น้ำแข็งที่ปกคลุมทางด้านบนของทะเลสาบ ตอนนี้ได้ถูกกระแสลมที่ดังอย่างไม่ขาดสายตัดจนแตกสะบั้น มีคนไม่น้อยที่อยู่รอบบริเวณแท่นหินรวมตัวกันมุงดู ไม่นานนักก็มีเสียงร้องดังออกมาต่อเนื่อง หลังจากนั้นก็มีคนมองไปที่ใจกลางทะเลสาบอย่างแน่วนิ่ง ราวกับทอดทิ้งการมีชีวิตไปแล้ว

 

ในตอนนี้ ช่วงเวลาที่วุ่นวายมาทั้งวันได้ผ่านพ้นไป อีกทั้งบัวหิมะวิญญาณม่วงเกือบทั้งหมดก็ถูกผู้อื่นเก็บกวาดไปอย่างเละเทะ ทว่าหากนำมาใช้เทียบกับการฝึกปรือแล้วละก็ ถือว่ามีประโยชน์อยู่ไม่น้อย ดังนั้นหากได้เปรียบเทียบแล้วละก็ ตอนนี้จะพบเห็นผู้คนไม่น้อยรอบด้านที่อยู่ในอาการแตกตื่นตกใจ

 

บริเวณแท่นหินโดยรอบ ตอนนี้มีคนราวสิบคนโอบล้อมยืนอยู่ คนที่เป็นผู้นำ ก็คือชายชราที่เป็นประธานจัดงานการประมูลที่เขตชิงซานขึ้นในวันนั้นนั้นเอง ทว่าในตอนนี้มิได้มีรอยยิ้มเหี่ยวย่นบนใบหน้าของเขา ใบหน้าเหลือไว้แต่เพียงเค้าความเย็นชา

 

คนผู้นี้ มีศักดิ์ฐานะเป็นถึงหนึ่งในผู้อาวุโสของตระกูลม่อแห่งเขตชิงซาน ในระหว่างที่ม่อฝานหลงจากไป ความสำเร็จภายในตระกูลมีอยู่หลายครั้งที่เป็นกลุ่มผู้อาวุโสเป็นคนจัดการ แต่ว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเยี่ยจงจากที่เขาใคร่ครวญไม่ว่าจะอย่างไรเขาก็ยังคงไม่วางใจอยู่ดี ดังนั้น ในตอนนี้เมื่อเขามีเรื่องที่สำคัญกว่าต้องไปทำ แต่ก็ยังสั่งการให้ผู้อาวุโสท่านนี้และเหล่าลูกน้องยอดฝีมือหนึ่งพันคน มุ่งหน้าคอยเฝ้าอยู่ตรงบริเวณทะเลสาบน้ำแข็งแห่งนี้

 

ไม่ว่าเยี่ยจงจะตาย หรือว่าจะไม่ตายก็ตาม ม่อฝานหลงก็ถือว่าเชื่อใจผู้อาวุโสในตระกูลท่านนี้ ว่ามีฝีมือเพียงพอที่จะสามารถเก็บกวาดได้ ไม่ว่าจะกล่าวเช่นไรก็ตาม บุคคลเช่นม่อฝานหลงก็ยังคงระแวดระวัง คนอย่างเยี่ยจงนั้นหากให้มีการเติบใหญ่ขึ้นมาคงถือเป็นอุปสรรคในวันข้างหน้าได้ จะดีกว่าถ้าหากสามารถจัดการได้ตั้งแต่เนิ่นๆ

 

