“เทียนซินนำทาง!”

 

นิ้วมือทั้งห้าของหลินหนิ่งซานกำดาบประกายดาววิเศษไว้ นางตวัดดาบออกไป ในอากาศ ก็ปรากฏเป็นปราณดาบหนึ่งสาย บนพื้นดินปรากฏเป็นรอบดาบยาวเจ็ดเมตร

 

บนหินที่แข็งแกร่งนั้น สลักเป็นรอบดาบลึก

 

“แปะแปะ!”

 

หลินเฟิ่งเซียนตบมือขึ้น แล้วเดินเข้ามาในสนามฝึก เขายิ้มแล้วกล่าวว่า “ลูกซาน พรสวรรค์ในวิชาดาบของลูกทำให้พ่อได้แต่มองจริง ๆ ใช้เวลาเพียงไม่ถึงสามเดือน ก็สามารถฝึกกระบวนท่าแรกของเพลงดาบขั้นวิญญาณได้สำเร็จ จากกระบวนท่านี้ จะต้องทำให้ลูกโดดเด่นในการสอบปลายปีนี้ได้แน่ ๆ แล้วกลายเป็นที่จับตามองมากที่สุดคนหนึ่ง ”

 

หลินหนิ่งซานกล่าว “นั่นเป็นเพราะข้าฝึกมาถึงขั้น“ดาบตามใจนึก”ได้นานแล้ว แล้วเข้าใจเรื่องดาบอย่างลึกซึ้ง ถึงได้สามารถใช้ระยะเวลาสั้น ๆ ในการฝึกกระบวนท่านแรกได้สำเร็จ”

 

หลินเฟิ่งเซียนหยักหน้าแล้วกล่าวว่า “ทั้งเมืองหวาง ก่อนจะอายุยี่สิบปี อัจฉริยะที่สามารถฝึกฝนจิตแห่งดาบได้ถึงขั้น “ดาบตามใจนึก” ยังมีไม่ถึงสิบคน ตอนนี้เจ้าพึ่งจะอายุสิบห้าปีเท่านั้น ความสำเร็จข้างหน้าคงประมาณมิไม่ได้”

 

หลินเฟิ่งเซียนเดินออกไปนอกสนามฝึก หลินหนิ่งซานนางก็ฝึกฝนต่อ

 

เวลาสิบสามวัน ผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ภายนอกสิบสามวัน แต่ภายในหินผลึกมิติ กลับนานถึงสามสิบเก้าวัน !

 

จากความช่วยเหลือของยารวมปราณ จางลั่วเฉินก็สามารถเลื่อนจากขั้นอเวจีระดับสูงต้นขั้นกลางไปเป็นขั้นอเวจีระดับสูงต้นขั้นสูงสุดได้ ปริมาณลมปราณภายในบ่อลมปราณเพิ่มขึ้นจากสามสิบวันก่อนอีกสิบเท่า แล้วก็เต็มบ่ออีกครั้ง

 

เขาในตอนนี้ แค่ออกฝ่ามือง่าย ๆ ก็มีกำลังเท่ากับแรงวัวสิบตัวแล้ว !

 

ถ้าหากใช้ฝ่ามือมังกรคชสาร และใช้เพลงยุทธ์ช่วย จะสามารถแสดงพลังได้ถึงแรงวัวสิบหกตัว

 

ปกติแล้วจอมยุทธ์ในขั้นอเวจีระดับสูงต้น จะสามารถแสดงพลังได้เท่าวับแรงวัวสี่ตัว

 

จอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับสูงกลาง จะสามารถแสดงพลังได้เท่ากับแรงวัวเก้าตัว

 

จอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับสูงปลาย จะสามารถแสดงพลังได้เท่ากับแรงวัวสิบหกตัว

 

ถึงแม้จางลั่วเฉินจะฝึกฝนอยู่แค่ในระดับสูงสุดของระดับสูงต้น แต่กลับแสดงพลังได้เท่ากันกับจอมยุทธ์ที่อยู่ในระดับสูงปลาย

 

จางลั่วเฉินไม่เลื่อนไปขั้นอเวจีระดับสูงกลาง เพราะว่า ถึงแม้เขาจะเลื่อนไปยังขั้นอเวจีระดับกลางในตอนนี้ ก็สามารถทะลวงชีพจรภายในร่างกายได้มากที่สุดแค่สิบหกเส้นเท่านั้น

 

ชีวิตที่แล้วตอนที่เขาอยู่ในขั้นอเวจีระดับสูงกลางนั้น สามารถทะลวงชีพจรได้ถึงยี่สิบสาย !

