…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………
ภายใต้สายตาของคนจากตระกูลถังทั้งหมด ถังซิ่วก็ได้จับไปที่ข้อมือของถังหยุนดี่ก่อนที่จะสัมผัสถึงชีพจรของเขา สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกทึ่งก็คือแม้ว่าอัตราการเต้นของชีพจรของเขาจะต่ำและสูญเสียพลังชีวิตไปมากมายแต่ระบบภายในก็ยังทำงานได้ดี
และ
หากว่าเป็นอย่างนี้เขาก็ยังใช้ชีวิตอยู่ได้อีกหลายสิบปี
เมื่อได้วางข้อมือของเขาลงแล้วถังซิ่วก็ได้พยุงตัวเขาขึ้นมาอยู่ในท่านั่งพร้อมกับแตะไปที่หน้าผากของเขาแล้วส่งพลังแห่งดวงดาราเข้าไป
ระบบสมองนั้นเป็นสิ่งที่ลึกลับที่สุดของมนุษย์ สมัยที่เขายังอยู่ที่ดินแดนแห่งนิรันด์นั้นเขาสามารถใช้สมองของเขาได้ทั้งหมด60% ส่วนที่เหลือนั้นเขาไม่สามารถทำอะไรกับมันได้
เมื่อตรวจสอบแล้วท่าทางของเขาก็เปลี่ยนเป็นหน้าเกลียดทันทีเพราะว่าเขาพบว่าที่สมองของถังหยุนดี่นั้นมีเลือดเสียคั่งอยู่และมันเองก็ได้แข็งตัวเป็นเหมือนของแข็งพร้อมกับปิดกั้นการสูบฉีดของเส้นเลือด ยิ่งไปกว่านั้นคือเส้นประสาทของเขาได้ถูกตัดการเชื่อมต่อกับจิตใจของเขาและข้างในนั้นยังมีสิ่งแปลกปลอมสีเทาๆซึ้งปิดกั้นไม่ให้เขาได้สติกลับคืนมา
ติดอยู่ในห้วงจิตสำนึก
นี่เป็นสิ่งที่ถังซิ่วเองก็เคยได้ลิ้มรสแล้ว
ก่อนหน้านี้วิญญาณของเขาเองก็ได้หลุดไปที่ดินแดนแห่งนิรันด์ก่อนที่จะไปเข้าสิงร่างของคนอื่นและติดอยู่ในนั้นโดยที่ทำอะไรไม่ได้กว่าสามเดือน โชคดีที่สุดท้ายแล้วเขาได้รับโอกาสที่จะสามารถยึดครองร่างนั้นได้
รสชาติของการติดอยู่ให้ห้วงจิตสำนึกนั้นเป็นอะไรที่เจ็บปวดและทรมานอย่างมาก!
พักก็ไม่ได้ หลับก็ไม่ได้ ตายก็ยังไม่ได้ เขาทำได้เพียงล่องลอยอยู่ในพื้นที่ที่มืดมิด หากว่าพลังใจกล้าแกร่งนั้นก็จะสามารถทนอยู่ได้นานแต่ถ้าเป็นคนที่ใจไม่แข็งนั้นก็คงจะกลายเป็นบ้าทันที
หลังจากผ่านไป45นาที
ถังซิ่วเองก็ได้ถอนมือของเขากลับมาพร้อมกับจิตสัมผัสของเขา เขาสามารถรักษาอาการบาดเจ็บของถังหยุนดี่ได้แต่มันเป็นอะไรที่อันตรายอย่างมาก มันไม่ใช่แค่อันตรายสำหรับตัวถังหยุนดี่เท่านั้นแต่รวมไปถึงตัวของเขาเองด้วย
“ซิ่วน้อย เป็นอย่างไรบ้าง ?”
ซูหลิงหยุนที่ยืนอยู่ข้างๆนั้นก็ได้ถามออกมาด้วยสีหน้าที่คาดหวัง
ถังซิ่วเองก็ได้มองไปที่ใบหน้าของเธอก่อนที่จะถอนหายใจออกมา แม้ว่าความสามารถใจการเดาใจคนของเขาจะต่ำแต่ใครๆก็สามารถเห็นท่าทางที่คาดหวังได้จากสีหน้าของเธอ
“คุณแม่ เขาสำคัญกับแม่มากขนาดนั้นเลยหรอ ? ”
ถังซิ่วได้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกมา
ซูหลิงหยุนเองก็ได้ตอบกลับไปว่า
“สำคัญมากๆ พวกเธอสองพ่อลูกนั้นสำคัญที่สุดสำหรับแม่”
?
