…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ซันเหว่นจิงเองก็ได้มีท่าทางแปลกๆแต่เพื่อแม่ของเธอแล้วต่อให้เธอต้องขายหน้าเธอก็ยอม เธอพยายามบีบเอาใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเธอออกมาก่อนที่จะพูดว่าง

“คุณหมอถัง ฉันต้องขอโทษเรื่องก่อนหน้านี้เป็นอย่างมากที่มองคนแค่ภายนอก ในช่วงสองวันมานี้ฉันได้ยินชื่อเสียงที่หนาหูของคุณและฉันหวังว่าคุณจะไม่ถือสาฉัน”

ถังซิ่วที่ได้ยินเช่นนั้นถึงกับประหลาดใจโดยทันที เขาคิดว่าที่เธอมาในวันนี้ต้องไม่ใช่เพื่อมาขอโทษอย่างแน่นอนแต่ก็มีคำพูดที่ว่าอย่าได้ซ้ำเติมคนที่มาด้วยรอยยิ้มในเมื่อเธอยอมขอโทษด้วยความจริงใจดังนั้นเขาจึงได้โบกมือแล้วพูดว่า

“ช่างเรื่องก่อนหน้านี้เถอะ คราวหน้าคราวหลังก็ระวังคำพูดด้วยแล้วกัน ”

ซั่นเหว่นจิงเองก็ได้ผ่อนคลายลงก่อนที่จะพูดขึ้นว่า

“ฉันจะจดจำบทเรียนนี้เอาไว้ในใจและหลังจากนี้จะไม่ตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอกอีกแล้ว ”

ถังซิ่งเองก็ได้พูดขึ้นว่า

“อย่าพูดอยู่เลย มาทานข้าวกันเถอะ !”

ซันเหว่นจิงเองก็ได้ยิ้มออกมาอย่างขมขื่นก่อนที่เธอจะพูดออกมาว่า

“ถังซิ่ว ที่ฉันมาหาคุณในวันนี้เพราะมีเรื่องจะขอร้อง”

ถังซิ่วเองก็ได้ขมวดคิ้วโดยทันทีก่อนที่เขาจะถามออกมาว่า

“มีเรื่องอะไรงั้นหรอ ?”

ซันเหว่นจิงเองก็ได้พูดออกมาว่า

“จริงๆแล้วช่วงนี้ฉันเศร้ามากเพราะว่าแม่ของฉันเจ็บป่วยและนอนรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลของเรา เธอเป็นโรค…….”

ถังซิ่วได้ถามออกมาว่า

“เธอเป็นโรคอะไร ? ”

ซันเหว่นจิงเองก็ได้พูดออกมาอย่างขมขื่นว่า

“เธอเป็นมะเร็งตับระยะที่สองส่วนเซลล์มะเร็งเองก็ได้แพร่กระจายไปแล้ว”

คิ้วของถังซิ่วได้ยกตัวขึ้นก่อนที่เขาจะถามออกมาว่า

“ความหมายของคุณคือจะให้ผมรักษาเธองั้นหรอ ?”

ซันเหว่นจิงเองก็ได้พยักหน้าก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“ได้ยินมาว่าคุณเป็นหมอเทวดาซึ่งผู้อำนวยการเองยังบูชาคุณ เขาได้บอกฉันมาว่าในโลกนี้มีเพียงคุณเท่านั้นที่สามารถรักษาอาการของแม่ฉันได้ยิ่งไปกว่านั้นเขาเองก็ต้องการที่จะดูว่าทักษะด้านการแพทย์ของคุณจะน่าทึ่งถึงขนาดไหน”

ถังซิ่วได้เงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“ต้องขอโทษที่คำให้คุณผิดหวังเพราะผมไม่ได้เก่งถึงขนาดนั้น สภาพของแม่คุณนั้นผมไม่สามารถช่วยได้จริงๆเพราะฉะนั้นผมคงต้องทำให้ผู้อำนวยการหลี่ผิดหวัง”

ซันเหว่นจิงเองก็ได้รีบพูดออกมาว่า

“คุณหมอถัง คุณลองหน่อยได้ไหม ? ไม่ว่าคุณจะเรียกร้องอะไรตราบเท่าที่ฉันทำได้ฉันจะทำ แม่ของฉันได้เลี้ยงดูพวกเราสี่คนมาตั้งแต่เล็กจนโตแต่เธอยังไม่ได้ใช้ช่วงเวลาแห่งความสุขแม้แต่น้อย ฉันไม่ต้องการให้เธอจากไปด้วยความเจ็บป่วยแบบนี้ ได้โปรดฉันขอร้องคุณ !”