“ นายน้อยไม่ว่าเรื่องใดก็ดี แต่กับเรื่องบางเรื่องกลับระแวงจนเกินไป กับเด็กรุ่นเยาว์ที่มีกำลังภายในอยู่แค่ขั้นก่อเกิดขั้นที่สามเพียงหนึ่งคน ต่อให้ไม่ตาย หรือต่อให้ผ่านพ้นวิกฤตไปได้ ? ยิ่งไม่ต้องกล่าว ยอดฝีมือที่อยู่รอบทะเลสาบมากมายแห่งนี้ ต่างก็ตายไร้ที่กลบฝัง เพียงแค่เด็กรุ่นเยาว์อ่อนแอเช่นเขา ยังจะสามารถหนีรอดออกมาได้หรือ ? “ ชายชราแซ่ม่อส่ายศีรษะไปมา กล่าวด้วยน้ำเสียงล้อเลียนอยู่หลายส่วน

 

“ เหอะ เหอะ ผู้อาวุโสท่านกล่าวได้มิผิด นายน้อยกระทำเรื่องบางเรื่องก็ช่างระแวงจนเกินไป ในเวลาที่ยากลำบากเช่นนี้หากต้องมีเรื่องยุ่งยากเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ข้าว่า ตอนนี้พวกเราสมควรไปจากที่นี้กันแล้ว ไปตามหาวาสนากันดีหรือไม่ ? ไม่เช่นนั้น โอกาสที่ล้ำลือกันของพวกเราก็หลุดลอยหายไป ไม่เช่นนั้นผู้อื่นจะถือโอกาสฉกฉวย การเข้าสู่อารามก่อฟ้าในครั้งนี้ จะไม่ถือว่าเสียโอกาสไปหรอกหรือ ? “ ยอดฝีมือที่ยืนอยู่ด้านข้างชายชราแซ่ม่อ หัวเราะเบาๆและกล่าวออกมา คงจะเป็นเพราะว่า เขาเองก็มิได้มองเยี่ยจงอยู่ในสายตาอยู่แล้ว

 

“ เจ้าพวกเด็กน้อยเหล่านี้ คงมิเกรงกลัวนายน้อยลงโทษกระมั่ง ? แต่ทว่า….. “ จากนั้นผู้อาวุโสก็ยิ้มแล้วส่ายหัวไปมา แต่ว่าเขาก็มิได้ปฏิเสธเรื่องนี้แต่อย่างไร เห็นได้ชัดว่าการที่เขาได้รับคำสั่งจากม่อฝานหลงคงมีอยู่หลายส่วนที่ไม่พอใจอยู่บ้าง เพียงแต่ว่า ในเวลาเช่นนี้ เขากลับวอกแวกครู่หนึ่ง ต่อมาเขาก็รีบเร่ง เปร่งเสียงออกมาดังๆ “ แย่แล้ว ถอยเร็ว “

 

ในเวลาเดียวกัน มียอดฝีมืออยู่ไม่น้อยที่อยู่รอบบริเวณแท่นหินต่างก็มีปฏิกิริยาโดยทันที ร่างของพวกเขาแต่ละคนขยับ เหินออกจากแท่นหินอย่างรวดเร็ว

 

เวลาผ่านพ้นไปเพียงหนึ่งถ้วยน้ำชาเท่านั้นที่คนมากมายถอยออกจากแท่นหมดสิ้น ก็พบว่าด้านบนของแท่นหินบูชานั้น รอยร้าวในตอนนี้ก็ค่อยๆไล่แตกร้าวจนครอบคลุมไปทั่วทั้งแท่นหิน จากนั้นในเวลาไม่นาน แท่นหินก็ได้ผุพังราวกับท่อนไม้ก็มิปาน ค่อยๆร่วงลงสู่บริเวณข้างใต้ทะเลสาบ หลงเหลือไว้เพียงชิ้นส่วนที่ยังคงลอยน้ำได้ เป็นที่ชัดเจนว่า มีบางอย่างที่อยู่ด้านล่างถูกทำลายลง จนทำให้แท่นหินก้อนนี้ไม่มีที่ยึดเหนี่ยว

 

“ หรือว่า —— ”

 

