…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

(*ผมจะเปลี่ยน เมืองจักรพรรดิทั้งหมดเป็นเมืองหลวงเลยละกัน เพราะบางตอนใน lnmtl มันใช้ imperial capital บางทีก็ใช้ capital city แอดก็จะเปลี่ยนเป็นอันเดียวเลยละกัน)

ถังซิ่วเอาโทรศัพท์ออกมาและโทรหาหลงเซ้งหยูเพื่อถามเกี่ยวกับเรื่องนั้นทันที

“พรุ่งนี้ฉันพอมีเวลาว่าง เอาไว้เราค่อยคุยเรื่องที่เหลือกันพรุ่งนี้แล้วกัน ”

“ตกลง เราได้เลือกที่ดินไว้แล้วและกำลังดำเนินการซื้อขาย ไว้พรุ่งนี้เราจะไปดูมันกัน ”

หลงเซ้งหยูได้พูดออกมา

“ตกลง!”

การโทรได้สิ้นสุดลง

ถังซิ่วได้พูดว่า

“หลงเซ้งหยูได้บอกมาว่าหลังจากสร้างอาคารเสร็จแล้วจะไม่ขายโดยตรงแต่จะให้เช่าเพื่อจะจ่ายเงินปันผลเป็นรายปี ถ้าสักวันหนึ่งอาคารทั้งหลังต้องขายฉันก็ยังคงได้รับ10%ของราคาขายทั้งหมดด้วยเช่นกัน ”

คังเซี่ยนถามออกมาด้วยความสงสัยว่า

“บอส ทำไมฉันรู้สึกว่าหลงเซ้งหยูนั้นไม่ได้ตั้งใจจะซื้อแบบแปลนจากคุณแต่กลับเป็นการให้เงินคุณโดยเจตนา?”

ถังซิ่วพูดออกมาอย่างประหลาดใจว่า

“เธอดูออกด้วยงั้นหรอ?”

คังเซี่ยนพูดไม่ออกและถามต่ออีกว่า

“บอส ฉันไม่เข้าใจคำพูดของคุณ อย่าบอกนะว่าคุณรู้อยู่แล้วว่าพวกเขาต้องการให้โยนเงินให้คุณอย่างเจตนา? ”

รอยยิ้มได้ปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าของถังซิ่วพร้อมกับบอกว่า

“เพื่อนทั้งสองคนของหลงเซ้งหยูจากเมืองหลวงนั้นน่าสนใจเป็นอย่างมาก ทั้งๆที่เรายังไม่เคยพบกันและไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับพวกเขาเลยด้วยซ้ำ พวกเขาแค่ฟังเรื่องของฉันจากหลงเซ้งหยูและอยากจะเป็นเพื่อนกับฉันดังนั้นหุ้น10%นี้มันเป็นการแสดงเจตนาดีของพวกเขา ”

“คุณว่าอะไรนะ?”

คังเซี่ยนมองอย่างตะลึงมากไปที่ถังซิ่ว หลังจากได้ยินคำตอบของเขาแล้วท่าทางของเธอก็เปลี่ยนไปทันที เธอไม่คิดเลยว่าจะมีใครที่ต้องการสร้างความเป็นเพื่อนโดยการให้เงินกว่า500ล้านหยวน นี้มันคุ้มค่า ?

“ไอดอล!”

“เทพเจ้า!”

แจ็คที่มาทำหน้าที่แทนคังเซี่ยนได้หันศีรษะและร้องตะโกนด้วยการแสดงออกที่เคารพบูชาบนใบหน้าของเขา ในขณะที่คาชิพซึ่งกำลังจัดระเบียบเอกสารด้านข้างของเขายังไม่สามารถทนที่จะร้องอุทานออกมาด้วยความชื่นชม

แอนดี้ที่ดูคล้ายตุ๊กตาชาวต่างชาติได้หันใบหน้าเล็กๆที่บอบบางของเธอกลับมาด้วยท่าทางตกตะลึงและมึนงง ในดวงตาของเธอนั้นเป็นประกายอย่างงดงาม

ทั้งสามคนนี้ไม่ค่อยรู้จักถังซิ่วนัก พวกเขาส่วนใหญ่รู้เกี่ยวกับถังซิ่วจากการพูดคุยของคังเซี่ยนเท่านั้นแต่ตอนนี้ถังซิ่วได้ทำให้พวกเขาตกใจมากจนทำให้เกิดความชื่นชมอย่างมากต่อหัวใจของพวกเขา