ดั่ยซินหยูเองก็ได้มองไปที่ถังซิ่วด้วยความลังเลก่อนที่ตะพูดออกมาว่า

“หมอถัง คุณลองดูสิ คุณป้าคนนั้นน่าสงสารมากๆ จะไม่มีใครโทษคุณแม้แต่น้อยแม้ว่าจะไม่สามารถรักษาได้”

ถังซิ่วเองก็ได้ถอนหายใจออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดนั้น แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่ชอบซันเหว่นจิงนักแต่ความกตัญญูนี้ก็ได้จี้ใจของเขาจริงๆ หลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่งเขาจึงได้พูดออกมาว่า

“มีสามเงื่อนไข ”

ดวงตาของซันเหว่นจิงเป็นประกายก่อนที่จะพูดออกมาอย่างรวดเร็วว่า

“ว่ามาได้เลย !”

ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า

“ข้อแรก ไม่ว่าจะรักษาได้หรือไม่ก็ห้ามแพร่งพรายเรื่องนี้ออกไปเด็ดขาดส่วนหลี่ฮงจี้นั้นฉันจะจัดการเอง”

“ฉันทำได้”

ซันเหว่นจิงเองก็ได้พยักหน้า

ถังซิ่วเองก็ได้พูดต่อว่า

“ข้อที่สอง เตรียมเงินบริจาคไว้1แสนให้สำหรับผู้ป่วยที่ยากไร้ส่วนเรื่องจะบริจาคยังไงนั้นเธอก็ไปจัดการเอาเอง !”

ซันเหว่นจิงเองก็ตอบกลับมาโดยไม่ต้องคิดเลยว่า

“ไม่มีปัญหา”

ถังซิ่วเองก็ได้พูดต่อว่า

“ข้อที่สาม ฉันจะไม่รักษาแม่ของคุณที่นี่แต่ให้เธอกลับไปรอที่บ้านแล้วฉันจะไปหาเธอเองส่วนเรื่องเครื่องมือและอย่างอื่นนั้นเธอจะต้องเป็นคนรับผิดชอบ”

ซันเหว่นจิงเองก็ลังเลก่อนที่จะถามออกมาว่า

“คุณหมอถัง คุณต้องใช้เวลาในการรักษานานแค่ไหนกัน”

ถังซิ่วเองก็ได้ตอลกลับไปว่า

“เวลาของผมมีจำกัดดังนั้นหากว่าใช้เวลาเกินสิบวันผมก็จะล้มเลิกการรักษาทันที”

ซันเหว่นจิงเองก็ได้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“ฉันจะให้แม่ออกจากโรงพยาบาลในบ่ายวันนี้แล้วไปรอคุณอยู่ที่บ้านส่วนเรื่องที่อยู่นั้นฉันจะส่งไปให้คุณทางโทรศัพท์เอง ”

“ดี ”

ถังซิ่วได้ให้เบอร์โทรศัพท์กับเธอไปก่อนที่จะส่งเธอออกไป

ดั่ยซินหยูเองก็ได้มองไปที่ถังซิ่วด้วยความสงสัยก่อนที่จะถามออกมาว่า

“คุณหมอถัง ถึงแม้ว่าฉันจะคลุกคลีกับคุณมาเพียงช่วงเวลาสั้นๆแต่ฉันก็รู้ว่าคุณเป็นคนที่มีความมั่นใจสูงมาก ในเมื่อคุณให้เธอมาแม่ของเธอกลับไปรอที่บ้านนั้นก็แสดงว่าคุณมีความมั่นใจที่จะรักษาเธอใช่ไหม ? ”

ถังซิ่วเองก็ได้ถามออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“เธอต้องการอะไร ?”