ผู้อาวุโสแซ่ม่อถือว่าเป็นผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในอารามก่อฟ้าแห่งนี้อยู่หลายส่วน เขาจ้องมองไปยังพื้นผิวของทะเลสาบ ใบหน้าก็ได้เปลี่ยนเป็นขาวซีดโดยทันที ในเวลาต่อมา เขาก็ได้หัวเราะแล้วกล่าวออกมาทันที “ เหล่าเด็กหนุ่มเอ่ย ดูเหมือนว่าพวกเราคงไม่ต้องไปเสาะหาวาสนาที่อื่นแล้วละ ดูเหมือนว่า การที่มีคนเกินกว่าครึ่งหนึ่งในนี้กำลังเสาะหาการมีอยู่ของก้านไม้วิญญาณม่วงอยู่ ดูเหมือนจะตกไปอยู่ในมือคนบางคนแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่เกิดการปรากฏการณ์เช่นนี้ “

 

“ หึหึหึ ในเมื่อมีลาภลอยมาหาถึงที่ ไม่ว่าจะรั้งยังไงก็คงหยุดไว้ไม่อยู่แล้ว “ กลุ่มยอดฝีมือราวสิบคนทางด้านหลังของเขาต่างก็หัวเราะเสียงเย็นยะเยียบออกมา ใบหน้าย้อมไปด้วยสีหน้าของความโลภ พวกเขาทราบดีว่าก้านไม้วิญญาณม่วงนั้นคือสิ่งใด ของสิ่งนั้นเป็นถึงโอสถวิเศษที่ล้ำค่าในการฝึกปรือพลังฝีมือ ต่อให้เป็นสิ่งที่อยู่ท่ามกลางเขตของอารามก่อฟ้า ก็ยังถือว่าเป็นสมบัติที่หาได้ยาก แต่ว่าในตอนนี้กลับมีคนสามารถครอบครองได้แล้ว ถึงแม้จะตกในมือพวกเขาทีหลัง ก็ยังถือว่าได้ประโยชน์อยู่มากมาย

 

เหล่ากลุ่มยอดฝีมือของตระกูลม่อต่างแตกฮือออกไปทั้งสี่ด้าน จ้องมองไปทางด้านพื้นผิวของทะเลสาบอย่างหน้าตาย อีกทั้งมียอดฝีมืออีกหลายคนที่ถอยออกไปดูเหมือนจะตรวจสอบค้นพบบางสิ่งบางอย่าง ต่อมา คนเหล่านี้มิได้จากไปไกลมากนัก อีกทั้งแต่ละคนต่างก็มองไปที่บริเวณใจกลางของทะเลสาบด้วยความรู้สึกชาด้าน

 

” เปรี้ยง ”

 

เวลาผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่ง มีบางอย่างได้พุ่งขี้นมาจากผิวน้ำมุ่งขึ้นท้องฟ้าออกมา ตกลงมายังก้อนน้ำแข็งก้อนหนึ่งที่อยู่บนพื้นผิวทะเลสาบไม่ไกลมากนัก

 

หลังจากที่ได้พบร่างเงาของคนในเวลาต่อมา มีผู้คนไม่น้อยที่อยู่ในอาการตะลึง มีความรู้สึกที่ไม่เชื่อในสิ่งที่ตนเองมองเห็นอยู่

 

“ ที่แท้ก็เป็นเจ้าหนุ่มของลัทธิแห่งดวงดาวที่ถูกม่อฝานหลงซัดลงทะเลสาบน้ำแข็งผู้นั้นเอง “

 

“ เป็นไปได้อย่างไร ? มีผู้คนมากมายที่ตกลงไปต่างก็ตายตกอย่างไม่เหลือแม้กระทั่งซากศพ แต่เขากลับไม่ตาย ? “

 

“ เกิดขึ้นได้อย่างไร ? “

 

