…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

เมืองชางเบ่ยนั้นเป็นเมืองทางเศรษฐกิจเช่นกันอาจจะเรียกได้ว่าไม่ได้ต่างจากเมืองสตาร์ซิตี้นักแต่การจัดการนั้นยังถือว่าด้อยกว่า แม้ว่าโรงแรมที่แท๊คซี่ได้ไปส่งถังซิ่วนั้นจะบอกว่าเป็นโรงแรมระดับ5ดาวงของที่นี่แต่ก็ยังเทียบไม่ได้กับมาตรฐานของโรงแรม4ดาวด้วยซ้ำ

แน่นอนว่า!

ราคานั้นย่อมถูกกว่า

ทั้งสองฝากของเมืองนั้นถูกห้อมล้อมไปด้วยภูเขาและแม่น้ำ ในรุ่งเช้า ถังซิ่วได้ล้างหน้าล้างตาพร้อมกับทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรมพร้อมกับนั่งรอคนขนรถแท๊คซี่

“จากที่นี่ไปยังเมืองภูเขาบลูนั้นนานแค่ไหนกัน ? ”

ถังซิ่วได้เอ่ยปากถามขึ้นมา

หญิงคนขับรถก็ได้ตอบกลับไปว่า

“ประมาณ2ชั่วโมงครึ่ง ถึงแม้ว่าระยะทางจะไม่ค่อยไกลนักแต่เส้นทางนั้นไม่ค่อยดีนัก รัฐบาลเองก็ได้ป่าวประกาศไปหลายต่อหลายครั้งว่าจะทำการปรับปรุงซ่อมแซมถนนแต่นี่ก็ผ่านไปหลายปีแล้วยังไม่เป็นมีมาสักตัว หากว่าเส้นทางดีละก็ 100-200 กม.ก็สามารถไปถึงได้ภายในหนึ่งชั่วโมงเท่านั้น ”

(*เรื่องนี้แต่งขึ้นที่ไทยปะเนี่ย แอดชักจะสงสัยเกี่ยวกับเรื่องถนนจัง55555 อีกอย่างคือแท๊คซี่ที่นั่นคงเป็นซุปเปอร์คาร์ถึงได้ขับ200 กมได้ภายใน ชมเดียว)

ถังซิ่วได้เงียบไปครู่หนึ่งพร้อมถามต่อว่า

“ได้ยินมาว่าที่นั่นมีถ้ำสวรรค์อยู่ มันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ? ”

หญิงคนขับรถก็ได้เหมือนถูกปลุกให้ตื่นพร้อมสังเกตถังซิ่วอย่างละเอียดจากนั้นก็พูดด้วยรอยยิ้มว่า

“น้องชาย อย่าบอกนะว่าเธอต้องการไปที่เมืองนั้นเพื่อถ้ำสวรรค์ ? ฟังคำเตือนของพี่สาวนะว่าอย่าได้ไปเผชิญหน้ากับอันตรายเหล่านั้นเลย ที่แห่งนั้นอยู่ในป่างลึกและที่นั่นเองก็มีงูพิษและสัตว์ร้ายอยู่มากมาย มีหลายคนได้ก้าวเข้าไปยังที่แห่งนั้นและหลายคนที่ไม่ได้กลับออกมา ซากกระดูกนั้นมักจะถูกเก็บออกมาโดยคนอื่นๆที่สามารถออกมาได้”

ถังซิ่วถามต่อด้วยความสงสัยว่า

“ที่แห่งนั้นเป็นสันเขาที่มีพื้นที่กว้างเป็นอย่างมากแล้วทำไมถึงได้ไม่มีคนจัดตั้งโครงการอะไรเลยงั้นหรอ ? ทุกๆส่วนของประเทศนี้เองก็ได้มีการสร้างสถานที่มากมายเพื่อดึงดูดนักท่องเทียวและขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปในตัว เมืองแห่งนี้มีรากฐานที่ดีขนาดนี้แล้วทำไมถึงไม่ได้ใช้มันล่ะ ? ”

คนขับรถก็ได้ฝืนยิ้มออกมาแล้วพูดว่า

“รัฐบาลของเมืองนี้นั้นสามารถเรียกได้โดยไม่กี่คำ”

ถังซิ่วได้ถามออกมาว่า

“คำว่าอะไรอย่างงั้นหรอ ? ”

“ไม่ทำเหี้*อะไรเลย !”