ดั่ยซินหยูเองก็ได้ส่ายศีรษะก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“ฉันไม่ได้ต้องการอะไรมากเลย ฉันเพียงแค่ยอมรับในทักษะด้านการแพทย์ของคุณ ในความคิดของฉันนั้นคุณเป็นเหมือนดั่งเทพเจ้า ฉันได้คำนวณมาแล้วว่าสองวันมานี้คุณได้ตรวจคนไข้ไปทั้งหมด 168 คนและ57ในนั้นถูกรักษาให้หายขาดโดยทันทีส่วนที่เหลือเองก็แสดงอาการดีขึ้นทันทีหลังจากที่คุณเริ่มรักษา”

ถังซิ่วได้ถามออกมาด้วยความประหลาดใจว่า

“เธอจำได้ขนาดนั้นเลยหรอ ? ”

ดั่ยซินหยูเองก็ได้ยิ้มออกมาพร้อมกับพูดว่า

“จริงๆแล้วฉันมีความสนใจด้านตัวเลขเป็นอย่างมากและตั้งใจว่าจะเข้าเรียนที่คณะที่เกี่ยวกับคณิตศาสตร์แต่ปู่ของฉันไม่อนุญาตและสั่งให้ฉันมาเรียนคณะแพทย์ ดังนั้นฉันจึงได้มีความสามารถด้านตัวเลขเพราะฉันทำมันเป็นงานอดิเรก”

ถังซิ่งเองก็พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“เขาใจล่ะ ในเมื่อเธอเชื่อมั่นใจตัวฉันหากว่าฉันไม่สามารถรักษาแม่หล่อนได้ก็คงจะน่าผิดหวังน่าดู เอาล่ะ ไม่ต้องเป็นกังวล ! ฉันจะให้ความรู้สึกเทิดทูนบูชาของเธอคงอยู่ต่อไป ”

ดวงตาของดั่ยซินหยูเองก็เปล่องประกายก่อนที่จะพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“หากว่าคุณสามารถรักษาแม่ของเธอได้งั้นฉันจะยอมรับว่าคุณเป็นครูของฉันและหลังจากนี้จะตั้งใจศึกษาวิชาการแพทย์จากคุณ”

ยอมรับเป็นครู ?

เรียนวิชาการแพทย์ ?

ปรากฏแววตาที่แปลกประหลาดขึ้นในสายตา เขาเองก็มีศิษย์อยู่มากมายแต่พวกเขานั้นเรียนเทคนิคบ่มเพาะพลังกับเขา นี่เป็นคนๆแรกที่จะขอเป็นศิษย์ด้านการแพทย์ของเขา !

ทันใดนั้นเองเขาก็ได้เกิดความรู้สึกที่น่าสนใจขึ้นหากว่าศิษย์ของเขาเป็นถึงตัวตนที่โด่งดังในวงการแพทย์ทั่วโลกจะเป็นยังไงกันนะ ? นี่มันน่าสงสัยจริงๆ

ถังซิ่วได้มองไปที่ใบหน้าที่น่ารักของดั่ยซินหยูก่อนที่จะยิ้มออกมาแล้วพูดว่า

“ก่อนหน้านี้ฉันไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะรับศิษย์สาขานี้ หากว่าฉันสามารถรักษาแม่ของเหว่นจิงได้ก็แสดงว่าฉันมีทักษะเพียงพอ เมื่อถึงเวลานั้นฉันจะรับเธอเป็นศิษย์เพื่อสอนวิชาการแพทย์ให้แก่เธอ”

ดั่ยซินหยูที่พูดหยอกออกไปนั้นได้ตกตะลึงทันทีเมื่อได้ยินคำพูดของถังซิ่ว เธอได้ตอบกลับไปว่า

“ขอบคุณคุณครู ฉันเชื่อว่าครูจะต้องประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน!”

ถังซิ่วได้โบกมือก่อนที่จะพูดว่า

“ก่อนอื่นเลยว่าเพิ่งเรียกฉันแบบนั้น รอให้ฉันรักษาเธอให้ได้ก่อนและอีกอย่างนึงคือเรามาเปลี่ยนวิธีการเรียกกันหน่อย ”

วิธีการเรียก ?

ดั่ยซินหยูเองก็ได้ถามออกมาว่า

“จะให้เปลี่ยนเป็นอะไนงั้นหรอค่ะ ?”

ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า

“อาจารย์ !”

ดวงตาของดั่ยซินหยูนั้นเป็นประกายทันที เธอเป็นคนที่ฉลาดและเขาใจถึงความหมายที่แฝงมาของคำพูดว่า “อาจารย์” โดยทันที

ผู้คนในยุคสมัยนี้นั้นอาจจะมีครูหลายคนแต่มีอาจารย์นั้นน้อยมาก การที่สามารถเรียกได้ว่าเป็นอาจารย์นั้นก็แสดงว่าเธอมีคุณสมบัติพอที่จะได้รับการสืบทอดความรู้ทั้งหมด

“รีบๆทานอาหารได้แล้ว ช่วงบ่ายนี้ยังต้องตรวจคนไข้อีก ”

ถังซิ่วเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้ม

ช่วงดึกถังซิ่วได้ตรวจคนไข้ถึงคนสุดท้ายก่อนที่จะรีบออกจากโรงพยาบาลไป ดั่ยซินหยูเองก็ได้ตามถังซิ่วกลับมาที่วิลล่าของเขาที่โครงการเมืองประตูทิศใต้เช่นกัน

“ท่านอาจารย์ ท่านอาศัยอยู่ที่นี่ ? ”

ดั่ยซินหยูได้มองไปที่วิลล่าแห่งนี้ด้วยความรู้สึกตกตะลึง

ถังซิ่วเองก็ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า

“พวกเราได้เข้ามาที่นี่แล้วหากว่ามันไม่ใช่บ้านของฉันพวกเขาคงจะแจ้งตำรวจมาจับฉันแล้ว ? เอาล่ะ ไปรอที่โซฟานั่นก่อนฉันมีของที่ต้องขึ้นไปเอา”

ถังซิ่วที่มาถึงที่ชั้นสองนั้นก็ได้เอาน้ำยาปรับสภาพร่างกายที่เขาเคยได้กลั่นเอาไว้ก่อนหน้านี้มา เขารู้เกี่ยวกับเรื่องมะเร็วดีแต่การใช้น้ำยานี้เพื่อรักษานั้นก็จะส่งผลที่ไม่คาดคิดเหมือนกันเพราะว่าถึงแม้ว่าตัวยาจะมีผลให้เพิ่มความแข็งแกร่งของร่างกายและจิตใจแต่ตัวมันเองก็ยังมีผลให้ฆ่าเซลล์มะเร็งเช่นกัน

อย่างไรก็ตามผลของตัวยานี้รุนแรงมากและต่อให้เป็นคนธรรมดาที่ร่างกายแข็งแกร่งก็ไม่สามารถแบกรับมันได้ดังนั้นเขาจึงต้องทำการเจือจางมันก่อนพร้อมกับค่อยนำมันไปรักษาเธอ เข็มเงินที่เขาเอามาจากโรงพยาบาลเองก็ช่วยได้เยอะเพราะมันจะช่วยเพิ่มผลลัพธ์เป็นสองเท่า

ถังซิ่วได้กลับลงมาที่ชั้นหนึ่งแล้วพบว่ากู่หยินกำลังยืนอยู่ตรงหน้าดั่ยซินหยูพร้อมกับจ้องมองไปที่เธอด้วยความสงสัย

“หยินหยิน !”

ถังซิ่วได้เรียกออกมา

กู่หยินได้หันหน้ากลับมาพร้อมกับวิ่งมาที่ถังซิ่วและจับมือของเขาก่อนที่จะพูดว่า

“ท่านอาจารย์ เธอบอกว่าเธอเป็นลูกศิษย์ของท่าน มันเป็นเรื่องจริงหรอค่ะ ? ”

ถังซิ่วเองก็ได้ตอบกลับไปว่า

“ก็อาจจะเรียกอย่างงั้นได้แต่เธอยังไม่ได้เป็นศิษย์อย่างเป็นทางการ ข้าเองก็เตรียมที่จะรับเธอเป็นศิษย์อยู่เหมือนกัน ”

กู่หยินเองก็ได้ถามออกมาว่า

“หรือว่าท่านเองก็จะสอนเทคนิคบ่มเพาะให้กับเธอหรอค่ะ ?”