ถังซิ่วยิ้มให้จางๆฉล้วพูดต่อว่า

“อย่างไรก็ตาม สิ่งที่จำเป็นต้องบอกก็บอกไปหมดแล้ว แล้วเรื่องเกี่ยวกับการรับสมัครเป็นอย่างไรบ้าง? ”

คังเซี่ยนส่ายหัวและพูดว่า

“ตอนนี้เราได้พนักงานธรรมดา ผู้จัดการแผนกและผู้ช่วยผู้จัดการหลายคนส่วนสำหรับแต่ละแผนกและตำแหน่งที่สำคัญอื่นๆของบริษัทนั้นเรายังไม่ได้รับการคัดเลือก แอนดี้นั้นสามารถรับผิดชอบแผนกการตลาดได้ส่วนแจ็คมีความโดดเด่นในการบริหารจัดการฝ่ายวางแผนและคาชิพเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านโลจิสติก พวกเขาได้ติดตามฉันมาเป็นเวลาหลายปีและมีผลลัพธ์ที่โดดเด่น แต่สำหรับสิ่งที่บริษัทของเราต้องการนั้นยังห่างไกล … ”

ถังซิ่วพูดพร้อมกับหัวเราะว่า

“ไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ ตราบใดที่เราจ่ายเงินให้มากพอนั้นฉันเชื่อว่าจะมีคนที่โดดเด่นจำนวนมากที่ต้องการทำงานให้กับพวกเรา ”

เมื่อได้ยินคำพูดนี้แล้วนั้นทำให้สายตาของคังเซี่ยนนั้นมองออกไปข้างนอกอยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับพูดออกมาว่า

“หากว่าพูดถึงคนที่มีพรสวรรค์แล้วนั้น ฉันได้พบกับคนๆหนึ่ง คุณลองดูด้านนอกแล้วคุณจะชายวัยกลางคนที่ดูเหมือนมองโลกในแง่ร้ายนั่นไหม?ฉันรู้จักเขาและเป็นคนที่ฉันเคยชื่นชม ”

ถังซิ่วก็ถามออกมาด้วยความประหลาดใจว่า

“เขาเป็นใคร? ถ้าเขาเก่งจริงๆอย่างที่เธอพูดทำไมเขาถึงมาหางานที่งานแฟร์นี่? ”

คังเซี่ยนได้พูดตอบไปว่า

“ฉันได้ยินข่าวเกี่ยวกับเขาบ้าง ในอดีตเขาอยู่ในสหรัฐอเมริกาและเขาไม่เพียงแต่เป็นอัจฉริยะด้านการขายและการตลาดเท่านั้นแต่ยังเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีอีกด้วยและเป็นคนที่ทำให้เครื่องสำอางแบรนด์หนึ่งได้กลายเป็นสินค้าชั้นสูงของสหรัฐฯและได้ขายผลิตภัณฑ์ไปทั่วโลก ทำให้สินทรัพย์ของบริษัทนั้นมากกว่าเดิมถึงพันเท่าในระยะเวลาสั้นๆเพียง6ปีเท่านั้น อย่างไรก็ตามเมื่อ5ปีที่แล้วเขาได้เจาะระบบภายในของบริษัทไอทีบางรายและขโมยข้อมูลที่เป็นความลับที่สุดของบริษัทหนึ่งพร้อทถูกตัดสินให้จำคุก ฉันไม่รู้ว่าเขากลับมาที่นี้ตั้งแต่เมื่อไหร่และทำไมถึงมาที่งานนี้ ”

คิ้วของถังซิ่วถกขึ้นขณะที่เขาพูดออกมาว่า

“คนที่มีพรสวรรค์เช่นนี้ แต่ทำไมคุณถึงไม่เชิญเขาด้วยหละ?”

คังเซี่ยนส่ายหัวแล้วพูดว่า

“ฉันรู้แค่ว่าเขาทำได้ดีมากแต่เนื่องจากเขามีปัญหาบางอย่างทำให้ฉันรู้สึกกังวล หากว่าฉันสามารถไขข้อสงสัยของเขาได้ทุกอย่างแล้ว ฉันก็จะเชิญเขาเข้าบริษัทของเรา ”

ถังซิ่วมองไปที่ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่ข้างหลัง เขาคิดว่าสักครู่แล้วค่อยๆพูดว่า

“ให้ฉันสัมภาษณ์เขาเป็นไง?”

คังเซี่ยนพูดด้วยความประหลาดใจว่า

“คุณรู้วิธีสัมภาษณ์คนอย่างงั้นหรอ?”

