…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

(งงกับคนแปล ดูเหมือนว่าถังเซี่ยเองก็จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็นถังหมินนะ )

“ริ้งงงงง ริ้งงงงงง ริ้งงงงง”

เสียงเรียกข้าวของโทรศัพท์ถังหยุนเป็งได้ดังขึ้นและเมื่อเขาได้พูดคุยเสร็จแล้วก็ได้เก็บมันกลับไปพร้อมกับพูดว่า

“คุณแม่ ถังดง ลุงสองและถังหยานกำลังอยู่ที่สนามบิน พวกเขากำลังรีบมาที่นี่ในหนึ่งชั่วโมง”

รอยยิ้มบนใบหน้าของชินฉางเย่ได้เพิ่มขึ้นมากก่อนที่จะถอนหายใจออกมาว่า

“เห้อ ลุงสองของหลานนั้นเอาแต่หมกตัวอยู่ที่เกาะจิงเหมินมากว่าห้าปีแล้วแต่ไม่คิดเลยว่าเรื่องของซิ่วน้อยจะทำให้เขารีบมาที่นี้ด้วยตัวเอง นี่เป็นครั้งแรกที่ตระกูลของเรามากันพร้อมหน้า”

ถังเกาโฉวที่อยู่ข้างๆนั้นก็ได้แสยะออกมาอย่างเย็นชาว่า

“พี่สองเองก็ได้แต่หลบอยู่ที่เกาะจิงเหมินด้วยการใช้ชีวิตอย่างสบายใจพร้อมกับทิ้งภาระไว้ให้ผมกับพี่ใหญ่นั้นแหละ ครั้งนี้ผมจะต้องให้เขาอยู่ที่ตระกูลของเราแล้วเอานักสู้ชั้นยอดมาจากเขาให้ได้ ”

( * จำไอ้แก่ที่เป็นพ่อของถังดงได้ไหมที่อยู่ที่วิลล่าเขาแคบอะ เป็นน้องคนกลางของตระกูลนี้ )

ชินฉางเย่เองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“น้องสาม เธอกับพี่ใหญ่ของเธอเองก็น่าจะรู้ดีว่าตั้งแต่ที่เขาไปอยู่ที่เกาะจิงเหมินนั้นก็ได้ทำประโยชน์มากมายให้กับตระกูลของเรา เธออย่าได้ไปทำให้เขาลำบากใจเลยและอีกอย่างเรื่องทางนี้เองก็ซับซ้อนเป็นอย่างมาก หากว่าเกิดอะไรขึ้นก็ตามเกาะจิงเหมินก็ยังเป็นทางรอดของตระกูลของเรา”

ถังเกาโฉวเองก็ได้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มที่ขมขื่นว่า

“พี่สะใภ้ ผมเองเข้าใจดีแต่เมื่อคิดว่าพี่สองนั้นใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบายที่เกาะจิงเหมินส่วนผมกับพี่ใหญ่ต้องยุ่งอยู่กับการทำเพื่อตระกูลนั้นมันทำให้ผมรู้สึกแย่ อ๊า ! ช่างมันเถอะ ผมไม่เถียงต่อหน้าเด็กๆแล้ว ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า………”

“ฮี ฮี ฮี …….”

คนจากตระกูลถังเองก็พากันหัวเราะออกมา

ไม่นานหลังจากนั้นถังเกาซิงก็ได้นำถังดงและถังหยางมาพร้อมกับคนในตระกูลอีก4-5คน ถังเกาซิงนั้นสุขภาพไม่ค่อยจะดีนัก เขาดูอ่อนแอและหน้าซีดเป็นอย่างมากแต่เมื่อเห็นหน้าน้องชายของเขา ถังเกาโฉวแล้วนั้นก็มีแรงขึ้นมาทันที

