เวลาผ่านไปไม่นาน เพียงแค่เวลาสั้นๆชั่วกาน้ำชาเดือด ราคาของแผ่นศิลาก็ขึ้นไปสูงถึงสิบหมื่น(หนึ่งแสน)หินวิญญาณระดับกลาง เป็นสิ่งที่เหล่าผู้คนยากจะคาดได้ว่าราคาสูงเช่นนี้ ต้องทราบว่า ต่อให้เป็นห้าตระกูลใหญ่แห่งรัฐโจวก็ยากที่จะนำหินวิญญาณระดับกลางที่มากมายขนาดนี้ออกมาในครั้งเดียว มันเป็นดั่งเรื่องที่เป็นไปได้ยาก ในตอนที่หรงเทียนได้เริ่มต้นการเสนอราคา บุคคลเช่นหนิงหยู ใบหน้าก็ได้เปลี่ยนสีเป็นสีดำปิดปากเงียบ นั้นก็เพราะ ในราคาที่สูงถึงขนาดนี้ เป็นอะไรที่สถานะเช่นเขาจะเสนอได้แล้ว

 

“ สิบหมื่นหนึ่งพันหินวิญญาณระดับกลาง “ ในการประมูล นัยน์ตาของซ่งเซ้าเฉิงในตอนนี้ก็ได้กรอกตาไปมาหลายครา เขาต้องกัดฟันเพื่อควบคุมอารมณ์ ถึงจะสามารถเสนอราคาเช่นนี้ออกมาได้
อีกทั้งทางด้านฟากตรงข้ามของเขา ก็คือโอวหยางจ้าวที่อยู่ฟากตรงข้ามได้แสดงสีหน้าปั้นยากออกมา เขาส่งสายตาอันเย็นชามองไปทางซ่งเซ้าเฉิง เวลาผ่านไปนานพักหนึ่งเขาก็ยิ้มเย็นยะเยียบกล่าวออกมา “ นายน้อยซ่งช่างขวัญกล้าจริง ดูเหมือนคงมีการเตรียมพร้อมมาอย่างเต็มที่เลยสินะ “
“ มิบังอาจเทียบกับกลุ่มพวกท่านบ้านตระกูลโอวหยางที่ขวัญกล้าบังอาจหรอก “ ซ่งเซ้าเฉิงสายตาทอประกายคมกล้าขึ้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะเยียบเย็นตอบ
“ มิบังอาจ แผ่นศิลาชิ้นนี้ พวกเราบ้านตระกูลโอวหยางยังไงก็ต้องเอาไปให้ได้ พวกท่านบ้านตระกูลซ่งใยจึงต้องใช้คำพูดตัดพ้อเช่นนี้กัน ยังไงซะพวกเราบ้านตระกูลโอวหยางจะสู้จนที่สุด “ หลังจากที่โอวหยางจ้าวหัวเราะออกมาอย่างเยียบเย็น จากนั้นก็ยืนมือออกมาปรบมือแรงๆคราหนึ่ง กล่าว “ สิบสองหมื่น (แสนสอง) “
“ เสนอราคามาก็ได้เพียงแค่นี้ เจ้าไม่ขายหน้าชาวบ้านหรือ ถ้าอย่างงั้นข้าจะทำให้เจ้าขายหน้าเอง “ ซ่งเซ้าเฉิงหัวเราะเยียบเย็นคราหนึ่ง จากนั้นก็ปรบมือ กล่าวเสียงเย็นเยียบ “ ข้าเสนอสิบห้าหมื่น(แสนห้า) เจ้าหากเจ้ายังมีความสามารถสู้ราคาได้อีกละก็ ของชิ้นนี้ก็จะเป็นของเจ้า “