ถังซิ่วเองก็ได้คำตอบในหัวใจของเขาแล้วพร้อมกับมองไปที่ถังเกาเชิงแล้วพูดด้วยน้ำเสียงโทนต่ำว่า
“ผมไม่สามารถรับประกันได้100%แต่ก็จะลองดู ไปหาที่เงียบๆให้เราที่ไม่มีคนมารบกวนยิ่งไปกว่านั้นเอาเข็มเงินมาด้วย ”
ดวงตาของถังเกาเชิงเองก็ได้เป็นประกายทันทีพร้อมกับพูดออกมาว่า
“ฉันจะจัดการทันที นอกจากเข็มเงินแล้วยังต้องการอะไรอีกไหม ? ”
ถังซิ่วเองก็ได้พูดออกมาว่า
“หากว่าตระกูลถังของคุณทำได้ก็ช่วยไปที่ตลาดสมุนไพรแล้วซื้อหญ้ามังกรรมควันมาเยอะๆ จำไว้ว่าสมุนไพรชนิดนี้หายากมากๆและราคาของมันเองก็ค่อนข้างสูง สามารถซื้อมาได้เท่าไหร่ก็เท่านั้น”
หญ้ามังกรรมควัน ?
ถังเกาเชิงเองก็ได้หันหน้ากลับไปพร้อมกับตะโกนออกมาอย่างดังว่า
“ได้ยินกันแล้วหนิ ไปหามาให้ฉันเดี๋ยวนี้ รีบๆไปภายในสามชั่วโมงนี้ต้องหาสิ่งที่ถังซิ่วต้องการมาให้หมด”
“ครับผม !”
คนของตระกูลถังกว่าหลายสิบคนก็ได้ปฏิบัติตามพร้อมกับรีบวิ่งออกไปทันที
ถังเกาเชิงเองก็ได้มองไปที่ถังซิ่วขณะที่ถอนหายใจออกมาเงียบๆ เขาได้ถามออกมาด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลว่า
“ถังซิ่ว ครอบครัวของพวกเรากำลังไปหาสมุนไพรที่เธอต้องการและจำเป็นต้องใช้เวลาอยู่บ้าง ตอนนี้มันก็เย็นแล้วเรามาทานอาหารกันก่อนเถอะ ! แม้ว่าเธอจะไม่หิวแต่แม่ของเธอนั้นหิวแน่นอน ”
ถังซิ่วเองก็ได้มองไปที่ดวงตาของซูหลิงหยุนที่นั่งจับมือถังหยุนดี่อยู่ข้างๆก่อนที่จะพยักหน้าช้าๆ
ชินฉางเย่เองก็ได้พูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า
“ฉันจะไปเตรียมอาหารด้วยตัวเอง”
เมื่อพูดจบเธอก็รีบเดินจากไปทันที
ถังซิ่วได้มองไปที่หลังของเธอที่กำลังเดินจากไปด้วยความอบอุ่นในหัวใจ เขารู้สึกต่อต้านตระกูลถังก็จริงแต่เขาก็ได้สังเกตเธออยู่แล้วพบว่าทุกๆท่วงท่าของเธอจะเต็มไปด้วยความรู้สึกจริงใจ เอ็นดูและรักใคร่
เขาไม่ใช่คนที่มีหัวใจเหมือนหินผา คำพูดก่อนไปของเธอนั้นได้กระตุ้นความรู้สึกของเขาเป็นอย่างมากแม้ว่าตัวเขาเองก็ยังแอบยอมรับเธอเป็นคุณย่าตั้งแต่แรกพบ
“เราไปกันเถอะ !”
ถังซิ่วได้ถอนสายตาของเขาก่อนที่จะมองไปที่ถังเกาเชิง
ห้องโถงหลัก
ถังซิ่วได้นั่งลงบนโซฟาพร้อมกับหลับตาลง ในเมื่อเขาตัดสินใจที่จะรักษาถังหยุนดี่แล้วเขาก็ต้องเตรียมพลังใจให้เต็มร้อย
เพราะ
หากต้องการที่จะกำจัดสิ่งแปลกปลอมสีเทาๆพวกนั้นเขาจำเป็นต้องใช้จิตวิญญาณของเขา หากว่าเปาจิตวิญญาณสมัยที่อยู่ในดินแดนแห่งนิรันด์นั้นเขาคงทำเสร็จเร็วเหมือนการดีดนิ้วแต่ตอนนี้เขาอ่อนแอมากถึงขั้นที่เขาไม่มีความมั่นใจด้วยซ้ำ เขาต้องกำจัดสิ่งแปลกปลอมพร้อมกับขับเลือดเสียแล้วซ่อมแซมเส้นประสาทพร้อมๆกัน
สมองของมนุษย์เป็นสิ่งที่ซับซ้อนเกินไป เขารู้ถึงความสามารถของเขาดีว่าหากเขาไม่สามารถทำได้ก็อาจจะทำให้ถังหยุนดี่ต้องเสียชีวิต
แต่ในกรณีที่แม่ของเขาสามารถรอจนเขาแข็งแกร่งได้แล้วค่อยกลับมารักษานั้นไม่น่าจะเป็นไปได้เพราะเธอได้รอมากว่า20ปีแล้ว
ผ่านไปเกือบหนึ่งชั่วโมง
ชินฉางเย่เองก็ได้เดินมาที่ห้องโถงพร้อมกับมองไปที่ถังซิ่วด้วยความรักก่อนที่เธอจะพูดออกมาว่า
“หลานย่า อาหารได้ถูกจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้วไปทานพร้อมกันเถอะ !”
