………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..

“……”

ถังซิ่วได้ปรบมือพร้อมกับพูดด้วยรอยยิ้มว่า

“ยิ่งเล่นใหญ่เท่าไหร่ก็ยิ่งดี นายกลับไปที่เมืองหลวงแล้วบอกตระกูลของนายซะว่าให้ส่งตัวแทนมาที่วิลล่านี้หากว่าต้องการจะเข้าร่วมด้วย”

จิตวิญญาณการต่อสู้ของชูยี่ได้ลุกโชนขึ้นก่อนที่จะถามถังซิ่วว่า

“เพื่อนถัง นายบอกแผนการกับฉันก่อนได้ไหม ? นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยหากว่าเราไม่มีเหตุผลมากพอก็คงไม่สามารถโน้มน้าวผู้อาวุโสในตระกูลได้แน่นอน”

ถังซิ่วได้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะอธิบายเรื่องราวตั้งหมดตั้งแต่ต้นเหตุจนถึงแผนการที่ได้วางเอาไว้หลังจากนั้นจึงพูดว่า

“หากว่าพวกนายทั้งสองต้องการจะเข้าร่วมก็ให้เอาเงิน8พันล้านนั่นมา มันจะช่วยทำให้แผนการเป็นไปได้อย่างราบรื่น หลังจากที่เราถอนรากตระกูลนั้นแล้วก็จะเริ่มจัดการโครงการของเรา นายเองก็น่าจะรู้ว่าหลังจากโครงการของเราเสร็จแล้วผลตอบรับและกำไรจะเป็นอย่างไร”

ชูชี่ถามออกมาว่า

“จำเป็นต้องเล่นใหญ่ขนาดนั้นเลยหรอ ? ”

ถังซิ่วได้พ่นลงหายใจออกมาแล้วพูดว่า

“ในเมื่อต้องเล่นก็เล่นให้มันใหญ่ไปเลยยิ่งไปกว่านั้นคือหากว่าตระกูลฮูและตระกูลเสวี่ยเข้าร่วมในโชว์นี้ด้วย พวกเขาเองก็จะได้รับความเสียหายไม่น้อยเลย ฉันคิดว่าใช้เวลาแค่3ปีเราก็น่าจะเสร็จสิ้นการก่อสร้างทั้งหมดตามพิมพ์เขียวของเรา”

สามปี ?

หัวใจของชูยี่เต้นแรงขึ้นเรื่อยๆ

ต้องรู้ก่อนว่าตามพิมพ์เขียวของถังซิ่วนั้นหากว่าเป็นก่อนหน้านี้จะต้องใช้เวลาสร้างอย่างน้อยถึง10ปี

ท่าทางของชูยี่เปลี่ยนไปเป็นจริงจังทันทีก่อนที่เขาจะพูดว่า

“ฉันจะรีบกลับไปที่เมืองหลวงโดยทันที ไม่เกินเย็นวันพรุ่งนี้ก็น่าจะได้คำตอบส่วนเรื่องของไป่เถานั้นปล่อยให้ฉันจัดการเองและความลับของเราจะไม่รั่วไหลไปอย่างแน่นอน”

ถังซิ่วได้มองไปที่กระเป๋าสีดำข้างๆก่อนที่จะถามออกมาว่า

“ครั้งนี้ค่าสมุนไพรเท่าไหร่งั้นหรอ ? ”

ชูยี่ได้ตอบกลับไปว่า

“80ล้าน เรื่องเงินนั้นไม่ใช่ปัญหา เราค่อยคุยกันอีกครั้ง”

“ก็ดี !”

ถังซิ่วได้พยักหน้าของเขา

แววตาของโอหยางลูลู่เปล่งประกายก่อนที่จะเดินออกไปส่งชูยี่พร้อมกับถังซิ่วแล้วถามออกมาว่า

“นายแน่ใจงั้นหรอว่าหลังจากจบเรื่องของตระกูลซางแล้วจะจัดการเรื่องโครงการได้ ?”

ถังซิ่วได้ถามออกมาว่า

“หากว่าโครงการของเราเสร็จสิ้นเธอคิดว่าเราน่าจะได้ผลกำไรสักเท่าไหร่กัน ?”