โอวหยางจ้าวนิ่งเงียบกรอกตาอยู่รอบหนึ่ง ที่ใบหน้ามีอาการสั่นอยู่หลายส่วน บ้านตระกูลโอวหยางของพวกเขาถึงแม้จะเตรียมพร้อมไว้อย่างดีแล้วก็ตาม แต่ทว่าก็พกพามาเพียงแค่สิบห้าหมื่นหินวิญญาณระดับกลางเท่านั้น อีกทั้งเหล่าหินวิญญาณระดับกลางพวกนี้ ตระกูลโอวหยางความจริงก็คือสมบัติทั้งหมดของตระกูลแล้ว อีกทั้งซ่งเซ้าเฉิงยังราวกับนำเอาชีวิตของตนเองมาเดิมพันไว้ด้วย เขากำลังมองไปด้วยสายตาอาฆาตราวกับพร้อมจะฆ่าจะแกงกันเลย
อีกทั้งการเสนอราคาเช่นนี้ ยังทำให้ผู้คนทั่วทั้งเวทีประมูลต่างพากันอ้างปากค้างด้วยความตกใจ ถึงแม้ว่าจะสามารถเข้าไปฝึกฝนวิชาของอารามก่อฟ้าก็ตาม แน่นอนว่าต้องได้รับผลประโยชน์เป็นที่แน่นอน แต่ทว่าสิ่งที่ได้รับกลับมานั้น ก็คงเทียบไม่ได้กับสิ่งที่สูญเสียไปหรอก
ตระกูลซ่งนี้ความจริงที่เสนอรราคาราวกับทิ้งขว้างของมีค่าโดยแลกกับของที่ไม่ทราบถึงคุณค่าของราคาเลยหรือ ได้แต่ว่าพวกเขาเหล่าตระกูลซ่งได้เพียงช่างขวัญหล้าไปแล้ว
“ ซ่งเซ้าเฉิงคงจะเสียดายอยู่ ครั้งนี้ตระกูลซ่งถือว่าสูญเสียอยู่ไม่น้อย “ ซูหยี่ใช้สายตามองไปยังบริเวณด้านหน้า ระหว่างนั้นที่กวาดสายตาไปก็ต้องหลบสายตาด้วยความตกใจ ทันใดนั้น นางก็คิดไม่ถึงว่าเจ้าศิลาแผ่นนี้สามารถสร้างแรงกดดันให้แก่ผู้คนจนต้องถอยหลังได้
เยี่ยจงยิ้มออกมาอย่างเงียบงัน แต่ก็มิได้กล่าวอันใด ถึงแม้ว่าเจ้าแผ่นศิลานี้จะตกไปอยู่ในมือของตระกูลซ่ง แต่หากว่าพวกเขาไม่รักษาเอาไว้ได้ ก็คงจะไม่ดีเท่าไหร่ อีกทั้งทางด้านนอกนั้น ต่อให้ตระกูลซ่งมีปัญญารักษาแผ่นศิลาชิ้นนี้ไว้ได้ แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะวิเคราะห์ออกมาถึงการใช้งานเจ้าสิ่งนี้อยู่ดี เกรงว่าเรื่องเช่นนี้ต่อให้เป็นใครก็คงอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ดีอยู่ดี สิ่งหนึ่งที่ไม่ดี ในครั้งนี้คือตระกูลซ่งได้ทุ่มเททุกอย่างโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา ดังนั้น เรื่องราวหลังจากนี้ยังคงไม่คิดอย่างวุ่นวายยังจะดีซะกว่า

