ตอนที่ 3 วิญญาณผู้พิทักษ์
แผ่นศิลาสักการะถูกสร้างมาจากแผ่นศิลาขนาดยักษ์ มีขนาดค่อนข้างกว้าง สถานที่ของแผ่นศิลาสักการะนั้น อยู่ในบริเวณข้างๆกับมหาวิญญาณผู้พิทักษ์พระไทรวิเศษ บนเนินเขาเล็กๆใกล้ปากทางเข้าหมู่บ้าน
การสักการะนั้นจะเริ่มโดยใช้เลือดจากสัตว์ร้ายย้อมไปทั่วแผ่นหินสักการะจนเป็นสีแดงโลหิต โดยเลือดจะค่อยๆไหลไปตามลวดลายที่สลักบนพื้นผิวของหินสักการะดูเป็นภาพที่สวยงามแต่งแฝงไปด้วยความน่ากลัวในเวลาเดียวกัน

ภายใต้การนำของอดีตหัวหน้าหมู่บ้าน ชาวหมู่บ้านหินผารวมตัวเพื่อประกอบพิธีสักการะ ต่างคนต่างสวดภาวนาขอให้มหาวิญญาณผู้พิทักษ์พระไทรวิเศษ ช่วยปกป้องคุ้มครองหมู่บ้านแห่งนี้ อย่างไรก็ตาม นี่เป็นพิธีการที่ต้องทำให้ลุล่วงทุกครั้งที่การล่าจบลง
ทุกคนต่างก็เชื่อว่ามีจิตวิญญาณผู้พิทักษ์สถิตอยู่ภายในมหาวิญญาณผู้พิทักษ์พระไทรวิเศษ หากพิธีกรรมสักการะยอดเยี่ยม จะเกิดปฏิกิริยาบริเวณรอยไหม้ที่ข้างลำต้นของมหาวิญญาณผู้พิทักษ์พระไทรวิเศษ! โดยมีแสงอันหนาวยะเยือกกระพริบออกมา และถ้าไม่เกิดอะไรขึ้นแสดงว่าการสักการะนั้นไม่ดีพอ

สุดท้าย พิธีการทั้งหมดก็จบสิ้นลง บรรดาชาวบ้านต่างพากันถอนหายใจอย่างโล่งใจ แล้วหันกลับมายิ้มให้กันอีกครั้ง จากนั้นพวกเขาก็พากันช่วยเคลื่อนย้ายบรรดาซากสัตว์ร้าย รีดเลือดออกมาและชำแหละพวกมัน
“หลายปีผ่านมาแล้วนะ ที่จิตวิญญาณผู้พิทักษ์ไม่เคลื่อนไหวเพราะการสักการะของพวกเรา ดูเหมือนเรายังต้องมีการสักการะต่อไปใช่ไหม ” เด็กหนุ่มคนหนึ่งพึมพำด้วยเสียงแผ่วเบา
“เจ้าตัวร้ายเหม็นโฉ่ พูดบ้าอะไรออกมากัน” บิดาของเด็กหนุ่มถลึงตาใส่ พร้อมเงื้อมมือเตรียมตบกะโหลกเจ้าลูกไม่รักดี

อดีตหัวหน้าหมู่บ้านโบกมือเพื่อการกระทำนั้น พลางกล่าวเสียงนุ่ม “พวกเราต้องสักการะแด่จิตวิญญาณผู้พิทักษ์แล้วท่านจะตอบกลับมาเอง จำไว้ว่าจงภาวนาด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์และเปี่ยมด้วยศรัทธาอย่างแรงกล้า แล้วจิตวิญญาณผู้พิทักษ์จะอำนวยพรและปกปักษ์หมู่บ้านของพวกเรา”

เด็กหนุ่มสวนกลับด้วยสีหน้าแดงกล่ำ “ท่านผู้เฒ่า ไม่ใช่ว่าหัวใจข้าไม่ได้ศรัทธา เพียงแต่ข้าอดคิดไม่ได้ว่าความจริงแล้ว จิตวิญญาณแห่งผู้พิทักษ์ไม่ได้ต้องการรับการสักการะจากพวกเรา เพราะท่านไม่เคยแม้แต่จะเคลื่อนไหว”

