………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………..
(*ขอเปลี่ยนดาบเป็นกระบี่เลยแล้วกัน แอดว่ามันฟังแปลกๆถ้าเป็นดาบบิน)
ถังซิ่วได้มองไปที่ใบหน้าขมขื่นของเขวียนหน้าบากพร้อมกับพูดออกมาอย่างพึงพอใจว่า
“ได้ยินมาว่านายแต่งงานแล้ว มีลูกหรือยัง ? ”
เขวียนหน้าบากเองก็ได้ตอบกลับไปว่า
“แต่งมา8-9ปีแล้วล่ะ ตอนนี้ลูกๆก็อยู่ในชั้นประถมและเพื่อให้เขามีการศึกษาที่ดีฉันจึงได้ส่งเขาไปเรียนที่ตัวเมืองพร้อมให้ภรรยาดูแล”
ถังซิ่วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“ในเมื่อภรรยาและลูกของนายนั้นมีที่อยู่เป็นหลักเป็นแหล่งแล้วนายเองจะทำอย่างไร ? หากว่านายต้องการ, ฉันเองก็สามารถมอบเส้นทางใหม่ให้นายได้”
เขวียนหน้าบากได้พูดออกมาด้วยความประหลาดใจว่า
“เส้นทางอะไรงั้นหรอ ? ”
ถังซิ่วพูดด้วยรอยยิ้มว่า
“ฉันมีสูตรบ่มไวน์ที่เก่าแก่อยู่ ฉันว่าจะสร้างโรงบ่มและยกให้นายจัดการบริหารหากว่านายสามารถบ่มมันได้ตามความต้องการของฉัน นายทำไปแค่นั้นแล้วฉันจะยกหุ้น10%ให้กับนาย ”
เขวียนหน้าบากเองก็ได้ถามออกมาด้วยความสงสัยว่า
“นาย……นายต้องการลงทุนเท่าไหร่ ? ”
ถังซิ่วตอบกลับด้วยรอยยิ้มว่า
“ตอนนี้ฉันเองก็ยังไม่ได้ตัดสินใจแต่มันต้องเป็นโรงบ่มที่มีขนาดใหญ่อย่างแน่นอน มันจะไม่มีปัญหาเรื่องการขายแม้แต่น้อยตราบใดที่สามารถผลิตมันได้ทัน ยิ่งไปกว่านั้นนายจะเป็นผู้จัดการที่อยู่ภายใต้สาขาของบริษัทเรา ”
เขวียนหน้าบากเองก็ได้ถามออกมาอีกครั้งว่า
“บริษัทแม่มีชื่อว่าอะไรงั้นหรอ ?”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“บริษัทถังผู้สูงส่ง”
เขวียนหน้าบากเองนั้นไม่เคยได้ยินชื่อบริษัทนี้มาก่อนจึงได้พยักหน้าพร้อมพูดออกไปว่า
“ฉันขอเวลาหน่อยได้ไหม ? เพราะยังไงนี่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะตัดสินใจได้เลย ”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“เอาเบอร์ของฉันไป ! ฉันจะยังอยู่ที่นี่อีกไม่กี่วัน ฉันหวังว่านายจะให้คำตอบฉันได้ก่อนที่ฉันจะออกจากเมืองนี้ อ่อใช่ นายก็จะต้องย้ายไปที่เมืองสตาร์ซิตี้หากว่านายต้องการติดตามฉันเพราะบริษัทแม่อยู่ที่นั่นและฉันเองก็ต้องการจะสร้างโรงบ่มที่นั่นเช่นกัน”
“ได้เลย!”
