ภายใต้การนำสวดภาวนาของหัวหน้าและเหล่าผู้อาวุโส บรรดาชายฉกรรจ์ทั้งหมดต่างก็มีสีหน้าเคร่งขรึม ในระหว่างการทำพิธี ทั้งยังสตรีและเด็กทั้งหมดต่างก็รีบออกมารวมตัวกัน และสวดภาวนาต่อเทพพฤกษาเงียบๆในใจ ให้แก้ทีมนักล่าที่ออกไปทำภารกิจให้กลับมาอย่างปลอดภัย

หุบเขามืด เป็นพื้นที่ที่อันตรายอย่างแท้จริง หากมีใครออกไปยังภายนอกโดยพ้นจากอาณาเขตการปกปักษ์ของหมู่บ้านและมหาวิญญาณผู้พิทักษ์พระไทรวิเศษ!(ขอเรียกแบบนี้ไปก่อนนะครับใครมีที่ดีกว่านี้ก็บอกกันได้)คนผู้นั้นจะต้องถูกสังหารโดยนกปีศาจและสัตว์อสูรแทบจะทันที

แล้วอย่างไรเล่า กลุ่มนักล่านี้ต่างประกอบไปด้วยคนที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่บ้าน ทุกคนต่างก็สะพายดาบเหล็กกล้าและคันธนูขนาดใหญ่ไว้ที่หลัง และเริ่มออกเดินทางไปตามลำธารเล็กๆที่ไหลออกมาจากหุบเขามืด เมื่อออกเดินทางได้ครู่เดียว ทุกคนต่างก็สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายความหดหู่ที่ลอยอยู่ในบรรยากาศ

เมื่อกลุ่มนักล่าออกไปได้ซักพัก อดีตผู้นำหมู่บ้าน ฉีหยุ่นเฟิง ได้เดินนำกลุ่มเด็กๆ ไปที่สนามหญ้าหน้าหมู่บ้านและนั่งไขว่ห้างบนหิน แล้วเอ่ยออกมา “เจ้าพวกลิงน้อยทั้งหลาย จงนั่งลงแล้วเรียนรู้ให้หนัก”

กลุ่มเด็กนั่งลงทันทีด้วยความหดหู่ และพวกเขาต่างก็แสดงสีหน้าปั้นยาก พวกเขานั่งลงด้วยความฝืนใจ จนดูเหมือนพืชที่กำลังเหี่ยวเฉา
“ท่านผู้เฒ่าขอรับ ภาษานก? กับการเขียนแบบเต่า? มันซับซ้อนมากพอๆกับสัญลักษณ์ของฮอบกอบลินเลยนะขอรับ มันไม่ยากไปเกินไปหรอกเหรอ แล้วเราจะเรียนไปทำไมกัน”

“แน่นอนว่ามันไม่มีประโยชน์หรอก ถ้าเจ้าไม่ใช่นักธนู”
กลุ่มเด็กๆทำหน้าบูดบึ้งออกมาทันทีที่ได้ยิน พวกเข้าต่างก็รู้สึกขัดแย้ง
“เจ้าพวกเด็กน้อย ช่างไม่รู้อะไรเลยเสียจริง ตำรากระดูก ถูกสร้างมาจากการทำสัญลักษณ์เป็นตัวอักษรสลักบนกระดูก ถูกฝังให้คนรุ่นหลังไว้ในซากโบราณเก่าแก่ด้วยพลังลี้ลับ ผู้คนต่างก็อยากครอบครอง แต่ก็ไม่เคยมีใครได้อ่านมันซักครั้ง พวกเจ้าจะพบกับความสำเร็จ หากได้เรียนสิ่งนี้จะมีซักกี่ครั้งกัน ที่ได้รับโอกาสที่จะแข็งแกร่งดั่งเช่นพ่อแม่ของพวกเจ้า” ชายแก่ดุเหล่าเด็กน้อยหลังจากเห็นใบหน้าที่ไม่ตั้งใจของพวกเค้า

“ท่านผู้เฒ่า ช่วยแสดงพลังของตำรากระดูกให้พวกข้าได้หรือไม่ ขอรับ” เด็กที่โตที่สุดเป็นคนกล่าวออกมา
“เจ้าหนู มานี่หน่อย” ชายแก่ตะโกนเรียกเด็กน้อยที่อยู่ไกลออกไป

เด็กน้อยที่เคยวิ่งไล่จับกับนกกระจอกห้าสี บัดนี้กำลังใช้พลังอย่ากมากในการดึงหางของสุนัขสีเหลืองตัวเขื่อง หันไปตามเสียงเรียกอย่างงงงวย เด็กน้อยไปล่อยมือทันทีและวิ่งไปหาพร้อมทั้งส่ายก้นน้อยๆของตน เบิกตากลมโต พร้อมถามว่า “ท่านผู้เฒ่าต้องการอะไรหรือขอรับ”
“ข้าต้องการให้เจ้าใช้สิ่งที่ข้าเคยสอนจากตำรากระดูก” ฉีหยุ่นเฟิง กล่าวตอบเด็กน้อย