“ทุกอย่างเป็นไปได้ หากเจ้ามีความมุ่งมั่นมากพอ” ฉีหยุ่นเฟิงตบไหล่ของเด็กหนุ่มเบาๆ พลางอธิบายอย่างใจเย็น
เดิมทีแล้วจิตวิญญาณผู้พิทักษ์มีอีกชื่อหนึ่งว่า ”จิตวิญญาณแห่งการล่า” โดยมีชื่อเต็มว่า “จิตวิญญาณแห่งการล่าและเกื้อหนุน” ทำหน้าที่คอยปกป้องหมู่บ้านและขับไล่บรรดาสัตว์ร้ายที่ออกจากหุบเขามืด

เหล่าผู้อาวุโสต่างก็จำได้ว่าจิตวิญญาณตรงหน้านี้ไม่ได้เคลื่อนไหวมาเป็นเวลา 10ปีแล้ว เมื่อก่อนนั้นที่ตรงนี้เคยมีหินลึกลับตั้งอยู่ หินนี้มักจะดูดซับเลือดของสัตว์ร้ายไปเป็นจำนวนมาก

จนกระทั่งในค่ำคืนหนึ่ง คืนที่มหาวิญญาณผู้พิทักษ์พระไทรวิเศษกำเนิดขึ้นแล้วหินลึกลับถูกเอาออกไป คืนที่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปตลอดกาล

ในคืนนั้นฝนกระหน่ำลงมา ฟ้าแลบแปลบปลาบสลับกับฟ้าร้องดังกระหึ่ม ช่างเป็นพายุที่ทรงพลังและมีอำนาจร้ายแรงเกินจะวัดได้ หุบเขาถูกกระหน่ำอย่างต่อเนื่องด้วยฟ้าผ่าและฟ้าร้อง ราวกับโดนคลื่นมหาสมุทรสาดซัด แม้แต่เหล่าสัตว์ต่างหลีกหนีอย่างลนลาน ช่างเป็นภาพที่สะท้านขวัญยิ่งนัก

เวลานั้นเอง ราวกับต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ (ขอใช้เป็นต้นไม้เพื่อจินตนาการในตอนเริ่มต้นนะครับ) จุติลงมาจากเขตแดนแห่งสวรรค์ ปรากฏขึ้นมาท่ามกลางหมู่เมฆ อาบไล้ไปด้วยทะเลอัสนี สายฟ้าต่างไหลไปทั่วกิ่งก้านของต้นไม้เหมือนดั่งมีโซ่ศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์พันธนาการเอาไว้

ท้ายที่สุดแล้ว เกิดเสียงดังสนั่นที่ต้นไม้ เกิดรอยไหม้สีดำบริเวณลำต้น แล้วค่อยๆลอยลงไปในหมู่บ้านหินผา ตอนนั้นเองที่กระแสไฟฟ้าหายไป พายุฝนที่กระหน่ำลงมาอย่างหนักหน่วงค่อยๆสงบไป และก้อนหินลึกลับก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ทุกครั้งที่ชายแก่คำนึงถึงเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต หัวใจของเขาก็เต้นระรัวราวกลับกลอง มหาวิญญาณผู้พิทักษ์พระไทรวิเศษ นี้ไม่ได้มีต้นกำเนิดมาจากหุบเขามืด แต่กำเนิดมากจากสรวงสวรรค์อย่าแน่นอน ชายแก่แน่ใจเช่นนั้น เหตุใดจึงถูกจู่โจมด้วยทะเลสายฟ้า และฝังรากอยู่ในหมู่บ้านนั้น ไม่มีใครรู้ได้

“เจ้าพวกโง่ พวกเจ้าจงระมัดระวังให้มากกว่านี้ วัตถุดิบพวกนี้ไม่สามารถหาได้ง่ายๆนัก ทั้งเลือด กระดูก เส้นเอ็นล้วนแต่เป็นวัตถุดิบชั้นเลิศ จงอย่าให้เสียของ” เสียงเตือนดังออกมาของอดีตหัวหน้าหมู่บ้าน

เหล่าชาวบ้านต่างช่วยกันใช้มีดเงินชำแหละอย่างประณีต ในขณะที่อีกกลุ่มพยายามจัดการกับโครงร่างของสัตว์ร้าย ประกอบกับเสียงดังกึกก้องและประกายไฟกระเด็นไปทุกที่จากการพยายามชำแหละโครงกระดูก