เขวียนหน้าบากได้พยักหน้าตอบรับ
บ่ายวันต่อมา
ผู้ติดตามของเหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งได้ซื้อสิ่งของที่จำเป็นมาจากเมืองชางเบ่ยแล้ว พวกเขาไม่สามารถหาระเบิดมาได้จึงได้เอาประทัดมาแทน
ผู้คนทั้ง9ได้เดินเข้าไปในป่าแห่งนั้นอีกครั้ง
ครั้งนี้ถังซิ่วไม่ได้ปล่อยให้ผู้ติดตามรออยู่ครึ่งทางแต่เอาพวกเขาไปด้วย เขาให้คนเหล่านั้นช่วยในการขนย้ายหินยักษ์และจัดเตรียมสิ่งต่างๆที่จำเป็นต่อแผนการ
ทุกอย่างเป็นไปด้วยดีภายใต้การจัดการของถังซิ่ว
เหมี่ยวเหวินถังที่ยืนอยู่ที่ปากหลุมนั้นได้ถามออกมาว่า
“เพื่อนถัง ทุกอย่างได้ถูกจัดเตรียมและพวกเขาเองก็ประจำตำแหน่งกันไว้หมดแล้ว พวกเราที่เหลือต้องทำอะไร ? ”
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“รอ ”
“รอ ? ”
เหมี่ยวเหวินถังได้ถามออกมาด้วยความสงสัย
ถังซิ่วได้ตอบกลับไปว่า
“วันนี้ฉันสามารถรู้สึกได้ถึงความเปลี่ยนแปลงจากกลิ่นอายของพวกนาย มันแสดงให้เห็นว่าพวกนายได้เริ่มฝึกใช้เทคนิคการบ่มเพาะแห่งนิรันด์แล้วแต่การที่นายจะสามารถเปลี่ยนแปลงพลังฉีเป็นหยวนได้นั้นมันจำเป็นต้องใช้เวลา เราจะพักจนถึงพรุ่งนี้ส่วนเรื่องที่ว่าจะอยู่หรือจะตายนั้นก็ขึ้นอยู่กับตัวของพวกเราแล้ว”
“เข้าใจแล้ว !”
เหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
วันต่อมา
เมื่อแสงรุ่งอรุณสาดส่อง ถังซิ่วและคนอื่นๆได้มายืนอยู่ที่ก้นหลุมอีกครั้งพร้อมหมวกที่มีไฟฉายติดเอาไว้และคบเพลิงที่อยู่ในมือ พวกเขาได้เตรียมเชือกเอาไว้สำหรับหลบหนีแล้ว
“เหมี่ยวเหวินถัง หลังจากสองนาทีนี้นายสั่งการให้คนด้านบนจุดประทัดได้เลย เสียงของมันจะดึงดูดกิเลนไฟนี่แล้วเราก็จะฉวยโอกาสนั้นเพื่อขโมยสิ่งของข้างในออกมา จำไว้ว่านายมีหน้าที่ช่วยเหลือพวกเรา เมื่อได้ยินเสียงที่บอกว่า ดึง นายจะต้องรีบดึงมันทันที ”
ถังซิ่วได้พูดออกมา
เหมี่ยวเหวินถังได้ตอบกลับไปว่า
“ไม่ต้องห่วง ! ฉันจำแผนของนายไว้ในใจแล้ว”
ถังซิ่วและเซ่าหมิงเจิ้งได้มองไปที่กันและกันก่อนที่จะยกคบเพลิงขึ้นแล้วเดินไปตามทางเหล่านั้น หลังจากสองนาทีพวกเขาก็ได้ยินเสียงระเบิดดังขึ้น
“ตอนนี้แหละ !”
ถังซิ่วกำลังสังเกตกิเลนไฟตัวนั้นด้วยจิตสัมผัสของเขาและพบว่ามันกำลังพุ่งตามแหล่งกำเนิดเสียงไปด้วยความเร็วดั่งสายฟ้า เขาและเซ่าหมิงเจิ้งจึงรีบเร่งฝีเท้าทันที
“หยิบมันมาให้หมด !!!!”
ถังซิ่วได้กระโจนเข้าไปในถ้ำแห่งนั้นพร้อมวิ่งไปที่โต๊ะไม้และหยิบทุกอย่างออกมาก่อนที่จะวิ่งไปที่หินนภาและหยิบมันใส่กระเป๋าของเขาทันที
เขานั้นแข็งแกร่งเป็นอย่างมากแต่เซ่าหมิงเจิ้งนั้นก็ยังแข็งแกร่งกว่าเขาอยู่ดี
ถังซิ่วรีบหยิบทุกอย่างออกมาอย่างรวดเร็วพร้อมวิ่งไปที่ทางออก เซ่าหมิงเจิ้งเองก็ได้หยิบหินนภาเหล่านั้นยัดลงไปในกระเป๋าของเขาพร้อมวิ่งตามถังซิ่วไปทันที
กระบวนการทั้งหมดนั้นใช้เวลาไม่ถึงสิบวินาที
เมื่อพวกเขาได้มาถึงทางไต่ขึ้นไปของก้นหลุมนั้นก็ได้รีบเอากระเป๋าออกมาพร้อมผูกมันไว้กับเชือกก่อนที่จะรีบปีนกลับขึ้นไป
ความเร็วของเซ่าหมิงเจิ้งเองก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าถังซิ่วเลยแม้แต่น้อย เขารีบปีนกลับขึ้นมาเช่นกัน
ตอนนี้เขากำลังแข่งกับเวลาและกำลังแย่งชีวิตกับยมบาล
เมื่อพวกเขาได้มาถึงด้านบนสุดของหลุมแล้วก็พบว่าเหมี่ยวเหวินถังเองก็กำลังดึงตะกล้าไม้ไผ่อยู่เช่นกัน
ในตอนนี้ได้มีเสียงดังออกมาจากก้นหลุมแห่งนั้น
“รีบวิ่งเร็ว ใช้ทุกอย่างที่มีเพื่อหนีซะ เราจะปลอดภัยหากว่าเราสามารถออกไปจากเขาวงกตนี่ได้ ”
ถังซิ่วที่กำลังแบกหินนภาอยู่นั้นได้ใช้พลังทั้งหมดของเขาเพื่อวิ่งออกไป
ฟิ่ว ฟิ้ว ฟิ้ว
ร่างสามร่างได้พุ่งผ่านไปในป่างแห่งนี้
“โฮ๊กกกกกกกกกกกกกกก……….”
