบ

 

ในตอนที่ลูกประคำร่วงหล่นลงสู่ด้านบนของเขตแดน ราวกับได้หายลับไปอย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นเอง ก็เกิดแสงสว่างส่องออกมาเป็นเส้นสาย บินอย่างรวดเร็วแล้วก็หายไปในอากาศ

 

“ ตุบตับ “

 

ในเวลาเดียวกัน ประตูของศาลาอันเก่าแก่ก็ได้ค่อยๆเป็นอ้าออกมา ไม่ทราบว่านานแค่ไหนแล้วที่ศาลาสดับฟังแห่งนี้ จึงได้พบเจอกับแสงอาทิตย์อีกครั้ง

 

ในระหว่างที่ประตูใหญ่กำลังเปิด ก็ได้มีกลิ่นฉุนอย่างสุดขีดของยาลอยออกมาจากด้านในอย่างช้าๆ ราวกับทำให้คนอยู่ในอาการฝันกลางวัน

 

“ โอสถ ? “

 

นัยน์ตาของเยี่ยจงทอประกายสดใส สิ่งนี้คือความรู้สึกที่คุ้นเคยจนทำให้เขารู้สึกเร้าร้อนขึ้นมาหลายส่วน แม้ว่าการจะเป็นผู้สร้างโอสถไม่ได้ยากเย็นเหมือนผู้สร้างยันต์ แต่ว่าโอสถที่ดีนั้น ราคาก็จัดได้ว่าสูงมากทีเดียว เขาคิดไม่ถึงว่า ศาลาสดับฟังแห่งนี้จะมีโอสถอยู่ ดูเหมือนว่า การมาในครั้งนี้จะได้รับผลประโยชน์ที่มากเกินกว่าที่คาดคิดไว้

 

หลังจากครุ่นคิดแล้วเสร็จ เยี่ยจงก็ยิ้มออกมา จากนั้นก็เคลื่อนไหวร่างกายคราหนึ่ง ก้าวเท้าเดินเข้าไปอย่างระมัดระวัง

 

ในตอนที่ปลายเท้าได้เข้าสู่ศาลาสดับฟัง ก็ไม่ได้สัมผัสถึงสิ่งที่แปลกประหลาดอันใด เยี่ยจงก็โบกมือไปมาให้ทั้งสามสาว จากนั้นก็ค่อยๆกวาดสายตามองทางด้านใน

 

ห้องแรกนั้นช่างปกธรรมดา ชั้นที่หนึ่งนั้นมิได้ตกแต่งวางสิ่งของที่ดูสะดุดตาอะไรมากมายนัก มีแค่เพียงโต๊ะและชุดชงชาชุดหนึ่งเท่านั้น

 

ในเวลาไม่นานนัก เยี่ยจงก็เดินขั้นไปยังบริเวณชั้นสอง

 

ในขณะที่มาถึงชั้นสองแล้ว สายตาของทั้งสี่คนก็ทอประกายขึ้นมาพร้อมกัน

 

บริเวณฝ่าผนังทางฝั่งตะวันตกบนชั้นสองของศาลาสดับฟังแห่งนี้ ได้ประดับไว้ด้วยชั้นที่ทำจากไม้ไผ่ บนชั้นไม้ไผ่นั้น ได้วางเรียงรายไปด้วยขวดหยกที่เต็มไปด้วยโอสถน้อยใหญ่ บริเวณของปากขวดได้ใช้ขี้ผึ้งปกปิดไว้อยู่ แต่ว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น ด้านในก็ยังคงส่งกลิ่นของยาออกมาอย่างรุนแรง เห็นได้ชัดว่า โอสถเหล่านี้มิได้ถูกกาลเวลาทำให้ลบเลือนไป

 

“ โอสถเสริมพลังกาย โอสถเสริมสมาธิ โอสถโลหิตเวียนกลับ…… “ เยี่ยจงหรี่ตามองดู ในส่วนนี้ก็ได้แบ่งแยกชนิดออกมาเป็นส่วนๆหากมองในมุมมองของผู้ฝึกปรือพลังขั้นก่อเกิดทั้งเก้าขั้น โอสถเหล่านี้ถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมาก โอสถถือว่าเป็นตัวช่วยในอีกรูปแบบหนึ่งเลยทีเดียว ราคาค่างวดคงจะมากโขอยู่

 

จากที่มองดูสิ่งของเหล่านี้แล้ว เยี่ยจงก็ยิ้มออกมาเล็กน้อย ต่อให้ไม่มีศาสตราวุธระดับสูงก็ตาม ตนเองก็ยังถือว่าได้กำไรอย่างเพียงพอแล้ว