มีบางคนกำลังเตรียมเหยือกที่มีขนาดยาวที่สร้างด้วยวิธีพิเศษ เพื่อใช้บรรจุเลือดที่กรองออกมาจากตัวสัตว์ร้าย เมื่อนำไปกลั่นจะได้เลือดที่สรรพคุณเป็นยาที่หาได้ยากและล้ำค่ายิ่ง

ท่ามกลางภูเขาวัตถุดิบ มีวัตถุที่ล้ำค่าที่สุด หนึ่งนั้นคือ “ปี่เซียะ”** แม้จะเป็นแค่สายเลือดรอง ไม่ใช่สายเลือดแท้ที่สืบทอดมาจาก ราชาปี่เซียะ โดยตรง(ญาติห่างๆนั่นเอง) แต่ยังมีค่ามหาศาลอยู่ดี

เป็นเวลาสองปีมาแล้วจากครั้งล่าสุด ที่สามารถจับสัตว์ร้ายที่จัดว่าเป็นระดับตำนานเช่น ปี่เซียะ เนื่องด้วยสัตว์ระดับตำนานพวกนี้มีขนาดใหญ่และดุร้ายมาก เพียงตวัดกรงเล็บก็สามารถพรากชีวิตคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้านได้ สร้างความครั่นครามให้แก่พวกเขาอย่างมาก สามารถพูดได้ว่าการล่าครั้งนี้ทำให้พวกเขาได้ประโยชน์มหาศาลจนพูดไม่ออก

“ฟู่วว เลือดที่ไหลมากจากนอของ “แรดเพลิงสองหัว” นี่ก็ไม่ธรรมดา แทบไม่ด้อยกว่าเลือดของ ปี่เซียะเลยชายแก่คนหนึ่งเอ่ยออกมา หลังจากใช้มีดตัดนอแรดออกมาจากผิวหนังที่ไม่ต่างจากเหล็กกล้าของมัน และสังเกตจากเลือดที่ทะลักออกเป็นสีแดงกล่ำ ยามแสงไฟส่องกระทบเกิดเป็นประกายคล้ายกับไฟลุกโชติช่วง

“ท่านหัวหน้า เขาของช้างเขามังกรนี่เป็นของชั้นเลิศเช่นกัน ถ้าพวกข้าไม่ได้ไปเจอมันตอนที่กำลังใกล้ตาย คงยากนักที่จำนำมันกลับมาได้” เด็กหนุ่มกล่าวออกมา
ฉีหยุ่นเฟิงพยักหน้ากล่าวออกมา “เขาของช้างเขามังกรค่อนข้างหายากมากจงตัดออกมาอย่างระมัดระวัง มันสามารถนำไปปรุงเป็นยาวิเศษที่สามารถเชื่อมกระดูกได้”
“ขาของปีศาจขาเดียวช่างเหนียวและทนทานยิ่งนัก ต้องเป็นเพราะเต็มไปด้วยกล้ามเนื้อแน่นอน แม้กระทั่งขวานยังผ่าไม่เข้า”

“ทั้งหมดล้วนแต่เป็นของดีทั้งสิ้น, เฮ้ย!! เจ้าพวกเด็กบ้าระวังให้มากกว่านี้ อย่าทำให้เลือดอันล้ำค่าของอสรพิษเวหาต้องเสียเปล่านะเฟ้ย”
ชาวบ้านทั้งหมดต่างมีความสุข สังเกตได้รอยยิ้มบนหน้าของพวกเค้า
พวกเด็กๆต่างหดคอและสลายตัวกันไปอย่างรวดเร็ว พวกเขารู้ส่วนใหญ่เลือดและกระดูกต่างเป็นยาที่จะใช้กับร่างกายของพวกเขา จึงต้องใช้“ความอดทน”อย่างมากในการจัดการ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเด็กสลายตัวไป
พวกเขาใช้เวลาไปครึ่งวันเต็มสำหรับการจัดการกับสิ่งล้ำค่าได้มาจากเหล่าสัตว์ร้าย หัวหน้าหมู่บ้านและเหล่าผู้อาวุโสต่างก็พยักหน้าด้วยความพึงพอใจก่อนจะนำเหยือกที่บรรจุเลือดไปเก็บรักษา