เมื่อถังซิ่วและคนอื่นๆได้มาถึงเขาวงกตนั้นก็ได้ยินเสียงร้องตามมาจากด้านหลังซึ่งเสียงนั้นดังมากจนทำให้หูของพวกเขารู้สึกเจ็บปวดเลยทีเดียว
เหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งได้หันหน้ากลับไปมองด้านหลังขณะที่หัวใจของพวกเขาสั่นไหวอย่างรุนแรง พวกเขาเห็นกิเลนตัวสูง4-5เมตรที่ถูกปกคลุมไปด้วยเปลวเพลิงกำลังพุ่งมาทางพวกเขา
“วิ่งโว้ยยยย……!!!!”
พวกเขาเร่งฝีเท้าขึ้นอย่างรวดเร็วขณะที่ความเร็วของพวกเขานั้นมากกว่าถังซิ่วถึงเท่าตัว หลังจากนั้นพวกเขาก็สามารถตามถังซิ่วทันในไม่นานพร้อมกับช่วยกันพยุงถังซิ่วไว้แล้ววิ่งไปด้วยกัน
“อ๊ากกก ………”
ก่อนที่จะหลุดออกมาจ่ายค่ายกลแห่งนี้นั้นพวกเขาก็รู้สึกได้ถึงความร้อนที่แผ่ซ่านมาจากกลางหลังของพวกเขา หลังของพวกเขาได้ถูกเผาไหม้จนเนื้อเปื่อยภายในพริบตาเดียวเท่านั้น
วิ่ง! วิ่ง! วิ่ง !
ในสมองของเหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งนั้นคิดเพียงแค่เรื่องนี้เท่านั้น พวกเขาหวังว่าตัวเองจะมีขางอกออกมาเพิ่มเพื่อที่จะสามารถวิ่งได้เร็วขึ้น ตามที่ถังซิ่วได้บอกไว้ว่าหากพวกเขาสามารถออกจากค่ายกลเขาวงกตนี้ได้ก็จะปลอดภัย
หลังจากที่พวกเขาได้มาถึงที่ตีนเขาแล้วก็ได้หยุดเท้าหลงและหันมองกลับไปข้างหลัง พวกเขารู้สึกโล่งใจเมื่อพบว่ากิเลนไฟตัวนั้นไม่ได้ไล่ตามมาแล้ว
“เห้อ…….. เกือบตายแล้วไหมล่ะ ”
พวกเขาได้ปล่อยมือออกจากถังซิ่วด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดก่อนที่จะพูดออกมาอย่างเหนื่อยล้า
ถังซิ่วมองไปที่พวกเขาด้วยความรู้สึกขอบคุณแล้วพูดว่า
“ขอบคุณสำหรับความช่วยเหลือของพวกนายไม่อย่างนั้นฉันคงจะต้องตายแน่นอน”
เหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งได้มองไปที่กันและกันก่อนที่จะหัวเราะออกมา
พวกเขารอดออกมาจากหายนะ !