ถังซิ่วตอบกลับด้วยเสียงหัวเราะว่า

“ป๊าววว แต่ฉันเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์”

คังเซี่ยนยักไหล่ของเธอและพูดด้วยรอยยิ้มว่า

“ตั้งแต่ที่บิ๊กบอสต้องการลงมือด้วยตัวเองนั้นฉันก็รู้สึกโล่งใจ ฉันหวังว่าคุณจะสามารถหาคนที่มีพรสวรรค์มาได้เยอะๆจริงๆ”

เวลาได้ผ่านไป

ผ่านไปประมาณ20นาที เมื่อชายวัยกลางคนดูมองโลกในแง่ร้ายนั้นได้นั่งบนเก้าอี้สัมภาษณ์และเห็นว่าผู้สัมภาษณ์ถูกแทนที่โดยถังซิ่วและคังเซี่ยนนั้น ท่าทางของเขาก็เปลี่ยนไปทันทีพร้อมพยักหน้าและพูดกับคังเซี่ยนว่า

“หัวหน้าคังคุณสบายดีไหม?”

คังเซี่ยนตอบด้วยความประหลาดใจว่า

“คุณรู้จักฉันเหรอ?”

ชายวัยกลางคนพยักหน้าและพูดว่า

“ฉันได้ยินมาว่ามีอัจฉริยะทางธุรกิจได้เกิดขึ้น ดังนั้นฉันจึงให้ความสนใจและรู้จักคุณอยู่บ้าง”

คังเซี่ยนหยิบเรซูเม่มาจากมือของชายคนนั้นและส่งให้ถังซิ่วขณะที่เธอพูดด้วยรอยยิ้มว่า

“ประเทศของเราสร้างคนที่มีพรสวรรค์ออกมาในแต่ละรุ่น ! อย่างไรก็ตามไม่จำเป็นต้องพูดอ้อมค้อม คนที่จะเป็นคนสัมภาษณ์คุณเป็นบอสของเราและฉันเป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น ”

ถังซิ่วอ่านข้อมูลของผู้ชายวัยกลางคนซึ่งดูเรียบง่ายมาก ชื่อของเขาคือเหว่ยซ่งเฟิงอายุ 42 ปีมีประสบการณ์ด้านการขายและการตลาด แต่งงานและอยู่กินกันที่เมืองบลูซิตี้

ถังซิ่วได้วางเอกสารไว้และมองไปที่เหว่ยซ่งเฟิงพร้อมพูดออกมาว่า

“สามคำถาม! ถ้าคำตอบของคุณทำให้ผมพอใจ ผมจะจ้างคุณ ”

“กรุณาถามมาได้เลย!”

ขณะที่ถังซิ่วกำลังสังเกตเขาอยู่นั้น ตัวของเหว่ยซ่งเฟิงเองก็ทำเช่นเดียวกัน วัตถุประสงค์ของเขาในการมาถึงเมืองนี้นั้นส่วนใหญ่ก็เพื่อที่จะเข้าทำงานที่บริษัทนี้ เขาสนใจเพราะผู้มีชื่อเสียงระดับโลกอย่างคังเซี่ยนได้ทำงานให้กับบริษัทแห่งนี้และเด็กหนุ่มคนนี้คือเจ้านายของเธอ เขารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก

ถังซิ่วถามออกมาว่า

“คำถามแรก ตั้งแต่สมัยโบราณนั้นมันเป็นเรื่องยากมากที่จะตอบสนองความภักดีและความกตัญญูพร้อมๆกัน ถ้าคุณต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งคุณจะเลือกแบบไหน? ”

เหว่ยซ่งเฟิงรู้สึกทึ่งมาก

เขาไม่ได้คาดคิดว่าถังซิ่วจะถามคำถามที่ไม่คาดฝันเช่นนี้ เขาคิดในใจสักครู่หนึ่งแล้วพูดช้าๆว่า

“ฉันเป็นเพียวแค่คนไม่สำคัญคนหนึ่ง ฉันไม่สามารถทำสิ่งต่างๆเชกเช่นนักบุญได้ ถ้าใครขู่ฉันด้วยชีวิตของครอบครัว ฉันก็จะเลือกที่จะทรยศต่อความภักดีและรักษาครอบครัวของฉันเอาไว้ ”

ถังซิ่วพยักหน้าแล้วถามต่อว่า

“คำถามที่สอง ใครที่คุณคิดว่าสำคัญที่สุด? แม่หรือลูกของคุณ? ”

เหว่ยซ่งเฟิงมองไปที่ถังซิ่วและพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า

“ทั้งคู่มีความสำคัญ หากว่าจะให้ยกตัวอย่างเช่น – ถ้าแม่และลูกของฉันตกลงไปในน้ำในเวลาเดียวกัน ถ้าคุณถามฉันว่าฉันต้องช่วยใครนั้น ฉันสามารถบอกคุณได้อย่างชัดเจนว่าจะช่วยคนที่อยู่ใกล้ที่สุด ถ้าฉันทำได้ฉันจะยอมแลกชีวิตเพื่อแลกกับคนๆนั้น ”