“ เหอะ เหอะ เหอะ นายน้อยซ่งช่างกล้าหาญซะเหลือเกิน ดังนั้น แผ่นศิลาชิ้นนี้ก็เป็นของพวกท่านตระกูลซ่งแล้ว ขอเชิญนายน้อยซ่งจากนี้นำหินวิญญาณมาแลกเปลี่ยนได้ที่ด้านหลังเวทีได้เลย อีกทั้งชุมนุมการประมูลในวันนี้ คงถึงคราสิ้นสุดแล้ว ทุกท่าน เชิญ “ บนแท่นการประมูล ชายชราผู้นั้นพบว่าไม่มีใครที่เพิ่มราคาอีกแล้ว ดังนั้นก็ได้ใช้มือเพียงข้างเดียวยกแผ่นศิลาเก็บกลับไป จากนั้น เขาก็ได้ยิ้มออกมาเล็กน้อยเดินกลับเข้าไปทางด้านหลังเวที
“ ศิษย์น้องไม่ต้องกังวลจนเกินไป ไม่ว่าอย่างไรถ้าต้องการความช่วยเหลือแล้วละก็ศิษย์พี่อย่างข้าเต็มใจเสมอ ขอเพียงเอ่ยออกมา ไม่ต้องเกรงใจไป ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็ถือว่าเป็นศิษย์ร่วมสำนักเดียวกัน “ หรงเทียนลุกขึ้นมา ทันใดนั้นก็ยิ้มคำหนึ่งไปทางซ่งเซ้าเฉิง
“ ถ้าหากต้องการความช่วยเหลือแล้วละก็ แน่นอนว่าต้องถามหาศิษย์พี่ท่านแน่นอน “ ซ่งเซ้าเฉิงตอบรับคำหนึ่งอย่างไม่สะทกสะท้าน
เงียบงันอยู่ช่วงครู่ จากนั้นหรงเทียนก็ได้แสดงถึงเจตนาของตนเองมองไปทางซ่งเซ้าเฉิง หลังจากนั้นค่อยโบกมือไปมา จากออกมาอย่างเงียบเชียบ
จากนั้นโอวหยางจ้าวได้มองไปทางซ่งเซ้าเฉิง ก็ได้ส่ายหัวไปมาหันกายเดินจากไป เพียงแต่ว่าบนใบหน้าของเขาได้แสดงสีหน้าที่บ่งบอกให้ผู้คนได้รับรู้อย่างชัดเจน เขาคงไม่ยอมรามือง่ายๆเป็นแค่นี้อย่างแน่นอน
หลังจากที่คนทั้งสองจากไปแล้วนั้นเอง ซ่งเซ้าเฉิงค่อยมองไปทางด้านที่พวกเขาเดินจากไป นัยน์ตาทอประกายลี้ลับ แต่ก็เป็นเพียงเวลาไม่นาน เขาเพียงโบกมือคราหนึ่ง เหล่าคนที่คอยติดตามเขา ก็เดินเข้าไปทางด้านหลังเวทีเข้าไป
“ ซ่งเซ้าเฉิงและหรงเทียนนั้น ความจริงคงไม่ค่อยถูกกันละมั่ง “ เยี่ยจงคิดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อซักครู่ ขมวดคิ้วไปมา
“ แน่นอนอยู่แล้วว่าไม่ถูกกัน ในการจัดอันดับศิษย์สายในลัทธิแห่งดวงดาวของพวกเรานั้น หรงเทียนนั้นอยู่อันดับที่สิบเจ็ด ส่วนซ่งเซ้าเฉิงนั้นอยู่อันดับที่สิบแปด ในครึ่งปีมานี้ ซ่งเซ้าเฉิงได้ขอท้าประลองหรงเทียนอยู่ถึงสามครา เพียงแต่ว่าก็ได้พ่ายแพ้ตลอดมา “ ซูหยี่อธิบายออกมา
“ การจัดอันดับหรือ “ หลังจากเงียบงันไป เยี่ยจงก็พยักหน้าหลายครา รู้สึกแปลกใจอยู่เล็กน้อย ศิษย์สายในของลัทธิแห่งดวงดาวนั้นดูเหมือนจะไม่ธรรมดากันเลย อย่างหรงเทียนที่เป็นถึงยอดฝีมือที่ฝึกถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่ห้า ยังอยู่ได้แค่ลำดับที่สิบเจ็ด ไม่ทราบว่าที่อยู่ลำดับก่อนเขาจะเป็นมนุษย์เช่นไร หรืออยู่พลังถึงขั้นใด
“ ถึงแม้ว่าซ่งเซ้าเฉิงจะถือว่าร้ายกาจแล้ว ที่พลังฝึกปรือถึงขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ อีกทั้งยังกล้าที่จะท้าประลองก็หรงเทียนที่พลังฝึกปรืออยู่ในขั้นที่ห้า “
“ หรงเทียนเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ที่น่าสะพรึง พลังนั้นแข็งแกร่ง แต่ว่าซ่งเซ้าเทียนนั้นเกิดมาอยู่ในหนึ่งในห้าตระกูลใหญ่แห่งตระกูลซ่ง ตระกูลได้ทุ่มเทเกือบทุกสิ่งให้กับตัวเขา ดังนั้นกำลังภายในของเขาไม่เพียงแต่จะแข็งแกร่งกว่าหรงเทียน อีกทั้งยังครอบครองอาวุธวิญญาณระดับล่างถึงสองชิ้นด้วย พลังทำลายไม่ธรรมดาเลย “ ซูหยี่อธิบายเพิ่มเติม
หลังเงียบงัน เยี่ยจงก็พยักหน้า อาวุธวิญญาณนั้นแบ่งเป็นระดับ บน กลาง ล่าง สามระดับ ถึงแม้จะเป็นอาวุธวิญญาณที่อยู่ในระดับล่างแต่ก็ถือว่ามีพลังที่มหาศาลมากนัก ซ่งเซ้าเฉิงมีไพ่ตายอยู่เช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลยที่มีความกล้าพอที่จะท้าประลองกับหรงเทียน