ถังซิ่วเองก็ได้เปิดตาขึ้นพร้อมกับพยักหน้าให้กับเธออย่างอ่อนโยนพร้อมกับเดินไปที่ห้องข้างๆและพบว่าแม่ของเขากำลังเขย่ามือของถังหยุนดี่เพื่อระบายความรู้สึกคิดถึงกว่า20ปีมานี้ เขาได้ถอนหายใจออกมาพร้อมกับแตะไปที่ไหล่ของเธอแล้วพูดว่า
“คุณแม่ ไปทานข้าวกันก่อนเถอะ ! เมื่อกินอิ่มแล้วแม่ค่อยกลับมาพูดกับเขา”
“ก็ได้ !”
ซูหลิงหยุนเองก็หันหน้ากลับมาพร้อมกับรอยยิ้ม
ดูเหมือนว่าหลังจากที่ผ่านเรื่องร้ายๆมาแล้วเธอก็ได้ประสบกับเรื่องที่มีความสุขเป็นอย่างมาก ความหวังของเธอทั้งสองกว่า20ปีนั้นคือ หนึ่ง ลูกชายเธอสามารถเข้าเรียนที่มหาวิทยาลัยชั้นนำได้อย่างราบรื่นอย่างที่สองคือหาตัวสามีที่หายไปกว่า20ปี ตอนนี้เธอได้รับมันทั้งหมดแล้วแม้ว่าเขาจะไม่ได้สติก็ตามแต่เธอก็รู้สึกพอใจแล้ว หากว่าลูกชายของเธอสามารถรักษาอาการของเขาได้ต่อให้เธอต้องตายเธอก็จะไม่บ่นแม้แต่น้อย
อาหารเย็น
บนโต๊ะอาหารได้มีคนอยู่ทั้งหมดสี่คน
ถังเกาเชิง ชินฉางเย่ ถังซิ่วและซูหลิงหยุน
กลิ่นหอมของอาหารตลบอบอวนไปทั่ว ชินฉางเย่เองก็ได้ตักอาหารให้สองแม่ลูกอย่างไม่หยุดหย่อนด้วยใบหน้าที่มีแต่รอยยิ้มซึ่งทำให้ถังซิ่วรู้สึกดีเป็นอย่างมาก เขาได้ทานอาหารไปสองถ้วยใหญ่พร้อมกับผักอีกมากมาย
ณ ตอนนี้
ถังซิ่วรู้สึกได้ถึงความเป็นห่วงจากคนของตระกูลถังพร้อมกับบรรยากาศของความเป็นญาติมิตร เพียงแค่คำพูดไม่กี่คำของถังเกาเชิงก็สามารถทำให้ทุกคนในบ้านออกไปหาหญ้ามังกรรมควันทันที
“พวกเขา…….เป็นคนที่ดีจริงๆ”
ถังซิ่วได้กินอื่นหนำสำราญพร้อมกับคิดคำพูดนี้อยู่ภายในใจ
“คุณปู่ คุณย่า !”
ณ ตอนนี้ก็ได้มีเสียงส่งออกมาจากทางหน้าประตูพร้อมกับชายหนุ่มที่รีบวิ่งเข้ามา หลังจากที่เขาเห็นถังซิ่วแล้วท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปก่อนที่จะแสดงความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา
ถังซิ่วเองก็ได้รู้สึกแบบเดียวกัน เขาไม่เคยคิดเลยว่าคนๆนี้จะเป็นชูยี่และยิ่งแล้วใหญ่คือการที่เขาเรียกถังเกาเชิงและชินฉางเย่ว่าปู่และย่า มันหมายความว่า……. เขาเป็นญาติกัน ?
“ถังซิ่ว เป็นนายได้ไง ? ”
ชูยี่เองก็ได้มองไปที่ถังซิ่วอย่างโง่งมก่อนที่จะโห่ร้องออกมา
ถังซิ่วเองก็ได้แสดงใบหน้ายิ้มแย้มก่อนที่จะพูดออกมาว่า
“มันน่าประหลาดใจขนาดนั้นเลย ? ”
ชูยี่เองก็ได้ตอบกลับไปว่า
“มันยิ่งกว่าประหลาดใจอีก มันตกตะลึงเลยด้วยซ้ำ ไม่อยากจะเชื่อเลยจริงๆว่านายเป็น……เป็นญาติผู้น้องของฉัน!”