ทางด่วน , เมืองหลวง

ถังซิ่วและรถของเขาได้ถูกสกัดเพราะขับเร็วเกินกำหนดและพบว่าเขาได้ทำผิดกฎหมายการขับรถมาหลายครั้งมาก

“หยวนๆกันหน่อยได้ไหม? ”

ถังซิ่วที่นั่งอยู่ตรงตำแหน่งคนขับนั้นก็ได้ถามออกไป

ตำรวจพวกนั้นเองก็ได้ตอบกลับด้วยท่าทางจริงจังว่า

“ขอโทษด้วย โปรดลงจากรถ”

ณ ตอนนี้ถังหมินที่นั่งอยู่ด้านหลังนั้นได้ลดกระจกลงแล้วส่งเอกสารไปให้พร้อมกับพูดว่า

“หลีกทางไปซะ เรามีเรื่องเร่งด่วน”

เมื่อรับเอกสารมาแล้วท่าทางของตำรวจคนนั้นก็เปลี่ยนไปทันทีพร้อมกับคำความเคารพออกมาแล้วพูดอย่างนอบน้อมว่า

“สวัสดีครับหัวหน้าแผนกถัง ก่อนหน้านี้ไม่รู้ว่าคุณอยู่ในรถและหวังว่าคุณจะไม่ถือสา เชิญ…..”

เพื่อพูดจบแล้วตำรวจจราจรเองก็ได้คืนเอกสารไปให้ถังหมิน

ถังหมินเองก็ได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“ไปกันเถอะ ไม่เป็นไรแล้ว ”

ถังซิ่วเองก็ได้มองไปที่ตำรวจพวกนั้นก่อนที่จะขับรถตามaudiคันข้างหน้าไปพร้อมกับถอนหายใจออกมา : อำนาจเป็นสิ่งที่ดีจริงๆ หากว่าเป็นคนธรรมดาก็จะต้องไม่ใช่เสียค่าปรับแน่ๆแต่ก็จะถูกหักคะแนนการขับขี่แน่นอนหรือบางทีอาจจะถึงขั้นยึดใบขับขี่เลยด้วยซ้ำ

บ้านหลักตระกูลถัง

รถของถังซิ่วได้หยุดอยู่ด้านนอกทางเข้าสวนพร้อมกับพบผู้คุมกันติดอาวุธสี่คนและรอบๆนั้นเองก็มีหน่วยรักษาความปลอดภัยอยู่เต็มไปหมด เมื่อเข้าไปถึงทางเข้าบ้านแล้วก็พบกับทหารสองนายที่ใส่ชุดเครื่องแบบพร้อมกับติดอาวุธ

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ทำให้เขารู้สึกสนใจไม่ใส่หน่วยรักษาความปลอดภัยเหล่านี้แต่เป็นเหล่าผู้คนตระกูลถังที่ยืนกันอยู่เต็มพร้อมกับหญิงชราแก่ๆ

“พี่สะใภ้สอง ถังซิ่ว เราได้มาถึงแล้ว”

ถังหมินเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

ถังซิ่วเองก็ได้พยักหน้าอย่างไม่แยแสก่อนที่จะมองไปที่แม่ของเขาที่อยู่ที่นั่งด้านหลังพร้อมพูดออกมาว่า

“คุณแม่ เราไปกันเถอะ !”

ซูหลิงหยุนเองก็ได้ลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพยักหน้าอย่างเงียบๆ

ชินฉางเย่เองก็ได้จดจ่อไปที่รถทั้งสามและเมื่อเห็นสามีของเธอ ถังเกาเชิงเดินลงมาจากรถเธอก็ได้รีบไปถามอย่างตื่นเต้นว่า

“ไหน หลานฉันอยู่ไหน ? ไหน ลูกสะใภ้ของฉัน ? ”