  • ” จากที่กล่าวมา ศิษย์พี่ซูหยี่ท่านที่ฝึกฝนกำลังภายในดาราคล้อยของลัทธิแห่งดวงดาว ไม่ทราบว่าท่านจัดอยู่ในอันดับใดของศิษย์สายใน “ ทันใดนั้นเยี่ยจงมองไปยังดวงตาของซูหยี่ อีกทั้งยังถามคำถามที่แปลกประหลาดเหล่านี้ออกมา

“ ข้าจัดอยู่ในอันดับที่ยี่สิบของสายนอกก็ถือว่าเยี่ยมแล้ว “ ซูหยี่ยิ้มออกมาอย่างไม่ถือสา ดูเหมือนกับว่านางจะมิได้คิดมากเกี่ยวกับการจัดอันดับเลย
“ ดีละ พวกเราก็ไปกันเถอะ แผนที่ในมือนี้พวกเราก็ถือว่าเข้าใจเป็นที่เรียบร้อยแล้ว หลังจากพักผ่อนหนึ่งวัน จากนั้นก็เร่งเดินทางกัน ไม่เช่นนั้นละก็ ถึงเวลาพวกเราก็อย่าว่าแต่จะได้กินเนื้อเลย แม้แต่น้ำแกงซักคำยังมิได้แม้แต่ดื่มซักอึกหนึ่ง “
เยี่ยจงพยักหนัก ถึงแม้หลังจากชุมนุมการประมูลจบลง มีคนไม่น้อยที่อาจจะเดินทางแล้วก็ได้ จากนั้นก็พลิกแผนที่บนมือคราหนึ่ง จากนั้นก็เตรียมใจเล็กน้อย ถึงแม้จะอยากรอดูปฏิกิริยาของตระกูลซ่ง จนในที่สุด เรื่องราวเกือบทั้งหมดก็เกือบถือว่าเรียบร้อยแล้ว ต่อจากนี้ คัมภีของอารามก่อฟ้าน่าจะออกมาให้ชมกันแล้ว