ต่างคนต่างก็ตระหนกแตกต่างกันออกไป มีผู้คนไม่น้อยที่ใบหน้าปกคลุมไว้ด้วยสีด้วยตกใจ จากที่ดูเยี่ยจงในตอนนี้ดูเหมือนไม่มีเรื่องราวใดเคยเกิดขึ้นเลย อีกทั้ง ยังดูเหมือนไม่ได้รับบาดเจ็บอันใดอยู่เป็นปกติสุขดี จากนั้น เมื่อครู่ที่แท่นหินการร้าวที่เบื้องหน้า ยังคงมิมีผู้ใดคาดคิดว่าเป็นฝีมือของเขาเช่นเดียวกัน

 

กับสายตาที่ส่องสว่างทั่วทั้งสี่ด้านรอบบริเวณ เยี่ยจงเป็นผู้ที่มิได้รู้สึกอันใดเลย เขาเพียงแค่เงยหน้ามองไปที่บริเวณฝ่ามือของตนเอง ในตอนนี้ บนบริเวณใจกลางมือขวาของเขา มีรอยประทับกระบี่สีเลือดอยู่ ตราประทับกระบี่เป็นลักษณะวงกลมคล้ายรูปรอยสักใบร่างกายก็มิปาน แต่หากมองอย่างละเอียดแล้วละก็ จะสามารถรู้สึกว่ามันมีลักษณะเป็นขั้นๆนูนๆ ด้านในของตราประทับกระบี่อย่างน้อยๆก็มีลักษณะนูนถึงสี่ขั้น หรืออีกนัยหนึ่งก็คือ ให้ความรู้สึกถึงการตัดสินใจที่เลือดเย็นออกมา เหมือนเป็นสิ่งที่แผ่ออกมาอย่างช้าๆจากด้านใน

 

ตราประทับกระบี่ชูร่าสี่ขั้น !

 

ในตอนที่เยี่ยจงอยู่ใต้ทะเลสาบ หลังจากที่หยิบยืมพลังในการทะลวงลมปราณจนถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ ในส่วนคุณสมบัติของก้านไม้วิญญาณม่วงที่ยังหลงเหลืออยู่ภายในร่างกายอาจจะทำให้เขาสามารถฝึกปรือในขั้นต่อไปก็เป็นได้

 

ในระหว่างระดับชั้นของการฝึกปรือ เยี่ยจงค้นพบว่า วิชาตราประทับกระบี่อาชูร่า มีการเพิ่มระดับของตัวมันเอง แต่ทว่าก็ยังต้องใช้กำลังภายในในปริมาณที่สูง ถ้าหากมิใช่ได้เข้ามาในอารามก่อฟ้า หากเป็นการฝึกฝนเพื่อเพิ่มลมปราณในลักษณะนี้ สิ่งเหล่านี้จึงเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนา ยิ่งเป็นด้านสภาวะของโลหิตภายในร่าง อีกทั้ง ประการสำคัญของวิชาตราประทับกระบี่อาชูร่าในทุกระดับขั้น จะยิ่งต้องใช้ลมปราณและเวลาในการฝึกเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว

 

ยังดีที่ตนเองได้ฝึกฝนวิชาเพลงกระบี่หกสุสาน ลมปราณภายในร่างกายจึงเต็มไปด้วยพลังลมปราณโจวเทียน ดังนั้นจึงสามารถฝืนใจฝึกฝนทักษะยุทธ์ออกมาได้สำเร็จ อีกทั้ง หากนับรวมกับวิชาตราประทับกระบี่อาชูร่าทั้งสี่ขั้นแล้ว เพียงแต่ว่า หากนับตามพลังของเยี่ยจงแล้วละก็ คงจะสามารถใช้ได้แค่วิชาตราประทับกระบี่อาชูร่าสี่ขั้น หากต้องเพิ่มพลังขึ้นมาอีกขั้นแล้วละก็ อาจจะทำให้สูญเสียพลังไปอีกส่วนหนึ่งก็เป็นได้ เรื่องเหล่านี้จึงเป็นสิ่งที่เยี่ยจงไม่ยินยอมเป็นอย่างแน่นอน

 