คนขับรถก็ได้พูดออกมาตรงๆ

ถังซิ่วอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา คำพูดที่ตรงไปตรงมาของเธอนั้นทำให้เขานึกถึงหยวนชูหลิงโดยทันที

“มันเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าพวกรัฐบาลนั้นเป็นพวกโลภมาก กาทั้งหมดในโลกนั้นล้วนเป็นสีดำและมักจะทำตามกันเป็นระบบ หากใครที่ไม่โกงกินนั้นแทบจะไม่สามารถอยู่ได้เลย อย่างไรก็ตาม บางคนที่โกงนั้นก็ได้มีผู้มีอำนาจหนุนหลังแต่บางคนก็ไม่มี คนสองจำพวกนี้เป็นอะไรที่น่ารังเกียจที่สุด”

ถังซิ่วเองก็ไม่อยากจะสนใจเรื่องนี้ต่อ เขาทำได้เพียงส่ายหัวพร้อมกลับมองออกไปนอกหน้าต่าง เขาได้ออกมาจากเมืองชางเบ่ยกว่าครึ่งชั่วโมงแล้วและรถกำลังแล่นไปตามถนนที่อยู่ในหมู่บ้านหนึ่งและใกล้จะสุดทางแล้ว

“โอ๋ ขับรถมาทางนี้ทีไรฉันต้องปวดหัวทุกทีเลย ให้ตายสิ ”

คนขับรถนั้นเป็นคนที่ไม่ชอบอยู่คนเดียวเป็นอย่างมากดังนั้นเธอจึงได้เริ่มการสนทนาขึ้นอีกครั้ง

ถังซิ่วนั้นไม่อยากจะพูดอะไรต่อพร้อมกับมองไปที่คนขับรถแล้วพูดว่า

“ผมต้องการจะพักผ่อนนิดหน่อย หากว่าถึงที่นั่นแล้วก็ปลุกผมด้วยแล้วกัน ”

“นอนงั้นหรอ ? เมื่อวานเธอยังไม่ได้พักผ่อน ?”

คนขับรถเองก็ได้ถามออกมาด้วยความประหลาดใจ

“อื่ม”

ถังซิ่วพยักหน้าช้าๆ

คนขับรถเองก็ได้พูดต่อว่า

“ก็ไม่แปลกหรอกเนอะ เธอมาถึงเมืองนี้ก็สี่ทุ่มกว่าแล้วกว่าจะไปถึงโรงแรมและอาบน้ำอะไรอีกก็คงจะไม่ต่ำกว่าเที่ยงคืนแน่นอน หากว่าสามารถนอนหลับได้เต็มอิ่มก็คงถือว่าเป็นเรื่องที่แปลกแล้วล่ะ นอนเถอะน้องชาย เมื่อถึงที่หมายแล้วพี่สาวจะปลุกเอง !”

“ขอบคุณ!”

ถังซิ่วตอบตกลงพร้อมกับหลับตาลงอย่างช้าๆ

เมื่อวานนี้นั้นเขาไม่ได้นอนตอนเที่ยวคืนด้วยซ้ำแต่เป็นเวลาประมาณตี2-3แล้ว เพราะทุกๆเขานั้นยุ่งเป็นอย่างมากและไม่มีเวลาพอให้บ่มเพาะพลังเลยแม้แต่น้อย ตอนนี้พลังแห่งดวงดาราในตัวเขาก็ได้เพิ่มขึ้นมามากแล้วและอีกไม่นานก็คงจะถึงช่วงคอขวดของขั้นเสริมสร้างผิวหนังแล้ว

เวลาผ่านไป

ในขณะที่ถังซิ่วกำลังหลับใหลนั้น รถแท็กซี่ก็ได้เบรกอย่างรุนแรงและเสียงนั่นก็ทำให้เขาตื่นขึ้น

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นอย่างงั้นหรอ ?”

