…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ถังซิ่วเองก็ไม่ได้ตอบอะไรกลับไปเมื่อพบกับคำถามของคังเซี่ยน
ทำได้ไง ?
แค่ดึงตะปูออกมานี่มันเป็นเรื่องใหญ่ ? ก่อนหน้านี้ในตอนที่เขาอยู่ในดินแดนแห่งนิรันด์นั้นเขารับบาดเจ็บมามากมายและต้องรักษามันด้วยตัวเอง มันเทียบไม่ได้เลยกับเรื่องแค่นี้
“ไปกันเถอะ !”
ท่าทางถังซิ่วนั้นยังคงราบเรียบก่อนที่จะเดินต่อไปช้าๆ
คังเซี่ยนต้องการที่จะรู้เรื่องนี้เป็นอย่างมากแต่เมื่อเห็นท่าทางของถังซิ่วแล้วก็ได้แต่เก็บความสงสัยพวกนี้เอาไว้ในใจของเธอ ถังซิ่วในสายตาของเธอนั้นเป็นคนที่ลุ่มลึกและยากจะหยั่งถึง เธอไม่คิดเลยว่าในชีวิตนี้จะได้เจอคนแบบนี้ คนที่ทำให้เธอรู้สึกบูชาและสรรเสริญ
หลังจากกลับมาที่รถ
คังเซี่ยนได้สตาร์ทรถแล้วพูดว่า
“บอส ฉันจะไปส่งคุณที่วิลล่าก่อนแล้วจะกลับไปพักผ่อน”
ถังซิ่วพยักหน้าก่อนที่จะพูดว่า
“หลังจากกลับไปแล้วก็พักผ่อนให้เต็มอิ่มและหากว่าไม่มีเรื่องอะไรสำคัญจริงๆก็อย่ามาพบฉันในช่วงนี้ ฉันเดาว่าตระกูลซางเองก็จะส่งคนมาคอยประกบเธอทุกการเคลื่อนไหวอย่างแน่นอน หากว่าเราทำให้ซางดี่ขวินเริ่มสงสัยก็จะเป็นผลเสียต่อแผนการของเรา”
“ฉันเข้าใจแล้ว !”
คังเซี่ยนได้ตอบกลับพร้อมพยักหน้าของเธอ
โครงการเองก็เป็นไปได้อย่างราบรื่นและรวดเร็ว เงินลงทุนก้อนใหญ่ได้ถูกบริหารโดยคังเซี่ยนที่เป็นผู้จัดการ
ซางเฟิงเซี่ยนเองก็ติดๆขัดๆแต่ในเมื่อเห็นกำไรก้อนโตอยู่ตรงหน้าเขาเลยพยายามไขว่คว้ามัน อย่างไรก็ตามเพื่อเป็นการรับประกันความปลอดภัยนั้นเขาได้แอบเซ็นสัญญาร่วมกับตระกูลฮูและตระกูลเสวี่ยโดยจะปันผลกำไรไปให้ทั้งสองจากการยืมเงินมาอีก2พันล้าน
หลังจากนั้นหนึ่งอาทิตย์
โครงการเมืองประตูทิศใต้
ถังซิ่วที่ใส่ชุดอาบน้ำพร้อมอ่านเอกสารในมืออย่างสบายอารมณ์ ที่เป็นเอกสารที่ลูกน้องทั้ง20คนของเขาไปสืบมาว่าคนระดับสูงของตระกูลซางนั้นอยู่ที่ไหนกันอย่างระเอียดยิบ หากว่าถังซิ่วสั่งออกมาคำเดียวนั้นก็สามารถทำให้พวกเขาหายตัวไปได้ทันที
ตรงกันข้ามกับเขา
โอหยางลูลู่กำลังใส่กางเกงขาสั้นเสื้อกล้ามตัวน้อยพร้อมด้วยท่าทางขี้เกียจอยู่บนโซฟา เธอนั่งท้าวคางพร้อมจ้องไปที่ถังซิ่วแบบไม่กระพริบตา
หากว่าต้องนั่งจ้องไปที่คนปกตินั้นจะต้องน่าเบื่อมากอย่างแน่นอนแต่หากว่าจ้องคนที่น่าสนใจนั้นก็จะรู้สึกว่ามันมีอะไรที่ดึงดูดเป็นอย่างมาก
ตลอดเวลานี้เธอเองก็ได้ใกล้ชิดกับถังซิ่วมากขึ้นและเธอเองก็คิดว่าเขาน่าทึ่งขึ้นเรื่อยๆ ก่อนหน้านี้เธอคิดว่าคนที่ถังซิ่วรู้จักดีก็น่าจะเป็นตระกูลหลง เฉินซีซ่งหรือไม่ก็กู่เสี่ยวเสวี่ยที่ดูลึกลับอย่างไรก็ตามหลังจากที่เธอได้รู้ข่าวของเหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งนั้น เมื่อเธอได้บอกมันกับพ่อแม่แล้วผลลัพธ์กลับทำให้เธอต้องรู้สึกช๊อคเพราะสถานะของพวกเขาเองสูงกว่าเธอมาก
ลึกลับ !