โอหยางลูลู่ฝืนยิ้มแล้วตอบกลับไปว่า

“หากว่าดูจากพิมพ์เขียวที่นายวาดมาฉันคิดว่าไม่น่าจะต่ำกว่าแสนล้าแน่นอน ย่านการค้า ย่านพักอาศัยนั้นเป็นแหล่งทำเงินชั้นดี ฉันมั่นใจเลยว่าหลังจากที่เริ่มเปิดขายที่ดินเหล่านั้นจะมีราคาพุ่งสูงเสียดฟ้าเลยล่ะ ฉันคิดว่ามันไม่ได้ด้อยไปกว่าย่านชั้นสูงของสตาร์ซิตี้แม้แต่น้อย”

หลังจากนั้นเธอเองก็พูดต่อว่า

“ถังซิ่ว หลงเจิ้งหยูเองก็ได้เลือกที่เอาไว้แล้ว นายไม่คิดว่าเราควรจะซื้อที่ดินเอาไว้เก็งราคาในตอนนี้เพราะมันยังราคาต่ำงั้นหรอ ? แม้ว่าในอนาคตเราจะไม่ทำอะไรแค่ก็ยังได้รับผลประโยชน์มากมายจากมันอยู่ดี ”

ถังซิ่วได้ถอนหายใจออกมาพร้อมตอบกลับไปว่า

“ฉันไม่มีเงิน”

โอหยางลูลู่ได้ตอบกลับโดยทันที

“ตอนนี้เงินไม่ใช่ปัญหาแม้แต่น้อย ตระกูลของเราสามารถให้นายยืมก่อนได้และหลังจากที่นายได้กำไรแล้วค่อยเอามาคืนเราก็ได้”

ถังซิ่วได้พูดต่อว่า

“ตอนนี้อยู่ในช่วงวินาทีคับขันและเราเองก็ไม่สามารถดึงเงินจากกองทุนร่วมที่เราลงไปได้เช่นกัน”

โอหยางลูลู่ได้เงียบไปครู่หนึ่งโดยทันที

ถังซิ่วเองก็คิดอยู่ครู่หนึ่งเพราะเขาเองก็มีความคิดเช่นนั้นเหมือนกันแต่หากว่าเขาทำอย่างงั้นก็จะติดหนี้บุญคุณครั้งใหญ่กับตระกูลโอหยางอย่างแน่นอน

หลังจากที่คิดอยู่ครู่หนึ่งเขาจึงได้พูดออกมาว่า

“เอางี้ ! เธอและตระกูลของเธอก็ไปดูที่ว่าอยากจะซื้อตรงไหนและเมื่อถึงเวลาฉันจะจ่ายไป4/10ส่วนเธอก็จ่ายที่เหลือ ผลกำไรในอนาคตเราก็จะแบ่งกัน 4 : 6 ”

โอหยางลูลู่ได้ถามออกมาด้วยความสับสนว่า

“นายมีเงินงั้นหรอ ? ”

ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า

“ปัญหาเรื่องเงินนั้นฉันจะหาทางแก้ไขเอง ฉันแค่ประหยัดแต่ไม่ใช่ว่าไม่มี”

โอหยางลูลู่นั้นเชื่อถังซิ่วอย่างบริสุทธิใจและเธอก็รู้สึกพึงพอใจเป็นอย่างมากหลังจากที่ได้ยินคำตอบของถังซิ่ว

“งั้นก็เอาตามนั้น ฉันจะรีบกลับไปยังเกาะจิงเหมินและปรึกษาเรื่องนี้กับคุณพ่อ ฉันเชื่อว่าเขาจะต้องตอบตกลงอย่างแน่นอน”

หลังจากพูดจบแล้วเธอก็รีบกลับเข้าไปเก็บของในห้องพร้อมขับรถออกไปทันที ถังซิ่วเองก็รู้สึกชอบนิสัยส่วนนี้ของเธอเช่นกันเพราะเธอมีความฉลาดและการที่ต้องร่วมงานกับเธอนั้นทำให้เขารู้สึกสบายใจ

ส่วนเรื่องเงิน !

เขาเองก็ได้คำตอบแล้ว

ซางกรุ๊ปเมืองสตาร์ซิตี้

ซางดี่ขวินที่กำลังนั่งอยู่ที่เก้าอี้ผู้บริหารนั้นกำลังรู้สึกเป็นกังวลอย่างมากพร้อมกับโทรศัพท์มือถือในมือของเธอที่ไม่ว่าจะกดโทรไปที่ครั้งก็จะได้ยินเสียง “เลขหมายที่ท่านเรียกไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้ กรุณาติดต่อใหม่ภายหลังค่ะ ”

“ก๊อก ก๊อก …..”