“พวกเรามีเนื้อมากมายนัก ควรแบ่งเป็นส่วนๆ ไว้สำหรับรมควันและหั่นบางๆไปตากแดด ทำเป็นเนื้อแดดเดียว” ผู้อาวุโสคนหนึ่งเอ่ยออกมา

วัตถุดิบที่ได้จากสัตว์ร้ายกองรวมกันเหมือนภูเขาย่อมๆ หากทิ้งไว้หลายวันอาจทำให้เกิดการเน่าเสียได้ สำหรับบรรดาชาวบ้านที่ต้องพบเจอกับความอดอยากอยู่เสมอ พวกเขาไม่มีทางยอมรับได้แน่

เหล่าหญิงสาวจากแต่ละบ้านต่างก็เข้าแบ่งเนื้อกลับไป ด้วยใบหน้าที่มีรอยยิ้มอันสดใส หลังจากที่ก่อนหน้านั้นมีเพียงแต่ความวิตกกังวลเนื่องจากความเป็นห่วง แต่ตอนนี้พวกเขากลับมาอย่างปลอดภัยและมาพร้อมกับผลผลิตที่มากมาย นั่นเปรียบได้กับของขวัญที่ยิ่งใหญ่จากสวรรค์เลยทีเดียว

ควันที่ขดรวมกันคล้ายดอกกุหลาบลอยออกมาจากปล่องควัน หลังจากนั้นครึ่งชั่วโมง กลิ่นหอมของเนื้อเริ่มแพร่กระจายออกมาจากหม้อโลหะที่มีเนื้อตุ๋นที่ใกล้จะเสร็จ จนแทบจะทำให้เด็กๆรอไม่ไหว อีกทั้งยังเนื้ออบบนกองไฟ เริ่มกลายเป็นสีเหลืองทองกรอบและเป็นเงาเพราะน้ำมันในเนื้อและค่อยๆไหลลงกระทบกับกองไฟเป็นเสียง ซู่ ซู่ สร้างเสียงกลืนน้ำลายได้ไม่ยาก เหล่าชายฉกรรจ์ทั้งหลายแทบไม่อาจควบคุมตัวเองได้เพราะความปรารถนา พวกเขาเหลือบไปที่เนื้อพร้อมทั้งมีน้ำไหลออกจากปาก

“เจ้าเด็กน้อย นี่คือเนื้อ ปี่เซียะ กินเข้าไปเยอะๆ จะทำให้เจ้าแข็งแกร่งขึ้น ”

“เจ้าเด็กบ้า กินให้มากกว่านี้เซ่ นี่เป็นเนื้อแรดเพลิงสองหัวเลยนะ มันจะทำให้ผิวหนังเจ้าทนทานดั่งเหล็กกล้า”

ด้วยเนื้อมากมายจากเหล่าสัตว์ร้าย ทำให้มื้อนี้เป็นที่อุดมสมบูรณ์ยิ่งนัก กลิ่นหอมของเนื้อโชยออกไปทั่วถนน สร้างเสียงหัวเราะครื้นเครงดุจดั่งงานฉลองเทศกาลประจำหมู่บ้าน
ปล.**** ปี่เซียะ มีรูปร่างและเขาคล้ายกวาง แต่มีหน้า, หัว, ขาคล้ายสิงโต, มีปีกคล้ายนก, หลังคล้ายปลา และมีส่วนหางคล้ายแมวปนไปด้วยท้องและบางส่วนของหัวคล้ายมังกร เป็นสัตว์สี่ขา และเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ช่วยป้องกันและปัดเป่าภยันตรายและภูตผีปีศาจ สิ่งไม่ดีต่าง ๆ ได้ เชื่อว่าถูกแบ่งเป็นตัวผู้ชื่อ ปี่ (貔) และ ตัวเมียชื่อ เซียะ (貅)

ปัจจุบัน มีการบูชาปี่เซียะ โดยมักทำเป็นรูปเคารพของสัตว์ที่มีลักษณะดังกล่าวในลักษณะหมอบ และมักทำเป็นคู่กัน