……
เมืองชิงซาน คฤหาสน์บ้านตระกูลม่อ
ตระกูลม่อถือว่าเป็นผู้มีอำนาจที่สุดแห่งเมืองชิงซาน จากที่มองดูจากภายนอก คฤหาสน์ไม่เพียงล้อมรอบไปด้วยภูเขาและลำธาร แต่ถ้ามองเข้าไปด้านในแล้วละก็ ตกแต่งอย่างเรียบง่ายสง่างาม แต่ก็ทำให้ผู้คนทราบได้ว่า พื้นที่ของบ้านตระกูลม่อนี้เป็นตระกูลที่ไม่ธรรมดาเหมือนทั่วๆไป การสืบทอดและการก่อตั้งของตระกูลม่อ ดูเหมือนจะมีเบื้องหลังอยู่ไม่น้อย

 

ในตอนนี้ ในบริเวณห้องที่ลับของคฤหาสน์บ้านตระกูลม่อ มีอยู่ร่างหนึ่งที่สวมเสื้อผ้าที่ดูลี้ลับ ชายหนุ่มที่ดูราวอายุยี่สิบกว่านั่งอยู่บนเก้าอี้ที่ทำจากไม้สีม่วง ในมือของเขานั้นกำลังถือกระดูกสัตว์ที่มีลักษณะด้านปลายเป็นก้อนกลมๆอยู่ เขาได้ใช้นิ้วชี้ของมือข้างขวาโยกวนไปมาเบาๆ หมุนวนไปมาอย่างไม่หยุดยั้ง

ในเสียงที่ยากจะทนฟังของเสียงกระดูก พอที่จะทราบได้ว่า ชายผู้นี้มีนิ้วทั้งห้าที่ทั้งเรียวและสวยงามอยู่บนฝ่ามือ ผิวพรรณนั้นมีส่วนที่เงาผุดผ่องราวกับหยก เป็นอะไรที่แลดูพิเศษอยู่มากมาย
“ ที่เจ้าว่ามา แผ่นศิลานั้น ในตอนท้ายก็ตกไปอยู่ในมือของตระกูลซ่งหรือ “ หลังจากความเงียบพัดผ่านไปเป็นเวลานาน ก็มีชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นมา จ้องมองไปยังชายชราที่อยู่ด้านตรงข้ามเอ่ยปากถามออกมา ชายชราผู้นั้นก็คือประธานการจัดงานชุมนุมการประมูลนั้นเอง
“ ถูกต้องแล้ว นายน้อย “ ชายชราหัวเราะเย็นเยียบ “ จากนี้ ถึงคราที่พวกเราจะปล่อยข่าวลือเหล่านี้ พวกเราก็ถือว่าทำเสร็จเรียบร้อยแล้ว เกรงว่าตอนนี้มีผู้คนไม่น้อยที่กำลังหลบซ่อนอยู่เริ่มเคลื่อนไหว เพื่อที่จะออกไปค้นหาอารามก่อฟ้ากันแล้ว “
“ ดีมาก “ ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่านายน้อยหัวเราะออกมา สีหน้าเต็มไปด้วยความแปลกประหลาดอยู่หลายส่วน “ คนเหล่านี้คงคิดจริงๆว่า อารามก่อฟ้านั้นคงจะเข้าไปได้อย่างง่ายดายละมั่ง ก่อนหน้านี้กลุ่มตระกูลม่อของพวกเรา ที่มีฐานะเป็นถือผู้อาวุโสแห่งอารามก่อฟ้าสายนอก แต่ก็เพียงเข้าไปด้านในได้เพียงไม่กี่ครั้ง ยิ่งไปกว่านั้น นับจากเรื่องนี้ก็หลายปีที่ผ่านมาแล้ว อารามก่อฟ้าที่มิได้เปิดเผยมานับพันปี ในที่สุดก็ได้เวลาเสียที เจ้าพวกมดแมลงคงสามารถช่วยกรุยทางให้แก่พวกเราได้บ้าง ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี “
“ นายน้อยช่างปราดเปรื่อง หลังจากสำรวจพบว่าอารามก่อฟ้าได้มีการเปิดเผย พวกเราจึงได้เผยแพร่แผนที่ทางเข้าออกไป ไม่อย่างนั้นแล้วละก็ คงไม่มีแมลงเม่าคอยช่วยเปิดทางให้แก่พวกเราหรอก “ ชายชราหัวเราะออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
“ พูดเช่นนั้นก็ไม่ถูก ถึงแม้แมลงเม่าเหล่านี้จะไร้ประโยชน์ และก็ถือว่ามีเหล่าบุคคลที่ยากต่อกรด้วยอยู่ แต่ว่าก็ยังไม่ถือว่าเป็นปัญหา หากเทียบกับเรื่องเหล่านี้ พวกเราตระกูลม่อที่มีการเตรียมการมาหลายปี ได้ทำการปกป้องอารามก่อฟ้ามาหลายปี เจ้าอารามก่อฟ้าที่ล้ำลือกัน ทั้งหมดจะต้องตกอยู่ในมือของพวกเราตระกูลม่อ “ ชายหนุ่มหัวเราะเสียงเยียบเย็น “ จากส่งคนไปคอยดูว่ามีสิ่งใดเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของพวกที่อาจก่อปัญหาได้ แล้วก็อย่าได้แหวกหญ้าให้งูตื่นละ การดำเนินการขั้น