ทว่า ต่อให้มีเพียงแค่วิชาตราประทับกระบี่อาชูร่าสี่ขั้น แต่ว่า ทักษะโจมตีนี้หากใช้เต็มกำลัง ก็ต้องถือว่าเป็นอะไรที่น่าหวาดกลัวอยู่ เมื่อตอนอยู่ใต้ทะเลสาบเยี่ยจงได้ลองทดสอบไป โดยใช้ออกกระบวนท่าโดยการใช้เพียงแค่ฝ่ามือเดียวใส่แท่นหินเท่านั้น จากนั้นผลก็ออกมาตามที่ปรากฏให้เห็นก่อนหน้า

 

หลังจากที่ได้ทดลองกระบวนท่าแล้ว เยี่ยจงก็เห็นว่า ความน่ากลัวของวิชาตราประทับกระบี่อาชูร่ามากเกินกว่าตามที่เขาเคยคาดคิดไว้ หากนับจากประสบการณ์ที่เยี่ยจงเคยพบพาน วิชาตราประทับกระบี่อาชูร่านี้ น่าจะเป็นหนึ่งในทักษะยุทธ์ของทักษะยุทธ์ทั้งชุด หากว่าสามารถที่จะใช้ทักษะได้ทั้งหมดแล้วละก็ ต่อให้เป็นเยี่ยจงก็ยังมิอาจสรุปผลของมันออกได้ ว่าวิชาทักษะทั้งหมดสามารถจัดอยู่ในระดับใด

 

แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ในตอนนี้เยี่ยจงยิ้มอย่างพออกพอใจ เมื่อมีกระบวนท่าของทักษะยุทธ์ตราประทับอาชูร่านี้ ความสามารถของตนเองในตอนนี้ก็เรียกได้ว่ามีความก้าวหน้าแบบก้าวกระโดดได้เลย หากมีโอกาสที่จะพบกันกับม่อฝานหลงอีกละก็ ในครั้งแต่ไปเขาจะจับพวกเขาเหล่านั้นเอาไว้เล่นสนุกสักครา แต่น่าเสียดายในตอนนี้ม่อฝานหลงก็ได้จากไปแล้ว ถ้าไม่อย่างนั้น เยี่ยจงคงจะตัดสินใจว่า จะให้พวกเขาได้ลิ้มลองกระบวนท่าใหม่ของตนเองดู

 

“ ถึงเวลาที่จะตามหาแผนที่เข้าสู่อารามซักชิ้นดูแล้ว “ นัยน์ตาของเยี่ยจงทอประการคมกล้า ในตอนที่เตรียมตัวจากไป แต่ว่าในเวลา ณ ตอนนี้ สีหน้าของเขาก็ได้แปรเปลี่ยนอยู่ครู่หนึ่ง จ้องมองไปยังบริเวณเบื้องหน้า เขาพบว่า ที่ตรงนั้นมีคนราวๆสิบคนกำลังจ้องมาที่เขา อีกทั้งภายในดวงตาของพวกเขา ต่างก็ครอบคลุมไว้ด้วยความโลภ

 

” เฮ่อ ”

 

จากนั้นก็เห็นเหล่าคนที่มีเกือบสิบคนค่อยๆก้าวเท้าเดินเข้ามา ใบหน้าของเยี่ยจงก็ปกคลุมไว้ด้วยรอบยิ้มชั้นหนึ่ง มีทางเดินไปสวรรค์ดีๆไม่ชอบ กลับมาจะเดินเข้าหานรก คิดไม่ถึงว่า คนอย่างม่อฝานหลงยังคงไม่ทำให้คนเองผิดหวังเลยจริงๆ

 

ในตอนนี้ผู้อาวุโสแซ่ม่อได้จดจ้องไปที่เยี่ยจง เขาจดจำออกว่าเยี่ยจงก็คือคนที่ม่อฝานหลงสั่งให้คอยจับตาดูเอาไว้ แต่ว่า เขาคงคิดไม่ถึงก็คือ คนที่ได้ครอบครองก้านไม้วิญญาณม่วงไปจะเยี่ยจงที่ดันตกลงไปใต้ทะเลสาบผู้นี้