 

สามสาวเหม่อมองไปที่โอสถเหล่านี้ มองไปด้านหน้าตาทอเป็นประกาย ทว่าหลังจากนั้น ชวีเซวียนก็ได้กล่าวออกมาเสียงเบา “ เยี่ยจง ตามที่ตกลงกันไว้โอสถพวกนี้ทั้งหมดเป็นของเจ้า “

 

หลังจากเงียบงัน เยี่ยจงก็พยักหน้าไปมา เขามิได้แสดงความเกรงใจออกมา จากนั้นก็เดินไปทางด้านหน้า วินาทีต่อมาก็เก็บกวาดเหล่าโอสถมากมายเหล่านี้อย่างวุ่นวาย จากนั้นก็ยิ้มออกมา สายตาหยุดมองไปที่บริเวณอีกฟากหนึ่งของบริเวณชั้นสอง

 

แต่ว่าก็น่าชั่งน่าเสียดาย บริเวณส่วนอื่นนั้นต่างก็ว่างไว้ด้วยตู้ไผ่อยู่ส่วนหนึ่ง แต่ว่าส่วนมากก็เป็นพวกโอสถกลุ่มที่เอาไว้ใช้ ไม่มีราคาค่างวดมากมายนัก

 

“ ไป ไปดูที่ชั้นอื่นกันต่อเถอะ “ หลังจากที่กวาดตามองดูโดยคร่าวๆแล้ว นัยน์ตาของเยี่ยจงก็ทอประกายเร้าร้อนมองไปบันไดคราหนึ่ง จากนั้นก็เดินขึ้นไปอย่างระมัดระวัง

 

ในช่วงที่คนทั้งสี่คนได้มาถึงชั้นบนของศาลาสดับฟังแห่งนี้ ก็ได้กวาดตามองดูรอบหนึ่ง ต่างก็เกิดความลังเลในเวลาเดียวกัน

 

ด้านบนสุดของศาลาสดับฟังแห่งนี้ ที่บริเวณตรงกลางได้จัดวางไว้ด้วยที่นั่งไม้สานนี้ไว้ตัวหนึ่ง อีกทั้งบริเวณด้านหน้าของที่นั่งไม้สานนี้ มีจานหยกกึ่งโปร่งใสสามชิ้นวางไว้อยู่

 

จานหยกที่วางไว้ตรงกลาง วางไว้ด้วยป้ายหยกชิ้นเล็กชิ้นหนึ่ง ด้านในทอประกายพลังวิญญาณส่องสว่างออกมา บนป้ายหยกได้ไว้ด้วยอักษร“ก่อฟ้า“สองตัว มีหลายส่วนที่ทำให้มองได้ไม่ชัดเจน

 

“ ป้ายก่อฟ้า ……. “

 

ชวีเซวียนเหม่อมองไปที่ป้าย สีหน้าทอประกายความแปลกประหลาดอยู่หลายส่วน

 

“ ของชิ้นนี้เป็นของเจ้า “ จากที่มองไปเบื้องหน้า เยี่ยจงก็หยักไหล่ไปมาแล้วกล่าวออกมา แม้ว่าเขาจะทราบอยู่แก่ใจ รวมทั้งการมาของโรงฝึกยุทธ์ชิหวิน คงจะเพื่อมาของของชิ้นนี้ ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้มีความโลภเหล่านี้ ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไร การแย่งชิงสิ่งของจากสาวน้อยทั้งสามคนเช่นนั้น เขาในเวลานี้ยังคงไม่สามารถที่ทำได้

 

ชวีเซวียนมองไปเยี่ยจงด้วยสายตาอันลึกซึ้ง ราวกับถูกบรรยากาศอันลี้ลับดึงดูดจนในตอนนี้ไม่ทราบว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี จากนั้นนางก็พยักหน้าอยู่หลายครา โน้มตัวลงไป คว้าป้ายคำสั่งก่อฟ้าขึ้นมา

 

หลังจากที่พบเห็นการกระทำเช่นนั้น เยี่ยจงก็แบะปากไปมา จากนั้นก็จ้องมองไปยังด้านบนของจานหยกอีกสองจานที่เหลืออยู่ บนจานหยกทั้งสองนี้ มีจานหยกอันหนึ่งที่ถูกวางไว้ด้วยแผ่นจารึกหยกแผ่นหนึ่ง ส่วนด้านบนจานหยกอีกหนึ่งอัน ก็ได้ถูกวางไว้ด้วยแหวนจักรวาลวงหนึ่ง

 