“ได้ขอรับ” ช่างเป็นเด็กน้อยที่เชื่อฟังยิ่ง ตอนนั้นเองเด็กน้อยค่อยๆยื่นมือเล็กออกมา พร้อมทั้งเม้มปากแน่น เกร็งทั้งร่างกายเพื่อใช้พลัง เป็นเหตุใบหน้าเล็กนั่นกลายเป็นสีแดงระเรื่อ
“วิ้งงง” มีเสียงดังขึ้น ที่ฝ่ามือทั้งสองของเด็กน้อยปรากฏแสงเจิดจ้า มีพลังบางอย่างไหลออกมาจากฝ่ามือ มีสีเหมือนเหล็ก ไม่นานนักพลังนั่นก็ครอบคลุมทั่วทั้งมือทั้งสองของเด็กน้อย ราวกับว่ามือทั้งสองทำมาจากเหล็กกล้าก็ไม่ปาน

เด็กน้อยเดินไปที่หินขนาดใหญ่กว่าตัวของเด็กน้อย พร้อมยกขึ้นมาอย่างง่ายดาย

“แข็งแกร่งสุดยอดดด” เหล่าเด็กอุทานออกมาอย่างตื่นเต้น นี่เป็นเพียงแค่เด็กน้อยมิใช่หรือ เหตุใดจึงสามารถยกก้อนหินนั่นได้อย่างง่ายดาย

“เจ้าหนู นั่นเพราะพลังนั่นได้มาจากการดื่มนมใช่หรือไม่” เหล่าเด็กโตล้อเลียนเด็กน้อย
“ใช่แล้ว ข้าใช้พลังไปจนหมดเลย” เด็กน้อยวางก้อนหินลง พร้อมทิ้งตัวนั่งไปกับพื้น ยิ้มแย้มโดยไม่แสดงความขุ่นเคืองแม้แต่น้อย ช่างเป็นเด็กที่ใสซื่อยิ่งนัก ทันใดนั้น ฝ่ามือของเด็กน้อยก็ซีดลงเล็กน้อย

“อย่าตื่นเต้นเกินไปนัก นี่เพียงแค่พลังพื้นฐานของเนื้อหาในตำราเท่านั้น เมื่อเปรียบกับพลังวิเศษจากในตำนานตำรากระดูกแล้ว ยังห่างไกลนัก ” ชายแก่พยักหน้าพลางกล่าวออกมา

“ท่านผู้เฒ่าสามารถเล่าเรื่องราวโลกภายนอกได้หรือไม่ ขอรับ” เหล่าเด็กน้อยทำสีหน้าเต็มไปด้วยความคาดหวัง

ทุกคนภายในหมูบ้านรู้ดีว่า อดีตหัวหน้าหมู่บ้าน ฉีหยุ่นเฟิง เคยเดินทางไปกับกลุ่มของเขาเพื่อไปที่สุดขอบดินแดนของ มารดาแห่งศิลา (ของเรียกแบบนี้ไปก่อนนะครับ งง ) เพื่อสำรวจพื้นที่รอบนอกโลก  อย่างไรก็ตาม สิบปีผ่านไป มีเพียงแค่สองคนที่กลับมาได้ ในลักษณะที่ชุ่มไปด้วยเลือด หนึ่งในสองคน ตายไปหลังจากนั้นไม่นาน เหลือเพียง ฉีหยุ่นเฟิง คนเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่

“โลกภายนอก…” ชายแก่ค่อยระลึกถึงอดีต หลังจากจมกับความเศร้าไม่นานก็กล่าว “โลกใบนี้มีขนาดใหญ่โตมากจนดูเหมือนไร้ขอบเขต เพียงแค่หนึ่งทวีปก็มีพื้อที่ไมต่ำกว่าหนึ่งล้านลี้ ไม่เคยมีใครรู้ว่ามันกว้างมากถึงขนาดไหน ในช่วงชีวิตของคนใช้เวลาไปกับการเดินทางไปยังไม่สามารถไปได้ทั่วทั้งหนึ่งทวีปเลยด้วยซ้ำไป ผู้คนที่อาศัยในแต่ละทวีปแทบจะไม่มีทางติดต่อสื่อสารกันระหว่างทวีปได้เลย เพราะเต็มไปอันตรายอย่างมาก ในทุกพื้นที่มีเหล่าสัตว์ร้ายที่มีเอกลักษณ์หลากหลายตามแต่ละเผ่าพันธุ์ พวกมันทั้งดูน่าสะพรึงกลัวจนยากจะจัดการ  เหล่าอสูรร้ายมีมากกว่าหนึ่งแสนกลุ่มสายพันธุ์และมีเมืองที่ชั่วร้ายมากมาย แต่ก็ยังมีโอกาสถูกทำลายจากเผ่าพันธุ์ดึกดำบรรพ์ได้เช่นกัน และแน่นอนว่ายังมนุษย์ที่พลังที่ไม่อาจหยั่งถึงเทียบได้กับสายพันธุ์ดึกดำบรรพ์ พวกเขาต่างก็ครอบครองพลังอำนาจที่ไร้ผู้ต้าน”