“ ทราบแล้ว ข้าน้อยจะจดจำไว้ “ ชายชราผอมแห้งตอบรับเสียงหนักแน่น
“ ยังมีอีกเรื่อง เหล่าคนของพวกเราที่อยู่ทางด้านประตูเมืองถูกจัดการได้อย่างไรกัน อย่างน้อยเรื่องนี้ก็ต้องตรวจสอบให้กระจ่าง “ ชายหนุ่มทำท่าราวกับกำลังนึกขึ้นได้ ขมวดคิ้วแล้วถาม
“ เรื่องนี้ ในเวลานี้ยังตรวจสอบไม่พบอะไร ไม่แน่ว่าในระหว่างทางที่พวกเขาเข้าเมืองมา ก็ราวกับหายสาบสูญไปก็มิปาน….. “ จากนั้นชายชราก็ถอยออกไป หลงเหลือไว้เพียงเสียงตอบกลับมาที่เบาบาง

 

“ ต้องระวังไว้ให้มาก ถึงแม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นบุคคลผู้นั้นลงมือ แต่ว่าดูจากบาดแผลของการตายของคนเหล่านี้มันช่างหมดจดจริงๆ ผู้ที่ลงมือ ไม่แน่ว่าอาจจะเป็นบุคคลที่สร้างปัญหาให้แก่ตระกูลม่อเรามากที่สุดก็เป็นได้ ต้องตรวจสอบยืนยันตัวตนของเขาให้จงได้ หากว่ายังพอมีหนทางแล้วละก็ จะจัดการซะแต่เนิ่นๆ “ หลังจากที่ชายหนุ่มนิ่งเงียบ ก็ได้ค่อยๆเอ่ยปากกล่าวออกมา อีกทั้งคำพูดเหล่านี้ของเขานั้นมิได้ดูผ่อนคลายเหมือนทีแรก เป็นทีชัดเจนว่า ในตอนที่ได้เข้าไปตรวจสอบบาดแผลการตายด้วยตนเองนั้น เขาก็ไม่อาจคาดเดาได้ว่าบุคคลผู้นั้นเป็นผู้ใดกันแน่

 

“ ยังมี ระวังเจ้าเด็กบัดซบของลัทธิแห่งดวงดาวไว้บ้างละ เด็กบัดซบเหล่านี้ หากเทียบกับเหล่ายอดฝีมือของตระกูลต่างๆแล้ว ยังถือว่าสามารถสร้างความน่ารำคาญใจได้มากกว่าเยอะ…..”