โอหยางลูลู่รู้สึกได้ถึงกลิ่นอายแปลกๆที่แผ่ออกมาจากตัวของถังซิ่ว เธอคิดว่าการที่ต้องไปไขปัญหาลึกลับภายในโลกนี้ยังง่ายเสียกว่า
“บนหน้าฉันมีอะไรติดอยู่งั้นหรอ ? ”
ถังซิ่วได้วางเอกสารลงในที่สุดก่อนที่จะหันมามองโอหยางลูลู่
โอหยางลูลู่ยิ้มออกมาเบาๆก่อนที่จะพูดว่า
“บนหน้าของนายไม่น่าจะมีอะไรแต่น่าจะอยู่บนหัวของนาย ฉันอยากจะทุบมันออกแล้วดูว่าข้างในนั้นมีอะไรอยู่จริงๆ ”
“เธอเบื่องั้นหรอ ? ”
ถังซิ่วถามออกมาด้วยท่าทางขบขันก่อนที่จะส่ายศีรษะของเขา
โอหยางลูลู่ได้ตอบกลับไปด้วยรอยยิ้มว่า
“การได้สังเกตนายนั้นไม่เบื่อเลยแม้แต่น้อยแต่ฉันเองก็รู้สึกสงสัยว่านายไม่รู้สึกกังวลเรื่องของตระกูลซางบ้างเลยงั้นหรอ ? ”
ถังซิ่วได้ถามออกมาว่า
“กังวลเรื่องอะไรล่ะ ? ”
โอหยางลูลู่ได้ตอบกลับไปว่า
“ก็เรื่องที่จะเกิดเรื่องขึ้นกลางแผนการไง ! ตระกูลซางเองก็หยั่งรากลึกลงไปในเมืองนี้กว่าหลายปี เราไม่รู้ว่าพวกเขามีไพ่อะไรเหลืออยู่อีก หากว่าเมื่อถึงเวลาแล้วพวกเขาใช้ไพ่ตายออกมาแล้วเราเป็นฝ่ายเสียเปรียบจะทำอย่างไร ? ”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปอย่างไม่สนใจว่า
“ใช้กำลังแล้วเรื่องทุกอย่างก็จะถูกแก้ไขแต่ฉันเองก็ไม่ได้หวังว่าจะต้องฆ่าคนตระกูลซางทุกคนหรอกทว่าหากว่ามันเกิดเรื่องแบบนั้นขึ้นจริงๆก็คงจะเลี่ยงไม่ได้”
โอหยางลูลู่ได้ถามกลับไปว่า
“ถังซิ่ว สังคมสมัยนี้มันมีข้อกฎหมายนะ อย่าบอกนะว่านายไม่กลัวว่าการฆ่าคนเยอะๆจะสร้างปัญหาให้นาย ? ”
ถังซิ่วได้ตอบกลับอย่างไม่แยแสว่า
“กฎมีไว้ใช้กับผู้ที่อ่อนแอเท่านั้น ผู้มีอำนาจจริงๆสามารถละเว้นมันได้ แม้ว่าฉันเองก็ไม่อยากจะยุ่งกับภาครัฐแต่มันกล้าลองดีโดยการมาท้าทายขีดจำกัดของฉัน มันกล้าจ้างคนมาฆ่าฉัน ฉันก็จะฆ่ามันจนถึงขั้นที่จะไม่ทิ้งปัญหาไว้ภายหลัง”
โอหยางลูลู่ได้ปรบมือพร้อมกับพูดว่า
“ใช่แล้ว เป็นอย่างที่นายว่านั่นแหละ ก่อนหน้านี้เองก็ได้มีตระกูลหนึ่งมาท้าทายตระกูลของฉันถึงขั้นที่พวกเขาเชิญมือสังหารจากต่างประเทศมาเพื่อจัดการกับคนตระกูลฉัน สุดท้ายแล้วพวกเขาก็ต้องอยู่ที่เกาะนั่นตลอดไปพร้อมกับตระกูลนั้นที่ถูกถอนรากถอนโคนเช่นกัน โชคร้ายที่ตระกูลของฉันเองก็ได้รับความเสียหายไม่ใช่น้อยๆเลยทีเดียว”
ถังซิ่วได้ยิ้มออกมาพร้อมพูดว่า
“ดูเหมือนว่ารากฐานของตระกูลเธอนั้นจะแน่นแฟ้นจริงๆ คงจะเป็นเพราะศัตรูของเธอนั้นไม่รู้ถึงไพ่ตายในมือของเธอพร้อมรีบบุ่มบ่ามโจมตี ”
โอหยางลูลู่เองก็ได้ตอบกลับด้วยความประหลาดใจว่า