เหล่าเด็กต่างก็รู้สึกเคารพนับถือขึ้นในจิตใจ แต่ในเวลาเดียวก็รู้สึกกระหายและมีความอยากรู้อยากเห็นเกี่ยวกับโลกภายนอก มีบางคนถามว่า “ในแผ่นดินนี้ เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมีอัญมณีหรือยาวิเศษช่วยให้เหมือนเกิดใหม่ หากมีการแข่งขันระหว่างมนุษย์ แล้วจะวัดความแข็งแกร่งกันได้อย่างไร? ขอรับ ”
ชายแก่หัวเราะเสียงดัง แล้วพูดออกมา “หากเจ้าต้องการจะรู้ เจ้าต้องแข็งแกร่งให้ได้ซะก่อน”
“หากพวกเราบรรลุพลังลึกลับจากตำรากระดูก พวกเราจะสามารถท่องไปทั่วดินแดนภายใต้ท้องฟ้านี้ได้หรือไม่ ขอรับ” เด็กบางเริ่มเผยให้เห็นความกระหายในบางอย่าง
ฉีหยุ่นเฟิงลูบหัวเด็กคนนั้น พร้อมกล่าวว่า “ไม่ต้องเอ่ยถึงทวีปอื่นหรอก เพียงทวีปที่เราอยู่แทบเป็นไปไม่ได้ที่จะเดินทางไปอีกฟากหนึ่งของทวีป”
พวกเด็กๆ ออกอาการเงิบพร้อมๆกัน

“ทั้งหมดที่ข้าพอจะทำได้ คือชี้แนะพวกเจ้าไปในทางที่ถูกต้องเท่านั้น หลังจากนี้ล้วนเป็นการตัดสินใจด้วยตัวพวกเจ้าเอง ข้าจะสอนในสิ่งที่จะทำให้พวกเจ้าไม่ด้อยกว่าใคร ไม่ให้เหมือนที่ข้าเคยประสบมาจากโลกภายนอก” ชายแก่พูดสิ่งที่ต้องการออกมา พร้อมเผยแววตาเจิดจ้า และนำมือถูกับหยกจากต่างแดนที่ห้อยอยู่ตรงหน้าอก
หลังจากนั้นเหล่าเด็กๆนั่งเป็นวงกลมล้อมรอบชายแก่ ทั้งมีสมาธิและจดจ่อไปที่การเรียนรู้ เมื่อ  ถึงยามเที่ยง เหล่าเด็กก็แยกย้ายกัน

“ช่างยากเหลือเกิน ท่านผู้เฒ่ากำชับว่า ต้องใช้เวลาถึงสองสามไปเพื่อให้พลังของตำรากระดูกค่อยๆซึมซับเข้า เมื่อถึงตอนนั้นจะเข้าถึงจุดที่ผู้คนส่วนมากต่างไม่เคยไปถึงมาก่อน”
“แต่เจ้าเด็กนั่นกลับทำได้แล้ว”

ในขณะที่เด็กน้อยผู้อ่อนต่อโลกกระพริบตากลมโตอีกครั้งและอีกครั้ง ก่อนที่เริ่มดึงหางของเจ้าสุนัขสีเหลืองตัวเขื่อง จนเจ้าสุนัขเริ่มเห่าออกมาอย่างร้อนรน
ตะวันกำลังลับขอบฟ้า แสงอาทิตย์ยามตกดิน ส่องไปกระทบหมู่บ้านศิลาก่อให้เกิดประกายแสงสีทองเรืองรอง ในเวลานั้น บ้านศิลาจำนวนมากช่างดูเหมือนสถานปัตยกรรมโบราณศักดิ์สิทธิ์และแฝงความสงบยิ่งนัก