 

“จะต้องคิดหาวิธีเพิ่มระดับร่างกาย ถ้าหากแพ้ตั้งแต่เริ่ม จะเอาอะไรสู้กับองค์หญิงฉือเหยาได้”

 

จางลั่วเฉินเดินออกมาจากในห้อง แล้วก็มองเห็นอวินเอ๋อร์ยืนอยู่หน้าห้อง

 

“พี่อวินเอ๋อร์ วันนี้คือวันสอบปลายปีใช่มั๊ย ”จางลั่วเฉินถาม

 

“ใช่แล้ว!”

 

อวินเอ๋อร์พยักหน้า แสดงออกถึงความประหม่าแล้วกล่าวว่า“องค์ชายเก้า ท่านต้องระวังตัวด้วย ได้ยินมาว่าองค์ชายแปดก็สามารถเลื่อนไปถึงขั้นอเวจีระดับสูงต้นได้แล้ว ถ้าหากเขารู้ว่า ท่านเองก็เป็นจอมยุทธ์แล้วล่ะก็ จะต้องจงใจหาเรื่องท่านแน่ๆ”

 

“ไม่เป็นไร!ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร!”จางลัวเฉินยิ้มบาง ๆ แล้วกล่าวว่า “วันนี้ ท่านแม่ก็จะไปดูการสอบปลายปีใช่มั๊ย”

 

“สนมหลินต้องไปอยู่แล้ว แต่ว่า พระนางไม่รู้ว่าท่านเองก็จะเข้าร่วมการสอบปลายปีด้วย” อวินเอ๋อร์คิดอยู่ในใจ ถ้าหากสนมหลินรู้ว่าตอนนี้องค์ชายเก้าเป็นจิมยุทธ์แล้ว จะต้องดีใจอย่างมากแน่

 

“องค์ชายเก้า อวินเอ๋อร์จะช่วยท่านเปลี่ยนเสื้อคลุมมังกรตระกูลฮวางให้ท่าน ตอนนี้ท่านก็สามารถไปภูเขาหวาง สนามฝึกของตระกูลฮวางได้แล้ว”อวินเอ๋อร์กล่าว

 

จางลั่วเฉินถึงได้สังเกตเห็นว่าในมือของอวินเอ๋อร์ยกถาดทองแดงไว้ ในถาดมีเสื้อคลุมมังกรสีทองที่ปักลายมังกรสี่เล็บ หมวกกวาน จี้หยก ป้ายประจำตัว วางไว้ในถาดอย่างเป็นระเบียบ

 

ในประเทศอวินอู่จวิน มีแค่องค์ชายเท่านั้นที่สามารถใส่ชุดคลุมมังกรได้ ขุนนางและพระญาติใส่ได้แค่เสื้อคลุมลายนกกระจอกเท่านั้น !

 

ผ่านการฝึกฝนพลังและร่างกายมาหกเดือน ร่างกายของจางลั่วเฉินและบุคลิกเปลี่ยนไปอย่างหน้ามือเป็นหลังมือ ไม่เหมือนกับคนป่วยอย่างที่เคยเป็น แต่กลับให้ความรู้สึกว่าเป็นชายหนุ่มที่กล้าหาญองอาจ !

 

ใส่เสื้อคลุมมังกร สวมหมวกกวาน บุคลิกของเขาก็เปลี่ยนอีก เหมือนกับเขาเปลี่ยนจากปลาหลีฮื้อกลายเป็นมังกร ! เปลี่ยนจากนกอินทรีกลายเป็นนกคุนนกยักษ์ในตำนาน ให้ความรู้สึกสูงศักดิ์อย่างบอกไม่ถูก

 

“องค์ชายเก้า ท่าน…ท่านดูเป็นองค์ชายมากกว่าองค์ชายทุกคนเลย!”อวินเอ๋อร์จ้องไปทางจางลั่วเฉินแล้วใจเต้นไม่หยุด ห้ามอารมณ์ไม่ให้ถูกรัศมีของจางลั่วเฉินดึงดูดไม่ได้ หน้าทั้งสองข้างปรากฏรอยแดงขึ้น

 