ถังซิ่วเองก็ได้พูดออกมาว่า
“เอาล่ะ อย่าเพิ่งมาพูดถึงเรื่องความเกี่ยวข้องกันก่อนเลย ทานข้าวมาหรือยัง ? ถ้ายังก็มานั่งกินซะ ”
รอยยิ้มบนใบหน้าของชูยี่ได้จางหายไปก่อนที่จะถูมือของเขาแล้วพูดว่า
“ทานมาแล้ว ฉันได้ไปจัดการเรื่องบางอย่างที่จินซิตี้มาแต่โชคดีที่แม่ของฉันโทรมาจึงได้รีบกลับมาที่นี่ อ่อใช่หญ้ามังกรรมควันที่นายต้องการนั้นฉันได้ส่งคนไปหามันเรียบร้อยแล้วและไม่ว่าจะหามาได้เท่าไหร่ก็จะส่งมาที่นี่ทันที”
ใบหน้าเหี่ยวๆของถังเกาเชิงนั้นได้เต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัยก่อนที่จะถามออกมาว่า
“พวกเธอรู้จักกันมาก่อน ? ”
ชูยี่เองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“คุณปู่ เรารู้จักกันมาก่อนและสนิทกันมาก ก่อนหน้านี้ถังซิ่วเป็นพี่น้องของผมแต่ใครจะไปนึกได้ว่าเขาจะเป็นญาติผู้น้องของผมซะงั้น หากว่าใบเต่ากับหลงเจิ้งหยูรู้พวกเขาจะต้องตกใจจนตาถลนอย่างแน่นอน ”
ถังเกาเชิงเองก็ได้มองด้วยความประหลาดใจเพราะเขารู้จักนิสัยของหลานชายคนนี้ดี เขาเป็นคนที่ฉลาด มีไหวพริบ มั่นคงและที่สำคัญคือตาแหลมมากๆ คนธรรมดาที่สามารถทำให้เขาเหลียวตาไปมองด้วยซ้ำ เขาสามารถเขาใจหลานชายคนนี้ของเขาดีแต่กลับไม่สามารถเข้าใจถังซิ่วได้เลย
ชินฉางเย่เองก็ไม่ได้สนใจกับคำพูดเหล่านั้นแม้แต่น้อย เธอเดินไปหาชูยี่ก่อนที่จะยิ้มออกมาแต่ก็ยังมองไปที่ถังซิ่วแบบไม่ลดละอยู่ดี
ชูยี่เองก็ได้พูดออกมาว่า
“ก่อนหน้านี้ผมกับใบเต่าได้ไปหาเพื่อนที่เมืองสตาร์ซิตี้ เขาคือลูกชายคนโตของหลงกรุ๊ปหลงเจิ้งหยูและเรารู้จักเขาผ่านทางนั้น คุณปู่, ปู่ยังไม่รู้หรอกว่าญาติผู้น้องของผมคนนี้น่าทึ่งขนาดไหนกัน แม้แต่ผมกับใบเต่าเองก็ยังยกย่องเขาเลย”
ถังเกาเชิงเองก็ได้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะถามออกมาว่า
“ปู่ได้ส่งคนไปตรวจสอบพื้นหลังของถังซิ่วมาหมดแล้ว นอกจากว่าเขามีเพื่อนที่ชื่อหลงเจิ้งหยูแล้วก็ไม่ได้รู้เลยว่าพวกหลานรู้จักกัน เขาสามารถรักษาอาการหอบหืดของปู่ได้ก็ไม่แปลกที่เขาจะน่าทึ่ง”
ชูยี่เองก็ได้ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า
“คุณปู่ เขาเก่งแต่เรื่องการแพทย์ที่ไหนกัน อ๊า ! เขา……”
“ชูยี่ !!!”
ถังซิ่วได้ขมวดคิ้วเข้าหากันทันทีก่อนที่จะตะโกนออกมา
แม้ว่าถังเกาเชิงจะส่งคนไปสืบสวนเรื่องของถังซิ่วมาแล้วนั้นแต่เวลามันก็กระชั้นชิดเกินไปจึงได้ข้อมูลมาไม่มากดังนั้นเมื่อได้ยินคำพูดของหลานชายแล้วจึงทำให้เขาเกิดความสงสัยแล้วถามออกมาว่า
“พูดมาสิชูยี่ ! ฉันเองก็อยากจะรู้เหมือนกันว่าหลานชายของฉันจะมีความสามารถที่น่าทึ่งขนาดไหนกัน”