เวลาผ่านไปไม่นานนัก เยี่ยจงก็นำแผ่นจารึกหยกออกมา ก็ใช้สายตามองไปอย่างระมัดระวัง จากนั้นก็นำสิ่งนั้นไปมอบให้เซียงฉียวี่ แล้วกล่าวออกมาว่า “ สิ่งนี้น่าจะเป็นคัมภีร์ยุทธ์กำลังภายในระดับสูง ถึงแม้จะมิใช่วิชาของอารามก่อฟ้าในตำนาน แต่ว่าก็ยังถือว่าเป็นวิชากำลังภายในที่ไม่เลวเลยทีเดียว พวกเจ้าสามคนเอาไปเถอะ “

 

“ วิชาในระดับสูง ? “ เซียงฉียวี่มองไปที่แผ่นจารึกหยกคราหนึ่ง นัยน์ตาทอประกายด้วยความตะลึงลานอยู่สายหนึ่ง เห็นได้ชัดว่าพวกนางคงคาดไม่ถึงว่า จะได้รับคัมภีร์ยุทธ์มาอยู่ในมือในที่แห่งนี้

 

“ วิชานี้ เจ้าไม่เอาหรือ ? “ หลังจากที่เซียงฉียวี่ครุ่นคิด ก็มองดูเยี่ยจงแล้วถามออกไป

 

“ ตัวข้านั้นไม่เหมาะสมที่จะฝึกปรือคัมภีร์ยุทธ์ชุดนี้ “ เยี่ยจงยิ้มออกมา แต่ก็มิได้อธิบายอะไรออกไปมากมาย “ เอาละ พวกเรามาดูกันว่า ของชิ้นสุดท้ายนี้ จะใช้ศาสตราวุธระดับสูงที่ตามหากันหรือเปล่า “

 

ในระหว่างที่พูดคุย เยี่ยจงก็ค่อยๆนำแหวนจักวาลออกมาอย่างระมัดระวังแล้ว จากนั้นกวาดตาจ้องมองไปที่ด้านใน แล้วค่อยพลิกฝ่ามือออกคราหนึ่ง ในขณะนั้นเองก็พบกระบี่ที่มีลำตัวยาวประมาณสามฟุตเล่มหนึ่งปรากฏอยู่บนบริเวณใจกลางฝ่ามือของเยี่ยจง กระบี่ยาวมีลักษณะเรียบง่าย ราวกับถูกตีจากหยกทั้งด้ามก็มิปาน แต่ว่าเมื่อจับดูแล้วก็ปรากฏแสงสว่างวาบออกมา จนทำให้สายตาของผู้ที่มอง แทบจะลืมตามองดูไม่ไหวอยู่หลายส่วน

 

บนด้ามของกระบี่นี้ ได้ใช้การใช้ตัวอักขระโบราณ แกะสลักว่า”คงหมิง”อยู่สองคำ ภายในกระบี่ให้ความรู้สึกที่เติมเต็ม ในบรรยากาศที่ออกมา นัยน์ตาของเยี่ยจงทอประกายสว่างวาบ ที่แท้เป็นศาสตราวุธระดับสูงนี้เอง

 

“ กระบี่คงหมิง ? เป็นชื่อที่ดีเลย “ เยี่ยจงลูบบนตัวกระบี่เบาๆ จากนั้นก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา อีกทั้งเข้าก็ยังไม่เกรงใจอีกด้วย ในระหว่างที่เซียงฉียวี่จ้องมองอยู่นั้น กรีดเลือดบนนิ้วมือออกมาหยดหนึ่งหยดลงไป วินาทีต่อมา ก็มีความรู้สึกถึงการสื่อถึงกันได้ในรูปแบบหนึ่ง ในส่วนลึกของจิตใจเยี่ยจง

 

หลังจากที่ลองพลิกกระบี่คงหมิงในมืออยู่หลายครา เยี่ยจงค่อยยิ้มออกมา จากนั้นก็บิดตัวขี้เกียจคราหนึ่ง นำพาความรู้สึกแปลกพิศดานกล่าวออกมา “ เอาละ ตอนนี้พวกเจ้าก็ได้ป้ายคำสั่งก่อฟ้ามาอยู่ในมือแล้ว ศาสตราวุธระดับสูงก็มาอยู่ในมือของข้าแล้ว ในการร่วมมือของพวกเรานั้น ก็ถือได้ว่าสิ้นสุดแล้ว ต่อจากนี้ พวกเจ้าเตรียมพร้อมอย่างไรกันบ้าง ? คงมิใช่เตรียมที่จะไปเข้าสวรรค์เก้าชั้นหรอกนะ ? “

.

.

.

.