จางลั่วเฉินยิ้มแล้วกล่าวว่า “พี่อวินเอ๋อร์ พวกเราไปสนามฝึกตระกูลฮวางกันเถอะ !”อวินเอ๋อร์พยักหน้าเบา ๆ แล้ว แล้วกล่าวว่า“สนมหลินไปเคารพฮองเต้ก่อนแล้ว พวกเราก็รีบไปเถอะ ไม่อย่างนั้นจะสายได้ แล้วบรรดาพระสนมกับองค์ชายจะพากันพูดจาส่งเดชอีก”

 

สนามฝึกตระกูลฮวาง สร้างอยู่ที่ตีนเขาหวาง

 

การสอบปลายปีเป็นงานใหญ่รองลงมาจากงานประชุมพิธีบูชายันต์ ขนาดฮองเต้อวินอู่จวินเองยังออกมาจากการปิดตัวฝึกฝน แล้วมาเข้าร่วมงานการสอบปลายปีด้วยตนเอง !

 

องค์ชาย พระญาติ สนม มาถึงสนามฝึกตระกูลฮวางเพื่อรอรับเสด็จฮองเต้อวินอู่จวินตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง

 

ฮองเต้อวินอู่จวินอยู่ในที่นั่งที่สูงที่สุดสนามฝึก มองดูแล้วอายุประมาณ 40 ปี ไว้หนวดสองข้าง ให้ความรู้สึกน่าเกรงขาม เขายิ้มพลางมองไปที่บรรดาองค์ชายและพระญาติทั้งหลายแล้วกล่าวว่า  “ลูกเจ็ด ยังไม่กลับมาหรือ”

 

ฮองเฮาที่นั่งอยู่ข้างฮองเต้อวินอู่จวินตอบ “ฮองเต้ ครึ่งเดือนก่อน องค์ชายเจ็ดได้ส่งให้คนเอาจดหมายกลับมาฉบับหนึ่ง เพราะว่าตัวเขาไปเจอเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งเข้า ตอนนี้ยังกลับมาไม่ได้ อีกอย่าง จากการฝึกฝนขององค์ชายเจ็ดในตอนนี้ การเข้าร่วมการสอบปลายปีไม่ได้มีความหมายอะไรแล้ว!”

 

ฮองเต้อวินอู่วินผิดหวังเล็กน้อย แล้วกล่าวว่า “องค์ชายเจ็ดไม่เข้าร่วมการสอบปลายปี ปีนี้ก็คงน่าสนใจน้อยลงเป็นแน่”

 

สนมเซียวแม่ขององค์ชายแปด เดินออกมาข้างหน้าแล้วกล่าวว่า“ฮอองเต้ องค์ชายเจ็ดไม่ได้มาเข้าร่วมการสอบปลายปี แต่ว่า ปีนี้องค์ชายเก้าสามารถเข้าร่วมได้แล้ว”

 

“อ้อ!ลูกเก้า!”ตาของฮองเต้อวินอู่จวินมองไปยังพระสนมหลิน

 

สนมเซียวยิ้มแล้วกล่าวว่า“สามเดือนก่อน องค์ชายเก้าสามารถเปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้แล้ว”

 

“อย่างนั้นหรือ ฮ่าฮ่า!สนมหลิน ข่าวดีอย่างนี้ ทำไมเจ้าไม่รีบบอกข้าตั้งแต่แรก”ฮองเต้อวินอู่จวินอารมณ์ดี ไม่ว่ายังไง องค์ชายเก้าก็เป็นลูกชายแท้ ๆ ของตัวเอง และก็เป็นเพียงคนเดียวที่ไม่สามาถเปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้

 

องค์ชายทั้งเก้าองค์ สามารถเปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้หมด ฮองเต้อวินอู่จวินแน่นอนว่าต้องดีใจอยู่แล้ว

 

สนมหลินกัดริมฝีปากเบา ๆ แล้วกล่าวเสียงเบาว่า “องค์ชายเก้าแค่พึ่งจะเปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้แค่นั้น ข้าเลยไม่อยากให้ฮองเต้ตกใจ”

 

ฮองเต้อวินอู่จวินกล่าว“ขอแค่ลูกเก้าสามารถเปิดผลึกอักษรสวรรค์ได้ ก็นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีแล้ว ถึงแม้จะประสบความสำเร็จได้ไม่มาก แต่ก็เป็นจอมยุทธ์ที่แข็งแกร่งกว่าคนธรรมดา ลูกเก้าอยู่ที่ไหน ยังไม่เรียกเขาออกมาหาข้าอีก ? ”

 