ถังซิ่วได้ส่ายศีรษะก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“สิ่งที่เธอจะได้เรียนนั้นแตกต่างไปจากเจ้านั่นคือการแพทย์ หลังจากนี้เธอจะต้องเป็นปรมาจารย์ด้านการแพทย์อย่างแน่นอน”

กู่หยินเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“ท่านอาจารย์ หนูเองก็อยากเรียนวิชาแพทย์เหมือนกัน การที่คนเจ็บป่วยนั้นเป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกไม่ดีอย่างมาก มันจะเป็นเรื่องดีมากหากว่าหนูสามารถรักษาพวกเขาได้”

เมื่อพูดจบแล้วกู่หยินเองก็ได้วิ่งกลับไปอยู่ตรงหน้าของดั่ยซินหยูพร้อมกับถังซิ่ว เธอได้พูดออกมาพร้อมรอยยิ้มว่า

“พี่สาว หนูมีชื่อว่ากู่หยินและหลังจากนี้พี่ก็สามารถเรียกหนูว่าหยินหยิน ในเมื่อเราจะมีความสัมพันธ์แบบศิษย์พี่ศิษย์น้องกันหลังจากนี้หากว่าใครแกล้งคุณก็สามารถมาบอกฉันได้เลยแล้วฉันจะไปแก้แค้นให้เอง อ่อใช่ ในฐานะศิษย์พี่แล้วฉันยังไม่ได้ให้ของขวัญการพบครั้งแรกเลย ! ”

“อะไรนะ ? ”

ดั่ยซินหยูเองถึงกับงงงวย เธอมองไปที่กู่หยินที่กำลังวิ่งออกไปพร้อมกับริมฝีปากที่กระตุกของเธอ เธอจะต้องเรียกเด็กรุ่นลูกของเธอว่าศิษย์พี่ ? นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน ?

ถังซิ่วได้พูดออกมาอย่างราบเรียบว่า

“หยินหยินพูดถูกแล้ว เป็นเพราะเธอเข้ามาเป็นศิษย์ของฉันช้าไปจึงทำให้เป็นแค่ศิษย์น้องเท่านั้น ตอนนี้เธอเองก็ยังไม่ได้เคารพฉันเป็นอาจารย์อย่างเต็มตัวดังนั้นเธอยังมีโอกาสถอนตัวนะ ”

ดั่ยซินหยูเองก็ได้ตระหนักทันทีพร้อมพูดออกมาว่า

“ท่านอาจารย์ ก่อนหน้านี้ที่เธอ……ศิษย์พี่ได้บอกว่าเทคนิคบ่มเพาะนั้นคือ ? อย่าบอกนะว่าสิ่งที่คุณสอนให้กับเรานั้นไม่เหมือนกัน ? ”

ถังซิ่วเองก็ได้ตอบกลับอย่างราบเรียบว่า

“ใช่แล้ว มันแตกต่างกัน ! เธอไม่จำเป็นต้องรู้ว่าสิ่งที่ฉันสอนให้ศิษย์พี่หญิงและศิษย์พี่ชายของเธอนั้นคืออะไรหากว่าเธอมีความสามารถพอแล้วฉันจะบอกเธอเองและแน่นอนว่าจะต้องสอนเธอด้วยแต่หากว่าเธอไม่สามารถทำให้ฉันพึงพอใจได้ก็คงเรียนได้แค่วิชาแพทย์เท่านั้น”

ดั่ยซินหยูเองก็ได้ระงับความสงสัยเอาไว้ในใจก่อนที่จะพยักหน้าแล้วพูดว่า

“ท่านอาจารย์ ศิษย์จะละลึกไว้ในใจเสมอ”

ระหว่างที่เธอกำลังพูดอยู่นั้นกู่หยินเองก็ได้วิ่งกลับมาที่ห้องนั่งเล่นแล้วพร้อมกับแผ่นภาพแผ่นใหญ่ที่กำลังยื่นมาให้เธอพร้อมพูดว่า

“ศิษย์น้อง ตอนนี้ฉันยังไม่มีอะไรดีๆจะให้เธอดังนั้นจึงได้ให้ภาพที่ฉันเป็นคนวาดเอง ! ห้ามทิ้งมันโดยเด็ดขาดนะ !”