ทันใดนั้นเอง แลเห็นกลุ่มคนเล็กๆกลุ่มหนึ่งเคลื่อนที่มาจากเส้นขอบฟ้า เงาของพวกเขายืดยาวออกไปเพราะแสงตะวัน ร่างกายของพวกเขายามถูกอาบไปด้วยแสงอาทิตย์ช่างดูสง่างามและทรงพลัง พวกเขากำลังลากหัวของสัตว์ร้ายตามมาด้วยมือของพวกเขา ราวกับจะแสดงให้เห็นถึงความอุดมสมบูรณ์ในการล่า
“พวกเขากลับมาแล้ว” มีเสียงมาจากเหล่าหญิงสาวและเด็กที่กำลังยืนอยู่หน้าหมู่บ้าน พวกเขาตะโกนออกมาอย่างบ้าคลั่งเพื่อปลดปล่อยความกลัวและความกังวลใจออกมา
“ท่านพ่อและคนอื่นๆกลับมาอย่างปลอดภัย !! ”
“โอ้ว สวรรค์ พวกเขากลับมาพร้อมกับเหยื่อมากมาย พวกเขาได้ผลผลิตที่หายากและยอดเยี่ยมกลับมา”

การล่าครั้งนี้ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม และกลุ่มนักล่าก็สามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัยปราศจากการสูญเสีย เหยื่อที่ได้กลับมาคือ “ช้างเขามังกร” เนื้อของมันมีรสชาติเหมือนกับเนื้อวัวยิ่งไปกว่านั้น ในถังวัตถุดิบยังเต็มไปด้วย “อสรพิษเวหา” จำนวนมาก สร้างความตกใจให้กับเหล่าจิ้งจอกเฒ่าอย่างมาก เพราะโดยปกติในวันแห่งการล่านั้น จะค่อนข้างล่าเหยื่อได้น้อยมากยังไงก็ตามสัตว์ร้ายก็ยังเป็นสัตว์ร้าย ร่างของกลุ่มนักล่าต่างก็เต็มไปเลือด แต่ก็สามารถรอดกลับมาได้ ช่างน่าเหลือเชื่อยิ่งนัก
อย่างเช่น ช้างเขามังกร ผิวหนังของไม่ต่างจากเหล็กทำให้อาวุธแทบไม่มีผลกับตัวมัน อีกทั้งยังเขาที่คมดุจดั่งใบมีด สามารถผ่าศัตรูเป็นส่วนๆ ได้อย่างง่ายดาย ยังมีอสรพิษเวหาที่เกิดมาพร้อมกับปีกที่น่าสะพรึงกลัว พวกมันถูกขนานนามว่าเป็นนักฆ่าแห่งหุบเขา อาศัยบนยอดเขาและค่อยซุ่มสังหารโดยการโฉบลงมาหาเหยื่อที่ไม่ระวังตัว นั่นคือความน่ากลัวของพวกมัน และยังมีเหยื่ออีกมากมายที่ไม่สามารถล่าได้อย่างง่ายดาย แต่พวกเขากลับทำได้ในวันนี้

“ในเวลานี้ พวกเราช่างโชคดียิ่งนัก ที่กลับมาพร้อมกับเหยื่อมากมายและยังปราศจากการสูญเสีย” ฉีหลิงหู่ หัวเราะพลางกล่าวออกมา หัวหน้านักล่าเล่าให้เหล่าชาวบ้านฟังว่าทำไมพวกเขาถึงล่าได้มากมาย เนื่องจากการปรากฏตัวของบางอย่างเคลื่อนตัวบนพื้นดินสั่นสะเทือนไปทั้งหุบเขา ทำให้เหล่าสัตว์ร้ายต่างบาดเจ็บมากมาย ยิ่งบางตัวบาดเจ็บหนัก ทำให้ง่ายต่อการออกล่า หลังจากล่าได้มากพอแล้วก็พากันกลับมา

“รอยเท้าของ “เจ้านั่น” ดูเหมือนกับมนุษย์ แตมีขนาดใหญ่กว่ามาก ดูจากรอยเท้าน่าจะสูงไม่ต่ำกว่า 100 เมตร”

“ช่างใหญ่โตยิ่งนัก” เสียงอุทานดังมาจากเหล่าชาวบ้าน ช่างเป็นข่าวที่น่าตื่นตระหนก

เมื่อเหล่าผู้อาวุโสได้ฟังข่าวที่น่าตระหนก ต่างพากันสูดลมหายใจอย่างหนาวเหน็บ เมื่อได้รู้ข้อมูลของต้นเหตุที่ทำให้สัตว์ร้ายในหุบเขามืดพากันตื่นตระหนกและหวาดกลัว

แต่ยังไงก็ตามการเก็บเกี่ยวครั้งนี้ ได้ผลลัพธ์ที่ดียิ่ง ผู้คนต่างมีความสุขเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะหมู่บ้านศิลาในตอนนี้อบอวลไปด้วยบรรยากาศแห่งความรื่นเริง
(ขอเปลี่ยนจากหมู่บ้าน หินผา เป็นหมู่บ้าน ศิลา นะครับ)