องค์ชายแปดยิ้มเย็นๆ “ทุกคนมาพร้อมหมดแล้ว องค์ชายเก้าก็ยังไม่ยอมมา หึหึ เปิดผนึกอักษรสวรรค์ได้ ช่างยอดเยี่ยมจริงๆ”

 

และตอนนั้นเอง ! จางลั่วเฉินใส่ชุดคลุมมังกรเดินขึ้นมาบนบันไดหิน แล้วกล่าวว่า “พี่แปด ที่ท่านพูดจาไม่ดีลับหลังคนอื่นอย่างนี้เรียกว่าดีหรือ ? ”

 

จางลั่วเฉินบุคลิกสูงศักดิ์ เดินมาที่ด้านหน้าองค์ชายแปด ดวงตาเฉียบคมมองไปทางเขา !

 

องค์ชายแปดกุมหมัดแน่น แสดงออกถึงความโกรธ แต่ก่อนจางลั่วเฉินไม่กล้าที่จะใช้คำพูดอย่างนี้พูดกับเขาเช่นอย่างนี้มาก่อน ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำจริงๆ!

 

จางลั่วเฉินสะบัดแขนเสื้อ แล้วเดินไปด้นหน้า จากนั้นมองไปทางฮองเต้อวินอู่จวินที่นั่งอยู่ด้านบน ยกมือขึ้นเคารพ แล้วกล่าวว่า“คารวะฮองเต้!”

 

ได้ยินที่จางลั่วเฉินเรียกฮองเต้อวินอู่จวิน ทุกคนในสนามล้วนตกใจ !

 

ชั่วครู่ บรรยาการศเปลี่ยนเป็นหนาวยะเยือกขึ้นมา ทุกคนกลั้นหายใจ ไม่กล้าหายใจแรงแม้แต่น้อย

 

ฮองเต้อวินอู่จวินจ้องไปที่จางลั่วเฉินที่อยู่ด้านล่างแล้วกล่าวว่า“เจ้าเรียกข้าว่า‘ฮองเต้’ ? ”

 

ฮองเฮาฮึ่มเสียงเย็นชา แล้วกล่าวว่า“องค์ชายเก้า ช่างบังอาจนัก นี่คือจะไม่ยอมเรียกท่านพระบิดา”

 

“ตุ๊บ!”

 

สนมหลินใจสั่นสะท้าน รีบคุกเข่าที่พื้น แล้วอธิบายทันทีว่า“ฮองเต้ ลูกเฉินเลินเล่อ ถึงได้เรียกผิด”

 

“ข้าไม่ได้เรียกผิด!”

 

จางลั่วเฉินพูดอย่างองอาจ ร่างกายเหยียดตรง สายตามองไปที่ฮองเต้อวินอู่จวิน แล้วกล่าวว่า “เป็นพ่อคน ก็ต้องสั่งสอนลูก ขอถามฮองเต้ว่า ข้าร่างกายอ่อนแอมาตั้งแต่เด็ก ท่านที่เป็นพ่อ ท่านเคยสอนอะไรข้าบ้าง เคยช่วยอะไรข้าบ้าง เคยใส่ใจอะไรข้าบ้าง!!! ”

 

“เป็นสามีคน ก็ต้องมีสำนึก มีคุณธรรม มีความรู้สึก ขอถามฮองเต้ ตอนที่ท่านแม่ข้าโดนฮองเฮาสั่งโบย ท่านมีความรู้สึกหรือไม่ ? สามปีก่อน ท่านแม่ถูกคนรังแก ท่านสงสารนางบ้างมั๊ย ? ข้ากับท่านแม่ถูกไล่ออกจากวังกางดึกในฤดูหนาว ต้องออกไปอยู่ในวังเพี่ยน ซึ่งก็เหมือนกับถูกขับไปวังเย็น ตอนนั้นท่านอยู่ที่ไหนกัน  ? ”

 

“ในเมื่อไม่สามารถเป็นพ่อได้ ก็ไม่สามารถเป็นสามีได้ ข้าบังอาจถามว่า ข้าเรียกว่าฮองเต้ ข้าเรียกผิดหรือ ? ”

 

นี่เป็นครั้งแรกที่มีคนกล้าใช้คำพูดแบบนี้พูดกับฮองเต้อวินอู่จวิน คนรอบข้างล้วนตกใจตัวสั่น แล้วคุกเข่าลง !