ถังเกาเชิงเองก็ได้ชี้ไปที่รถ land rover ด้วยรอยยิ้ม

ชินฉางเย่เองก็ได้มองไปที่ถังซิ่วโดยทันทีพร้อมกับวิ่งไปหาเขาด้วยท่าทางที่ติดๆขัดๆ เธอได้ไปยืนอยู่ตรงหน้าของถังซ่วก่อนที่จะจับเขาด้วยมือที่สั่นเทาพร้อมกับถามออกมาด้วยน้ำตาว่า

“เธอ……เธอเป็นหลานของฉัน ? เป็นหลานแท้ๆของฉัน ? ”

คิ้วของถังซิ่วได้ขมวดเข้าหากัน เขารู้สึกต่อต้านหญิงชราคนนี้และคนตระกูลถังทั้งหมด หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่งเขาก็ได้พูดออกมาว่า

“ถ้าว่ากันตามหลักแล้วก็ใช่ ผมคือหลานชายของคุณ”

ชินฉางเย่ใช้ความพยายามทั้งหมดเพื่อจับถังซิ่วเอาไว้พร้อมกับโห่ร้องออกมา

ถังซิ่วเองก็ไม่ได้ขัดขืนแม้แต่น้อย ท่าทางของเขายังคงดูสงบเหมือนอย่างเคย เขารู้สึกว่าน้ำตาของชินฉางเย่นั้นกำลังท่วมหน้าอกของเขาซึ่งทำให้เขารู้สึกหมดหนทางเป็นอย่างมาก

ความเป็นญาติมิตร !

เขารู้สึกได้ !

ความรู้สึกตื่นเต้นและเสียงร่ำไห้นั้นทำให้เขารู้สึกซับซ้อน

หลังจากผ่านไปนาน

ชินฉางเย่เองก็ได้ปล่อยมือจากถังซิ่วภายใต้การเกลี้ยกล่อมของถังหมินแต่สุดท้ายแล้วเธอก็ยังจับถังซิ่วเอาไว้แน่นก่อนที่จะมองไปที่ซูหลิงหยุนแล้วพูดว่า

“เธอคือหยุนน้อยที่หยุนดี่พูด ? เป็นลูกสะใภ้สองของฉัน ? ”

ซูหลิงหยุนนั้นก็คล้อยตามเป็นอย่างมาก เธอได้แสดงออกถึงความรู้สึกเป็นญาติมิตรกับพวกเขาทันทีพร้อมกับพยักหน้าแล้วพูดว่า

“หนูชื่อว่าซูหลิงหยุน ภรรยาของถังหยุนดี่”

มืออีกข้างหนึ่งของชินฉางเย่เองก็ได้จับมือของเธอพร้อมกับปาดน้ำตาแล้วพูดว่า

“เด็กน้อย ก่อนหน้านี้ตระกูลของเราทำผิดต่อพวกเธอที่ปล่อยให้ออกไปทนทุกข์ทรมานอยู่ที่โลกภายนอกและรู้ดีว่าพวกเธอคงเจ็บปวด เธอสามารถวางใจได้เลยว่าตอนนี้เราได้พบกับพวกเธอแล้วและตระกูลถังของเราจะไม่ให้พวกเธอต้องทนทุกข์ทรมานอีกต่อไป หลังจากนี้หากว่าใครกล้ามารังแกเธอหญิงชราคนนี้ก็พร้อมจะเผชิญหน้ากับมันด้วยชีวิตที่เหลืออยู่ ”

ดวงตาของซูหลิงหยุนเองก็ได้ใสกระจ่างพร้อมกับพยักหน้าซ้ำๆ เธอรู้สึกชอบบรรยากาศครอบครัวของสามีที่ยอมรับในตัวของเธอและความรู้สึกเป็นญาติมิตรแบบนี้มากๆ

ชินฉางเย่เองก็ได้จูงมือกับซูหลิงหยุนและถังซิ่วพร้อมกับเดินไปตรงหน้าคนตระกูลถังคนอื่นๆก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“ฉันจะแนะนำให้รู้จัก พวกเขามีชื่อ…..”