ถังซิ่วนั้นมีการตอบสนองทางร่างกายที่รวดเร็วมากและหากว่าสายตาและมือของเขาไม่เร็วนั้นคงจะต้องฟาดเข้ากับเบาะที่นั่งแล้ว หลังจากที่เขาเปิดตาขึ้นมาจึงได้ถามออกไปพร้อมคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน

ท่าทางของคนขับในของนี้นั้นซีดเผือดพร้อมหันหน้ากลับมาแล้วพูดว่า

“เราชิบหายแล้ว ไม่คิดเลยว่าพวกมันจะกล้าปิดถนนปล้นกันกลางวันแสกๆ”

ถังซิ่วมองออกไปข้างนอกก็ได้เห็นว่าแท็กซี่นั้นกำลังถูกล้อมโดยรถตู้ถึงสามคันขณะที่ข้างหน้าเองก็มีก้อนหินกั้นทางเอาไว้

ถังซิ่วมองไปรอบๆพร้อมกับตระหนักได้ทันทีว่าตรงทางแยกก่อนหน้านี้นั้นพวกรถตู้เหล่านี้ได้ดักรอเอาไว้แล้วพร้อมกับเมื่อมีรถคันไหนผ่านมาพวกมันก็จะลงมือปิดถนนทันที

แต่!

เขาไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่ามันจะกล้าถึงขนาดปล้นกันกลางวันแสกๆแบบนี้ มันสามารถอธิบายได้อย่างดีว่าคนเหล่านี้นั้นเหิมเกริมขนาดไหนกัน

“รัฐบาลนั้นไม่ได้เรื่องจริงๆ อ๊า! ”

ถังซิ่วได้ถอนหายใจออกมาแต่ก็ไม่ได้กระวนกระวายแม้แต่น้อย เขามองไปที่ชายเหล่านั้นที่ถือมีดอยู่พร้อมพูดออกมาเบาๆว่า

“พี่สาวรออยู่ในรถนะ ผมจะออกไปดูหน่อย”

ผู้หญิงคนนั้นรีบพูดอย่างรวดเร็วว่า

“น้องชาย อย่างได้ไปยุแหย่พวกเขาเพราะเขาต้องการแค่เงินเท่านั้น หากว่าเราให้เงินพวกเขาไปก็สามารถรับประกันความปลอดภัยของเราได้อย่างแน่นอนแต่ถ้าน้องชายไปยั่วยุพวกเขาละก็จะต้องถูกทุบตีอย่างทารุณแน่นอน”

ถังซิ่วไม่ได้พูดอะไรต่อพร้อมเปิดประตูรถออกมาและมองไปที่คนเหล่านั้น จากนั้นก็พูดขึ้นว่า

“นี้พวกนายต้องการปิดถนนโดยใช้กำลัง ? ”

ชายรูปร่างกำยำที่หัวล้านพร้อมกับห้อยสร้อยทองเส้นหนาและที่ใบหน้าของเขายังมีแผลเป็นได้หยิบมีดออกมาพร้อมพูดว่า

“เด็กน้อย แกรู้เรื่องดีหนิ ? ในเมื่อรู้ว่าเรามีจุดประสงค์อะไรก็รีบๆเอาของมีค่าออกมา หากว่าทำให้พวกเราพอใจนั้น แกก็จะไม่โดนมือโดนตีนยังไงล่ะ ”

ถังซิ่วเงียบไปครู่หนึ่งก่อนที่จะพูดออกมาช้าๆว่า

“นายเคยได้ยินคำพูดนี้ไหม คนชั่วก็มักจะเจอกับที่ลับคนชั่ว”

(*ใน lnmtl มันเป็นสำนวนประมาณหินลับมีดอะ)