 

ตอนนี้ สีหน้าของฮองเต้อวินอู่จวินเยือกเย็นชา แล้วปรายตามองไปยังฮองเฮาที่นั่งข้าง ๆ กดเสียงแล้วกล่าวว่า “ใครเป็นคนสั่ง ? ใครเป็นคนไล่เขาออกไปตำหนักเพี่ยน ? ”

 

ฮองเฮายังคงนั่งนิ่ง ๆ อยู่ตรงนั้น สายตาเยือกเย็นชามองไปยังองค์ชายแปดและสนมเซียว

 

“ตุ๊บ!ตุ๊บ!”

 

องค์ชายแปดและสนมเซียวคุกเข่าลงบนพื้น สั่นไปทั้งร่าง เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากไม่หยุด !

 

“คือ…คือข้า…คือข้าเอง!”น้ำเสียงของสนมเซียวสั่นเล็กน้อย

 

ถึงแม้ว่าจะเป็นคำสั่งของฮองเฮา แต่ว่าสนมเซียวไม่กล้าพูดชื่อฮองเฮาออกไป

 

ฮองเต้อวินอู่จวินฮึ่มเสียงแล้วกล่าวว่า“เจ้าเพียงคนเดียวหรือ ? ”

 

สนมเซียวมองไปยังองค์ชายแปดที่อยู่ข้าง ๆ กัดฟันแล้วกล่าวว่า“มีแค่ข้าคนเดียว!”

 

“งั้นหรือ!ในเมื่อเจ้าอยากจะรับไว้คนเดียว จากนี้ก็ให้เจ้าไปอยู่ที่ตำหนักจื่ออี๋เพี่ยนคนเดียว” ฮองเต้อวินอู่จวินกล่าว

 

ได้ฟังดังนั้น สนมเซียวก็รู้ทันทีว่าตัวเองถูกไล่ให้ไปอยู่ตำหนักเย็น วันหน้าคงยากที่จะได้กลับมา ร่างอ่อนไปทั้งร่าง แล้วหมดสติไป

 

พอสนมเซียนถูกหามออกไป ฮองเต้อวินอู่จวินก็ลุกยืนจากที่นั่ง แล้วสบตากับจางลั่วเฉิน ! พลางกล่าวว่า “ดูแล้วเจ้าคงผลัดกระดูกเปลี่ยนเส้นเอ็นสำเร็จแล้ว กลายเป็ยจอมยุทธ์จริง ๆ แล้วเจ้าเปลี่ยนไปจนไม่เหมือนกับแต่ก่อนแล้ว!ดี!จากความกล้าหาญที่นาน ๆ เจ้าจะมี วันนี้ข้าจะยกโทษให้เจ้าซักครั้ง เจ้าจะเข้าร่วมการสอบปลายปีหรือไม่ ? ”

 

แววตาของจางลั่วเฉินฉายแววมั่นคง แล้วกล่าวอย่างมั่นใจว่า“เข้าร่วมแน่นอน!”

 

“ดี!ฮ่าฮ่า!ไม่เสียแรงที่เป็นลูกชายข้า พูดได้ดี!”ฮองเต้อวินอู่จวินหัวเราะออกมาเสียงดัง

 

ในโลกที่เคารพผู้แข็งแกร่งนั้น จอมยุทธ์ที่แท้จริงต้องมีสามอย่าง คือ น้ำเสียง ความมั่นคง ความภูมิใจ !

 

ถ้าหากวันนี้จางลั่วเฉินแสดงออกมาอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ กลัวนั่นกลัวนี่ ถึงจะสามารถเปิดผลึกอักษรสวรรค์ได้แล้ว ฮองเต้อวินอู่จวินก็จะไม่ชื่นชมเขา

 

องค์ชาดแปดที่คุกเข่าอยู่ที่พื้น กำนิ้วทั้งห้าแน่น แววตามาดุร้ายมองไปยังจางลั่วเฉิน แล้วคิดในใจว่า“จางลั่วเฉิน ตอนนี้เจ้าภูมิใจไปเถอะ!ในสนามการสอบปลายปี ข้าจะต้องเหยียบเจ้าให้จม ให้เจ้ารู้อย่างชัดเจนว่า ใครกันแน่ที่เป็นผู้แข็งแกร่งที่แท้จริง!”

 

(จบแล้วครับ)

 

สามาอ่านก่อนใครได้ที่เพจ BOXKINGS หรือเพจหลัก WGSD  เทพจักรพรรดินิรันดร์กาล – จีนแปลไทย  ฝากกดไลค์เพจกันด้วยนะครับ