สิ่งที่ทำให้พวกเขาดีใจที่สุดนั้นคือความสัมพันธ์ของพวกเขาและถังซิ่วนั้นได้แนบแน่นขึ้นยิ่งกว่าเดิม
เหมี่ยวเหวินถังพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“เพื่อนถัง หากว่าไม่ได้แผนของนายพวกเราก็ไม่สามารถเก็บเกี่ยวของที่อยู่ภายในอย่างแน่นอนดังนั้นมันไม่จำเป็นเลยที่เราจะต้องมาแสดงความรู้สึกขอบคุณต่อกันและกัน ไอ้ไฟที่กิเลนนั่นพ่นออกมานั้นรุนแรงเป็นบ้า ตอนนี้หลังของฉันเจ็บไปหมดแล้ว ”
เซ่าหมิงเจิ้งเองก็ได้พูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า
“ถึงมันจะเจ็บแต่ก็คุ้มค่า โชคดีที่เราสามารถมาถึงที่นี่ได้แต่พวกเราจะต้องตายอย่างแน่นอนหากว่าเจ้ากิเลนนั่นสามารถออกมาจากค่ายกลนั่นได้”
ถังซิ่วเองก็รู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดที่แผ่ซ่านไปทั่วแผ่นหลังของเขาก่อนที่จะคิดสักครู่แล้วพูดออกมาว่า
“กิเลนนั่นไม่สามารถออกมาได้อย่างแน่นอนเพราะข่ายอาคมนั้นแข็งแกร่งกว่าข่ายอาคมที่ผู้บ่มเพาะพลังแห่งนิรันด์สร้างขึ้นกว่าสิบเท่า หากว่ามันออกมาได้จริงนั้นคงจะออกมานานแล้ว อย่างไรก็ตามเราควรจะรีบไปจากที่นี่ได้แล้ว กลับไปดูสมบัติของเรากันเถอะ ”
“ไปกันเถอะ !”
ผู้คนทั้งสามนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป พวกเขาได้มุ่งตรงไปที่เมืองโดยทันที
หลังจากที่ได้วิ่งข้ามภูเขามาทั้งวันแล้วก็ทำให้พวกเขาเหน็ดเหนื่อยเป็นอย่างมากแต่ขากลับนั้นพวกเขาใช้เวลาน้อยกว่าเดิมถึงเท่าตัว
ในโรงแรมถังซิ่วได้อาบน้ำอย่างมีความสุขพร้อมกับเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อเขาได้เดินออกไปที่ประตูนั้นก็พบว่าเซ่าหมิงเจิ้งนั้นได้ออกมาแล้วเช่นกัน พวกเขายิ้มให้กันและกันพร้อมกับไปเคาะประตูห้องของเหมี่ยวเหวินถังทันที
“มา เข้ามากันเถอะ !”
เหมี่ยวเหวินถังได้เปิดประตูออกมาพร้อมกำลังเช็ดผมที่เปียกของเขา
หลังจากที่พวกเขาเข้าไป สายตาของพวกเขาก็ตกลงไปที่หินนภาและตะกร้าที่อยู่มุมห้อง
ถังซิ่วได้เดินไปพร้อมกับหยิบหินนภาทั้งหมดออกมา มันมีหินอยู่6ก้อน กระบี่โบราณและกล่องหยก
พวกเขาทั้งสามแบ่งหินกันไปอย่างเท่าเทียมกัน
เหมี่ยวเหวินถังและเซ่าหมิงเจิ้งนั้นไม่ได้สนใจในกระบี่โบราณแต่จับจ้องอยู่ที่กล่องหยกนั้น มีเพียงแค่ถังซิ่วเท่านั้นที่ยกกระบี่เล่มนั้นขึ้นมาวิเคราะห์ก่อนที่จะปรากฏรอยยิ้มขึ้นที่มุมปากของเขา
นี่ไม่ใช่กระบี่นิรันด์!แต่เป็นกระบี่บินของผู้บ่มเพาะพลังแห่งเซียน ถึงแม้ว่าเขาจะไม่รู้ว่าทำไมกระบี่อันนี้ถึงได้ถูกทิ้งไว้ในถ้ำสวรรค์นั่้นแต่เขาก็ขอรับมันไว้ด้วยความเต็มใจ เขามั่นใจว่าหากเขาเอามันไปหลอมขึ้นใหม่ก็จะสามารถสร้างกระบี่บินชั้นยอดได้อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่ากระบี่เหล่านี้จะเป็นเพียงแค่ขยะในโลกแห่งนิรันด์ก็ตามทีแต่สำหรับโลกนี้มันเป็นถึงสมบัติล้ำค่าเลยก็ว่าได้
สุดท้ายพวกเขาก็มองไปที่กล่องหยกอันนั้น มันมีความยาวประมาณ30 ซ.ม.และกว้างประมาณ15 ซ.ม.พร้อมสูง10 ซ.ม.ที่ถูกแกะสลักไว้ด้วยลวดลายธรรมดาๆ
“เปิดมันกันเถอะ !”
เหมี่ยวเหวินถังได้พูดออกมาเบาๆ