ถังซิ่วได้ขัดจังหวะคำพุดของเธอทันทีว่า

“ไม่จำเป็นต้องแนะนำ ผมยังมีเรื่องที่ต้องจัดการอีกดังนั้นพาผมไปพบกับถังหยุนดี่ ! หากว่าผมสามารถรักษาเขาได้ก็ดีไปแต่ถ้าไม่ก็ถือว่าโชคร้าย”

“อะไรนะ ? ”

คนกว่าหวายสิบคนจากตระกูลถังเองนอกจากถังเกาเชิงและถังหมินแล้วถึงกับมองหน้ากันและกันด้วยความรู้สึกว่างเปล่า พวกเขาไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยินไป

นี่…….

คำพูดนี้มันหมายความว่าอย่างไรกัน ?

ถังซิ่วได้แงะมือของชินฉางเย่ออกพร้อมกับมองไปที่ถังเกาเชิงแล้วพูดว่า

“คุณก็น่าจะจำสิ่งที่ผมพูดก่อนหน้านี้ได้ ตระกูลถังของคุณก็อยู่ส่วนตระกูลของคุณ เราเองก็อยู่ส่วนของเรา ตระกูลถังนั้นสูงส่งเกินไปคนธรรมดาอย่างพวกเราคงไม่สามารถคบหากันได้ดังนั้นอย่าได้เสียเวลาสร้างความสัมพันธ์กันอยู่เลย พาผมไปพบกับถังหยุนดี่ ! ไม่เช่นนั้นผมและแม่จะกลับไปทันที ”

ถังหยุนเป็งเองก็ได้ตะโกนออกมาด้วยความโกรธว่า

“ถังซิ่ว เธอพูดแบบนี้หมายความว่าไง ? แม้ว่าเธอจะคิดว่าพวกเราเป็นคนแปลกหน้าแต่ยังไงพวกเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน ! คนเหล่านี้หลายๆคนก็เป็นผู้อาวุโสของเธอ ทำไมเธอถึงได้……”

ถังซิ่วเองก็ได้โบกมือพร้อมกับขัดคำพูดของเขาทันทีว่า

“อย่าได้เอาความเป็นอาวุโสมาพูดกับฉันเพราะฉันเกิดที่ตระกูลซู โตที่ตระกูลซู หากว่าไม่ใช่เพราะแม่ของฉันบังคับ ฉันก็ไม่อยากจะใช้สกุลถังด้วยซ้ำดังนั้นอย่าได้พูดถึงความเป็นญาติมิตรกับฉัน ฉันจะถามครั้งสุดท้าย ถังหยุนดี่อยู่ที่ไหน !!!!!”

“ซิ่วน้อย ลูกหุบปากเดี๋ยวนี้ !!!!”

ใบหน้าของซูหลิงหยุนได้แปรเปลี่ยนเป็นบูดบึ้งโดยทันทีพร้อมกับตะโกนดุออกมา

ถังซิ่วเองก็ได้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“แม่ ผมเองก็เคารพการตัดสินใจของแม่แล้วแต่ผมก็ได้แต่หวังว่าแม่เองก็จะเคารพการตัดสินใจของผม ผมไม่มีสายสัมพันธ์ใดๆกับพวกเขาในตอนนี้และหลังจากนี้เองก็คงยาก จริงๆแล้วผมเองก็ไม่ได้อยากจะมาที่นี่เลยแม้แต่น้อยหากว่าไม่ใช่เพราะผมได้สัญญากับแม่และคุณยายเอาไว้ว่าจะรักษาถังหยุนดี่ที่ได้ชื่อว่าพ่อของผม”