ชายหัวล้านก็ได้จ้องมองอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะหัวเราะออกมาอย่างดังขณะที่พูดขึ้นว่า

“จะบอกว่านายเองก็เป็นคนชั่วงั้นหรอ ? นายจะจัดการกับพวกเรา ? ”

ถังซิ่วได้ยกนิ้วโป้งขึ้นมาพร้อมพูดชื่นชมว่า

“ความสามารถในการเข้าใจของนายดีหนิ คิดว่านายเองก็น่าจะเป็นคนที่มีสมองอยู่บ้างแต่น่าเสียดายที่เลือกเดินเส้นทางผิดๆ ในสมองคงมีแต่เรื่องชั่วช้า วันนี้ฉันจะช่วยพ่อแม่ของนายอบรมนายเอง หลังจากที่นายได้รับบทเรียนแล้วก็จะได้กลับมาอยู่กับร่องกับรอย ”

“ฮ่า ฮ่า ฮ่า……..”

ชายหัวล้านคนนั้นได้หัวเราะออกมาอย่างบ้าคลั่งพร้อมกับคนอื่นๆที่อยู่แถวนั้น พวกเขามองไปที่ถังซิ่วเหมือนกับว่ากำลังมองไอโง่คนหนึ่ง

หลังจากผ่านไปครู่หนึ่ง ชายคนนั้นก็ได้หยุดหัวเราะพร้อมกับมองไปที่ถังซิ่วแล้วพูดว่า

“เด็กน้อย นายรู้ไหมว่าฉันมีฉายาว่าอะไร? เขวียนหน้าบาก ทุกๆคนมักจะเรียกฉันว่าพี่ใหญ่เขวียน เป็นอย่างไร ? เคยได้ยินชื่อของพี่ชายคนนี้ไหม ? ”

ถังซิ่วส่ายศรีษะพร้อมกับพูดออกมาว่า

“พอดีว่าฉันนั้นเป็นคนชนบทและไม่มีประสบการณ์นัก นายมีชื่อเสียงมากงั้นหรอ ? ”

ชายอีกคนก็ได้ยิ้มออกมาพร้อมพูดว่า

“มีชื่อเสียง ? มันมากกว่านั่นเยอะเลยล่ะ พี่ใหญ่เขวียนนั้นเป็นที่รู้จักของคนมากมาย ไอเด็กน้อย ดีนะที่แกรู้ว่าตัวเองเป็นแค่ไอ้เด็กกระจอกแล้วที่ไม่มีความรู้ ”

ถังซิ่วได้ส่ายศรีษะพร้อมพูดต่อว่า

“ฉันไม่เห็นด้วยกับคำพูดของนายและยิ่งไปกว่านั้นฉันเองก็ไม่คิดว่าเขานั้นมีชื่อเสียง เพราะว่าอะไรรู้ไหม ? ”

“เพราะอะไร ? ”

ชายรูปร่างกำยำคนนั้นได้รู้สึกสับสน

ถังซิ่วพูดออกมาเบาๆว่า

“หากว่าเป็นผู้นำที่มีชื่อเสียงแล้วละก็ จะต้องถูกตำรวจรวบไปนานแล้ว แม้ว่าการรักษาความสงบของที่นี่จะไม่ค่อยดีนักและเต็มไปด้วยพวกป่าเถื่อนแต่ตำรวจเองก็คงจะไม่อยู่เฉยๆไปวันๆอย่างแน่นอน”

“แกกำลังหาที่ตายงั้นหรอ ?”