ประตูห้องได้ถูกเคาะพร้อมกับฮูหว่านจุนและเสวี่ยเรนเฟย์ที่กำลังเดินเข้ามาด้วยรอยยิ้ม

เมื่อซางดี่ขวินเห็นพวกเขานั้นก็รีบลุกขึ้นแล้วถามโดยทันทีว่า

“พวกนายมาพอดี ฉันเองก็ตั้งใจว่าจะติดต่อหาพวกนายอยู่เลย หยงจินไม่ได้อยู่กับพวกนายงั้นหรอ ?”

ฮูหว่านจุนเองก็ได้ก็ได้ตอบด้วยความประหลาดใจว่า

“พี่สาวดี่ขวิน เราเองก็กำลังหาตัวหยงจินเช่นกัน ! เราไม่ได้เจอเขามาเป็นอาทิตย์และติดต่อเขาไม่ได้เช่นกัน ฟังจากคำพูดของพี่แล้ว …….เขาหายตัวไปงั้นหรอ ? ”

ท่าทางของซางดี่ขวินเปลี่ยนเป็นมืดมนในทันที เธอได้ให้น้องชายของเธอไปอยู่กับเพื่อนที่เจียงซูทางเหนือและตลอดเวลามานี้เขาก็ทำตัวดีอยู่เสมอแต่เมื่อวานนี้ก็ไม่สามารถติดต่อเขาและเพื่อนของเธอได้อีกเลย

แม้กระทั่ง! เธอได้ส่งคนไปที่นั่นแต่ก็ยังไม่มีข่าวคราวอะไรแม้แต่น้อย ที่บ้านของเพื่อนของเธอเองก็ไม่มีใครอยู่เช่นกัน

เสวี่ยเรนเฟย์ได้พูดออกมาว่า

“พี่สาวดี่ขวิน ก่อนหน้านี้เขาได้ติดต่อมาหาผมแล้วบอกว่ามีเรื่องต้องทำที่เจียงซูทางเหนือ เขาเองยังบอกว่าจะกลับมาภายในหนึ่งอาทิตย์ อย่าบอกนะว่าตอนนี้เขาเองยังอยู่ที่นั่น ?”

ซางดี่ขวินเองก็ได้ส่ายศีรษะของเธอก่อนที่จะพูดว่า

“ใช่แล้ว เขาได้ไปที่นั่นจริงๆแต่ตอนนี้ฉันไม่สามารถติดต่อเขาหรือเพื่อนของฉันได้เลย ฉันสงสัยว่าน่าจะมีใครบางคนสืบเรื่องของเขาแล้วลักพาตัวพวกเขาไป”

ฮูหว่านจุนและเสวี่ยเรนเฟย์มองไปที่กันและกันอย่างว่างเปล่า

“ใครเป็นคนทำงั้นหรอ ? ”

เสียงเย็นยาของซางดี่ขวินได้ดังออกว่า

“ฉันคาดว่าน่าจะเป็นถังซิ่วเพราะตอนนี้เรามีความแค้นกับเขาเท่านั้น”

ฮูหว่านจุนได้พูดออกมาด้วยความตกตะลึงว่า

“ถังซิ่ว ? ไอ้เด็กที่บ้าพลังนั่นงั้นหรอ คิดว่ามีตระกูลหลงหนุนหลังแล้วถึงได้เหิมเกริมขนาดนั้นเลย ? เขากล้าทำเช่นนั้น ? ”

ซางดี่ขวินได้เงียบไป

เธอเองก็ได้ส่งคนไปดูที่โครงการเมืองประตูทิศใต้ในช่วงหลายวันมานี้และพบว่าถังซิ่วไม่ได้ออกไปไหนแม้แต่น้อย เธอได้รับการยืนยันว่าคนที่ตายเหล่านั้นเป็นมือสังหารที่เธอจ้างมาและถังซิ่วเองก็น่าจะเป็นคนฆ่าพวกเขา

เธอเองก็ได้ติดต่อไปหานายหน้าแล้วแต่ก็ไม่สามารถทำได้จึงสรุปได้ว่าน่าจะเกิดอุบัติเหตุขึ้นกับเขาแล้วเช่นกัน เรื่องนี้เธอเองก็ยังไม่สามารถยืนยันได้แต่น้อยที่สุดสิ่งที่เธอสามารถบอกได้ก็คือ มันไม่ได้เป็นผลดีกับตัวเธอเลย