 

หากนับรวมจากประสบการณ์อันแปลกพิศดานของพวกเขาแล้ว สมควรที่จะแยกแยะออกมาได้หลายส่วน ในตอนที่เยี่ยจงถูกซัดตกลงไปในทะเลสาบ น่าจะมีเบาะแสอะไรซักอย่าง ดังนั้นจึงจงใจกระโดดลงน้ำเพื่อไปตามหาสมบัติล้ำค่า เพียงแต่ว่าถึงแม้ผู้อาวุโสแซ่ม่อจะคิดยังไงก็คิดไม่ออก ว่าเหตุใดเพียงแค่คนรุ่นหลังที่มีพลังอันอ่อนแอในขั้นก่อเกิดขั้นที่สาม ถึงสามารถคงอยู่ใต้ทะเลสาบได้นานเช่นนั้น ? หรือต่อให้เขาไม่ถูกงูเหลือมทมิฬเหล่านั้นทำร้าย เขาก็คงมิมีอากาศในการหายใจใต้น้ำอยู่ดี

 

“ ยังไม่หยุดอีก “

 

หลังจากครุ่นคิดชั่วครู่ ผู้อาวุโสแซ่ม่อก็หัวเราะออกมาอย่างเย็นชา เรื่องเหล่านี้ไม่ว่ายังไงก็ไม่ถือว่าสำคัญ สิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้ ก็คือเยี่ยจงยังมีชีวิตอยู่ ดังนั้น บนร่างกว่าครึ่งคงจะมีก้านไม้วิญญาณม่วงอยู่

 

หลังจากหวนรำลึก ผู้อาวุโสแซ่ม่อก็ขยับมือคราหนึ่ง เหล่ายอดฝีมือที่อยู่ด้านหลังประมาณสิบคนที่มีสีหน้าเยียบเย็นก็ได้ออกมา มุ่งตรงเข้ามาโอบล้อมรอบตัวเยี่ยจง จากนั้น เขาก็หัวเราะเย้ยหย่านใส่เยี่ยจง และค่อยๆชักมือออกปล่อยพลังฝ่ามือออกมา “ เด็กน้อย ข้านั้นมิอาจจะทราบได้ว่าเพราะเหตุใดเจ้าถึงสามารถหลบสซ่อนใต้น้ำได้นานขนาดนี้ แต่ก็ยังไม่ตาย…..เพียงแต่ว่า ในเมื่อตอนนี้เจ้าได้ครอบครองก้านไม้วิญญาณม่วงแล้วละก็ เช่นนี้ ก็นำของออกมามอบแต่โดยดี มอบของออกมา ข้าจะช่วยให้เจ้าจากไปอย่างสบาย “

 

หลังจากสิ้นเสียง ผู้อาวุโสแซ่ม่อก็เริ่มจะเคลื่อนไหว เลือดลมภายในกายไหลเวียน พลังที่มากมายสายหนึ่งได้แผ่พุ่งออกมาจากร่าง จากนั้นเขาก็เคลื่อนไหวอย่างช้าๆออกไป ราวกับภายในร่างกายของเขาตอนนี้มีบางอย่างที่ร้ายกาจอยู่ก็มิปาน

 

นอกเหนือจากครั้งนี้ ก็มียอดฝีมือประมาณสิบคนเริ่มที่จะชักดาบยาวออกมา ใบหน้ายิ้มแย้ม น่าเกียจไร้ที่เปรียบ

 

เยี่ยจงมองไปยังทางฉากเบื้องหน้า ตลอดทั่วทั้งใบหน้ายังคงเต็มเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม ที่แท้ ในดินแดนแห่งนี้ยังมีผู้ที่ไม่ทราบว่าคำว่าตายสมควรที่จะเขียนเยี่ยงไร

.

.

.

.