“นายรู้ได้อย่างไรว่าตระกูลของเรามีไพ่ตาย ? ”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“คนโง่นั้นมีอยู่ไม่มากและคนโง่เองก็ไม่สามารถเป็นผู้นำตระกูลได้อย่างแน่นอน ก่อนหน้าที่เขาจะลงมือเองก็คงจะตรวจสอบตัวเองและฝั่งตรงข้ามมาเรียบร้อยแล้ว นี่คือสิ่งที่เรียกได้ว่า รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”
โอหยางลูลู่ได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“อืม นายพูดถูก ตระกูลของฉันนั้นมีไพ่ตายอยู่คือคุณย่าทวดซึ่งเรียกได้ว่าเป็นคนลึกลับของตระกูล ถังซิ่วเป็นเพราะฉันเชื่อใจนายหรอกนะจึงได้บอกเรื่องนี้ แม้ว่าย่าทวดของฉันจะเป็นคนที่ทำตัวไม่โดดเด่นและอาศัยในภูเขาที่ห่างไกลแต่เธอเองเป็นผู้นำของสำนักฝึกสอนวิทยายุทธซึ่งที่นั่นเต็มไปด้วยผู้เชี่ยวชาญและตระกูลของเราเองก็จ้างพวกเขามาเช่นกัน”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“ฉันรู้ ฉันเองก็รู้สึกมันได้จากผู้ติดตามของพี่ชายเธอ”
“ก๊อก ก๊อก….”
ประตูได้ถูกเคาะพร้อมกู่หยินที่วิ่งเข้ามาอย่างร่าเริงแล้วพูดว่า
“ท่านอาจารย์ บ้านของเรามีแขกค่ะ ”
แขก ?
ถังซิ่วได้ยิ้มไปที่เธอก่อนที่จะถามออกมาว่า
“แขกคนไหนงั้นหรอ ?”
กู่หยินได้ตอบกลับไปว่า
“คนที่เคยมาบ้านเราแล้ว คนที่เอาสมุนไพรมากมายมาให้ท่าน รู้สึกว่าจะสกุลชู”
ชูยี่ ?
ท่าทางของถังซิ่วเปลี่ยนไปก่อนที่จะลุกขึ้นแล้วพูดว่า
“ไปกันเถอะ เราไปหาเขากัน”
ห้องนั่งเล่นที่ชั้นหนึ่ง
ชูยี่ที่กำลังนั่งเล่นโทรศัพท์พร้อมกระเป๋าที่ถูกวางไว้ข้างตัวเขา รอยยิ้มที่สว่างจ้าได้ปรากฏอยู่ทั่วไปหน้าของเขาและนั่นแสดงให้เห็นว่าเขากำลังอารมณ์ดีอยู่แน่นอน
“ชูยี่!”
ถังซิ่วได้เข้ามาในห้องก่อนที่จะนั่งตรงกันข้ามกับเขาพร้อมโอหยางลูลู่ที่นั่งข้างๆถังซิ่วเหมือนภรรยาตัวน้อยที่น่ารัก
ชูยี่ได้เก็บโทรศัพท์ทันทีและท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปเมื่อได้เห็นโอหยางลูลู่ที่เดินตามหลังถังซิ่วมา เมื่อได้เห็นที่ๆเธอนั่งนั้นก็ยิ่งทำให้เขารู้สึกไม่อยากจะเชื่อยิ่งกว่าเดิม เขายกมือขึ้นพร้อมชีไปที่พวกเธอแล้วพูดอย่างรวดเร็วว่า
“พวก…….”
“อะไร ?”
ถังซิ่วได้ถามออกมาด้วยความสับสน
โอหยางลูลู่ได้แสดงสีหน้าป่วยๆก่อนที่จะโอดโอยออกมาว่า
“เราทำไมงั้นหรอ ? มีเรื่องอะไรก็พูดมาได้เลย ฉันและถังซิ่วเองก็ไม่ได้ทำเรื่องที่น่าอายอะไร”
ชูยี่ได้ฝืนยิ้มออกมาพร้อมพูดว่า
“เพื่อนเก่า เธอพูดแบบนี้แล้วทำให้ฉันไม่กล้าจะพูดอะไรเลย ฉันสงสัยจริงๆว่าทำไมเธอถึงอยู่ที่นี่ !”