สำนักงานตำรวจแผนกอาชญากรรม

ในห้องสำนักงานนั้นมีตำรวจหลายคนเดินเข้าๆออกๆพร้อมเอกสารมากมาย เด็งเจี้ยนหมินกำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่บนโต๊ะด้วยใบหน้าดำคล้ำส่วนตรงกันข้ามกับเขาก็มีเฉิงเสวี่ยเหม่ยที่กำลังดื่มชาขณะที่จ้องมองมาที่เขา

“เบื้องบนได้สั่งมาว่าให้เราหาฆาตกรให้ได้ภายใจสามวันแต่นี่มันผ่านมาตั้งกี่วันแล้ว ? ไม่มีแม้แต่เบาะแสเล็กน้อยแล้วเราจะไปรายงานพวกเขาว่าอย่างไร ? หัวหน้าเฉิง ฉันคิดว่าเราควรจะเปลี่ยนระบบความคิดกันหน่อยแล้ว เราไม่ต้องไปจดจ่ออยู่กับภาพจากกล้องนั่น สิ่งที่เราควรจะจดจ่อคือมือสังหารเหล่านี้ ”

เด็กเจี้ยนหมินได้บี้ก้นบุหรี่ก่อนที่จะพูดออกมาด้วยเสียงโทนต่ำ

เฉิงเสวี่ยเหม่ยเองก็ฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า

“เราได้รับคำตอบจากการประสานงานแล้ว พวกเขาเป็นกลุ่มนักฆ่ากลุ่มเล็กๆที่มีคนอยู่ไม่มากแต่ครั้งนี้กลับตายไปถึงสามคนนั่นทำให้พวกเขาเริ่มซ่อนตัวโดยทันที ฉันไม่คิดว่าเราจะสืบหาอะไรจากพวกเขาได้ !”

เด็งเจี้ยนหมินเองก็ได้ส่ายศีรษะก่อนที่จะพูดว่า

“ฉันคิดว่าฉันมีเบาะแสเล็กน้อยแล้ว”

ใจของเฉิงเสวี่ยเหม่ยกระสับกระส่ายทันทีก่อนที่จะถามออกมาว่า

“หัวหน้า คุณมีเบาะแสอะไรงั้นหรอ ? ”

เด็งเจี้ยนหมินได้พูดออกมาว่า

“เธอคิดว่าพวกเขาแอบหลบออกมาจากประเทศได้อย่างไร ? เธอคิดว่าพวกเขามาที่เมืองนี้ได้อย่างไร ?”

เกิดประกายขึ้นในดวงตาของเธอทันทีก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“คุณหมายความว่า……คนที่จ้างนักฆ่าเหล่านั้นมาก็น่าจะเป็นคนของเมืองนี้ ? เขาเป็นคนช่วยให้พวกเขาเข้ามาในประเทศนี้และพามายังเมืองนี้ ? ”

เด็งเจี้ยนหมินเองก็ได้ตอบกลับไปว่า

“ใช่แล้ว ! ฉันคิดว่าพวกเจาน่าจะถูกจ้างให้ฆ่าคนและตัวพวกเขาเองก็น่าจะต้องมีนายหน้าเช่นกัน เราไม่สามารถหาข้อมูลอะไรจากพวกเขาได้เพราะฉะนั้นเราก็ควรจะเปลี่ยนเป้าหมายไปที่นายหน้าของพวกเขาแทน เธอรีบไปที่สนามบินแล้วเอารายงานขาเข้าขาออกทั้งหมดมาว่าพวกเขาได้มาถึงที่เมืองนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เราจะต้องหาเบาะแสของนายหน้าพวกเขาให้ได้ ”

เฉิงเสวี่ยเหม่ยได้ตอบกลับไปว่า

“ฉันจะรีบส่งคนไปจัดการโดยทันที ”

เด็งเจี้ยนหมินได้พูดต่อว่า

“อย่าลืมติดต่อองค์การระหว่างประเทศเพื่อขอความร่วมมือจากพวกเขาว่าคนพวกนี้มาที่ประเทศนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ งานของพวกเราจะได้ทำเร็วขึ้น”