ชายรูปร่างกำยำคนนั้นได้โกรธจัดก่อนที่จะยกมีดขึ้นมาและชี้ไปที่ถังซิ่ว

เขวียนหน้าบากนั้นได้โบกมือเพื่อห้ามชายคนนั้นพร้อมมองไปที่ถังซิ่วแล้วพูดว่า

“ไอเด็กน้อย ฉันยอมรับในกึ๋นของแกจริงๆ สามารถพูดคำเหล่านั้นอย่างมั่นในได้ต่อหน้าพวกเรา ฉันเดาว่าแกจะต้องไม่ใช่คนธรรมดาอย่างแน่นอน ไหนลองบอกชื่อตัวเองมาหน่อยได้ไหม ? เผื่อว่าเราอาจจะรู้จัก”

ถังซิ่วได้พูดต่อว่า

“ก็บอกไปแล้วว่าเป็นแค่คนชนบทเท่านั้น”

เขวียนหน้าบากได้มองไปที่ถังซิ่วก่อนที่จะยิ้มออกมา

“โอกาสนั่นได้ให้นายไปแล้วแต่นายกลับไม่คว้ามันเอาไว้เอง ในเมื่อมันเป็นเช่นนั้นพวกเราก็ต้องขออภัยที่ไม่สุภาพ เอาของมีค่าทั้งหมดออกมา คนขับรถนั่นออกมานี่ ! เงินทั้งหมดส่งมาไม่เช่นนั้นวันนี้จะต้องนองเลือดอย่างแน่นอน”

ถังซิ่วได้พูดออกมาอย่างไม่แยแสว่า

“ฉันเองก็ขอคืนคำพูดพวกนี้กลับไปเหมือนกัน เอาของมีค่าทั้งหมดของพวกนายออกมา ไม่อย่างงั้นก็อย่ามาโทษว่าฉันไม่สุภาพ ไม่ว่าจะเป็นโซ่ล่ามคอของของพวกนาย นาฬิกาและกำไลข้อมือทั้งหมดที่มีค่าก็ส่งมาให้ฉัน”

(*5555555555 แอดแปลไปขำไป โจรโดนปล้น ฮ่าๆๆๆๆ )

เขวียนหน้าบากได้จ้องมองอย่างตกตะลึง คนรอบๆข้างเองก็จ้องมองด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

อย่างไรก็ตาม ! พวกเขาก็ตอบสนองในช่วงวินาทีต่อมาโดยทันทีพร้อมกับพุ่งไปที่ถังซิ่วด้วยใบหน้าที่บูดบึ้ง

ท่าทางบนใบหน้าของถังซิ่วนั้นไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อยขณะที่มองใบมีดที่กำลังฟาดฟันมาที่ตัวของเขา เขาเคลื่อนไหวในพริบตาพร้อมกับเหวี่ยงหมัดอัดไปที่จมูกของชายคนนั้น พลังที่เขาปลดปล่อยออกไปนั้นน้อยนิดเป็นอย่างมากแต่มันก็พอที่จะทำให้กระดูกตรงหน้าของชายคนนั้นแตกละเอียด

“ผั๊ว ปึ้ก”

ถังซิ่วนั่นเหมือนดั่งเป็นนักรบที่แข็งแกร่งและชายรูปร่างกำยำเหล่านั้นเป็นเหมือนกับแกะน้อยที่ดูบอบบางและกำลังโดยถังซิ่วรังแก

หลังจากผ่านไปเพียง7-8ลมหายใจ ชายทั้งหมดก็ได้ถูกทุบตีโดยถังซิ่วเหมือนกับกุ้งเผาที่กำลังนอนกลิ้งไปบนพื้นขณะที่ส่งเสียงร้องโหยหวนออกมา

เขวียนหน้าบากนั้นยังไม่ได้ลงมือ เขาเองยังยืนอยู่กับที่ขณะที่นัยน์ตาของเขากำลังปรากฏถึงความรู้สึกที่ไม่อยากจะเชื่อออกมา เขามองไปที่ถังซิ่วเหมือนดั่งว่าเขากำลังมองไปที่สัตว์ประหลาดตัวหนึ่ง

เขาเคยได้เห็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิทยายุทธ

แต่ !

เขาไม่เคยเห็นคนที่แข็งแกร่งถึงขนาดนี้ ! เขารู้สึกว่าตัวเองกำลังอยู่ในความฝัน หรือว่าถังซิ่วนั้นจะเป็นยอดทหารกองกำลังพิเศษที่เพิ่งได้รับการปลดประจำการมางั้นหรอ ?