โอหยางลูลู่ได้ตอบกลับไปว่า
“นายเองก็มาได้แล้วทำไมฉันจะมาไม่ได้ ? ”
ถังซิ่วได้พูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ลูลู่มาที่นี่เพราะมีเรื่องที่ต้องจัดการ เธอเองพักอยู่ที่นี่ในช่วงที่ผ่านมานี้ ชูยี่นายมาที่นี่เพื่อเอาสมุนไพรมาส่งงั้นหรอ ?”
ชูยี่ได้มองด้วยสายตาแปลกๆ
“ฉันมาที่นี่ด้วยสองจุดประสงค์ด้วยกัน เรื่องแรกคือเอาสมุนไพรมาส่งให้นายส่วนเรื่องที่สองคือเรื่องที่หลงเจิ้งหยูโทรมาบอกว่ามีใครบางคนได้เข้ามายุ่งกับโครงการของเราดังนั้นฉันจึงต้องการมาฟังรายละเอียด”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“เรื่องนี้ไม่ต้องไปถามหลงเจิ้งหยูหรอกเพราะเรามีแผนการที่ใหญ่กว่านั้นมาก รอจนมันจบแล้วฉันจะบอกนายเอง”
คิ้วของชูยี่ได้ขมวดเข้าหากันก่อนที่จะถามออกมาว่า
“เพื่อนถัง ฉันไม่เข้าใจความหมายของนาย ในเมื่อหลงเจิ้งหยูอธิบายไม่ได้งั้นทำไมนายไม่อธิบายให้ฉันฟัง ? ”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“เรากำลังใช้ที่นั่นเป็นเหยื่อล่อและแผนการเองก็กำลังดำเนินการอยู่ ฉันคิดว่าอีกประมาณครึ่งเดือนก็น่าจะได้ผลลัพธ์แล้ว ฉันรู้ว่าที่นั่นมีเงินลงทุนของนายและไป่เถาอยู่แต่เรากำลังใช้ที่นั่นเป็นที่ฉากการแสดง หากว่านายต้องการเข้าร่วมก็สามารถทำได้แต่เราจะต้องฆ่าศัตรูของเราก่อน”
ชูยี่รู้สึกช๊อคเป็นอย่างมาก
“มีคนตั้งตนเป็นศัตรูกับนายงั้นหรอ ? ทำไมถึงไม่บอกฉันล่ะ ?”
ถังซิ่วได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“เราเองก็ต้องการที่จะไปหานายและไป่เถาแต่เมื่อเราเห็นว่านายเองก็ยังมีคู่แข่งอยู่ที่เมืองหลวงจึงไม่อยากไปรบกวนพวกนาย แผนการของเรานั้นถือว่าละเอียดมากๆ ฉันต้องขอให้นายเก็บมันไว้เป็นความลับ”
ชูยี่ได้หรี่ตาลงก่อนที่จะถามออกมาว่า
“มีเรื่องอะไรที่ฉันช่วยได้บ้างไหม ? อย่างเช่นเรื่อง…………เงินไง !!”
ถังซิ่วได้ตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“ตอนนี้ยังไม่จำเป็นแต่หลังจากนี้อาจต้องใช้ ฉันจะพูดกับนายทีหลัง !”
ชูยี่ได้พยักหน้าขณะที่ตอบว่า
“เรื่องนี้ฉันจะเก็บเป็นความลับไว้ด้วยกันกับไป่เถา แน่นอนว่าเราเองก็จะไม่บอกเรื่องนี้แก่ตระกูลของเราเช่นกัน ! หากว่าหลังจากนี้นายต้องการเงินก็สามารถบอกมาได้ทุกเมื่อแม้ว่าเราจะลงเงินไปกับโครงการนั้นเยอะมากแต่การที่จะหาเงินจากวิธีอื่นเองก็ยังพอทำได้อยู่”
ถังซิ่วได้ถามออกมาว่า
“หาก….. ฉันหมายถึง หากว่าตระกูลชูกับตระกูลไป่นั้นสามารถเคลื่อนไหวได้โดยที่ไม่เป็นที่เตะตานั้น นายสามารถใช้เงินได้เท่าไหร่ ? ”
ชูยี่ได้คิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาว่า

“4พันล้าน นี่คือขีดจำกัด ฉันคิดว่าตระกูลไป่เองก็น่าจะไม่ต่างกัน”