ณ ตอนนี้

ท่าทางของคนจากตระกูลถังเองก็ไม่ค่อยน่าดูสักเท่าไหร่

ถังซิ่วเองก้ไม่ได้สนใจพวกเขาเลยแม้แต่น้อย ในหมื่นกว่าปีที่ผ่านมานี้เขาสนใจแค่แม่และยายของเขาเท่านั้น สายเลือดไม่สามารถสร้างสายสัมพันธ์กับเขาได้ เหตุผลที่เขามาที่นี่ทั้งหมดก็เพราะแม่ของเขาเท่านั้น

ซูหลิงหยุนเองก็ได้เงียบไปเพราะเธอไม่มีประสบการณ์กับเหตุการณ์แบบนี้นักจึงไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรออกไปเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ความรู้สึกต่อต้านที่ลูกของเธอมีต่อคนตระกูลถังเองนั้นเธอก็ไม่ต้องการที่จะฝืนใจของเขา

ถังเกาเชิงเองก็ได้ถอนหายใจออกมาพร้อมกับพูดเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ว่า

“ถังซิ่ว เธอจะไม่นับญาติเราตอนนี้ก็ไม่เป็นไร ฉันรู้ว่าเธอต่อต้านพวกเรามากแต่ฉันเชื่อว่าต่อให้เธอมีหัวใจที่แข็งดั่งหินผาทุกๆคนก็สามารถละลายมันได้ ลูกหลานของตระกูลถังก็ยังคงเป็นลูกหลานของเราอยู่วันยังค่ำ ความเป็นญาติที่เราได้แบ่งปันกันนั้นไม่สามารถละทิ้งได้ ไปเถอะ! พ่อของเธอน่าจะถูกนำตัวมาที่นี่แล้ว ฉันจะพาเธอไปพบเขาเอง”

ถังซิ่วเองก็ได้พยักหน้าพร้อมกับยื่นมือไปจับมือของซูหลิงหยุน เขาต้องการแสดงให้เห็นว่าเขาไม่จำเป็นต้องพึงพากำลังของตระกูลถังแต่ก็ยังสามารถปกป้องแม่ของเขาได้

หลังจากผ่านไปหลายนาที

ซูหลิงหยุนและถังซิ่วนั้นก็ได้เดินตามพวกเขาไปพร้อมกับเข้าไปในส่วนลึกสุดของบ้านหลังหนึ่ง เมื่อซูหลิงหยุนเป็นถังหยุนดี่ที่กำลังนอนหมดสติอยู่บนเตียงนั้นน้ำตาของเธอก็ได้ไหลออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน

“หยุนดี่ !”

เธอได้ทิ้งตัวลงไปข้างๆเตียงของเขาพร้อมกับกุมมือที่ลีบๆของเขาเอาไว้

20ปี

กว่า 20ปี

เธอคิดอยู่ทั้งวันทั้งคืนว่าอยากจะเจอกับสามีอีกครั้ง ตอนนี้ความฝันของเธอได้เป็นจริงแล้วซึ่งทำให้เธอถึงกับโห่ร้องออกมาเพื่อปลดปล่อยความรู้สึกโหยหาและความทุกข์ทรมานที่สั่งสมมานานหลายปี

ณ ตอนนี้ หากว่าเธอจะต้องตายก็คงจะยังตายไปด้วยรอยยิ้ม

ถังซิ่วเองก็ได้มองไปที่ชายรูปร่างผอมบางที่กำลังหมดสติอยู่บนเตียงพร้อมกับถอนหายใจออกมา เขาไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องเจอชายคนนี้ในสภาพแบบนี้ เขาได้ปลอบประโลมแม่ของเขาก่อนที่จะแตะไปที่ไหล่ของเธอแล้วพูดว่า

“แม่ หลีกทางให้ผมดูหน่อยว่าจะสามารถรักษาเขาได้ไหม ถ้าทำได้ผมจะตั้งใจอย่างสุดความสามารถ”

“ดี ดี ดี !”

ใบหน้าของซูหลิงหยุนเองก็เต็มไปด้วยความหวังพร้อมกับถอยออกมาทันที