ถังซิ่วพยักหน้าอีกครั้งแล้วถามว่า

“คำถามที่สาม ดูเหมือนว่าคุณจะดูมองโลกในแง่ร้ายเป็นอย่างมากดังนั้นทำไมคุณถึงเลือกที่จะสมัครมาที่บริษัทของเรา ? ”

เขาคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับเรื่องนี้ในใจของเขาและตอบว่า

“คำตอบของฉันสำหรับคำถามนี้มีสองประเด็น ประการแรกฉันเพิ่งได้รับการปล่อยตัวจากคุกเมื่อปีที่แล้ว ครอบครัวของฉันได้ผ่านมรสุมและเพิ่งจะฟื้นตัวเพราะถูกปฏิเสธการจ้างงานมากมายจากหลายบริษัท ที่สำคัญเนื่องจากสถานการณ์ในประเทศนั้นแตกต่างกันมากกับต่างประเทศ ประการที่สอง ฉันสนใจเกี่ยวกับคังเซี่ยนที่มีชื่อเสียงแต่ฉันรู้สึกสนใจมากยิ่งขึ้นต่อคนที่สามารถทำให้บุคคลที่มีชื่อเสียงเช่นเธอต้องการทำงานให้กับเขาได้ ฉันต้องการหางานที่มีรายได้มากและฉันก็อยากจะตั้งใจทำงานอย่างหนักเพื่อไขว่คว้าสิ่งที่ฉันต้องการ ”

ถังซิ่วปรบมือ

“ฉันพอใจกับคำตอบของคุณและยินดีต้อนรับคุณเข้าบริษัทของเรา แต่ในมุมมองของคำถามแรกของฉันนั้น ต้องบอกคุณก่อนว่าถ้าในอนาคตคุณพบปัญหาที่คุณไม่สามารถตอบสนองความจงรักภักดีและความกตัญญูได้ก็ขอให้มาบอกฉันได้ แล้วฉันจะแก้ปัญหาให้คุณเอง”

“ฮะ?”

คิ้วขอเหว่ยซ่งเฟิงกระตุกเล็กน้อยขณะมองไปที่ถังซิ่วด้วยความรู้สึกประหลาดใจ

ถังซิ่วไม่ได้อธิบายเพิ่มเติมในขณะที่เขายังคงพูดต่อว่า

“ฉันจะให้คุณสองวันในการแก้ปัญหาส่วนตัวของคุณ อีกสองวันต่อมาให้มารายงานตัวที่คังเซี่ยน สำหรับตำแหน่งของคุณนั้นผมคิดว่าคุณควรจะเริ่มตั้งแต่เป็นพนักงานขายจากตำแหน่งล่างสุดและฉันต้องการที่จะเห็นคุณไต่ขึ้นมาถึงตำแหน่งที่คุณต้องการในอนาคต ”

“พนักงานขายธรรมดา?”

เหว่ยซ่งเฟิงตกใจมากและคังเซี่ยนที่ด้านข้างก็ตกตะลึงเช่นกัน

พวกเขาจ้องมองที่ถังซิ่วด้วยความสงสัยในสายตาของพวกเขา

ถังซิ่วถามออกมาว่า

“คุณไม่พอใจ?”

เหว่ยซ่งเฟิงหยุดคิดชั่วครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะส่ายหัวและพูดว่า

“ไม่ใช่ มันเป็นแค่ … ไม่คาดคิดเท่านั้น ไม่ต้องห่วงบอส อีก2วันฉันจะกลับมาตรงตามเวลาและรายงานตัวต่อคังเซี่ยนอย่างแน่นอน ”

“ดี!”

ถังซิ่วได้พูดเขากลับไป

หลังจากที่ส่งเหว่ยซ่งเฟิงออกไปแล้วคังเซี่ยนได้มองมาที่ถังซิ่วขณะที่เธอถามด้วยคำพูดงงงวยว่า

“บอส คำตอบเขานั้นก็ทำให้คุณพึงพอใจและยิ่งไปกว่านั้นคือตั้งแต่ที่คุณรู้ถึงความสามารถของเขาแล้วทำไมคุณถึงให้เขาเริ่มทำงานจากตำแหน่งล่างสุด?ตอนนี้เรากำลังต้องการคนที่มีพรสวรรค์เป็นอย่างมากดังนั้นเขาจึงสามารถเป็นผู้จัดการฝ่ายขายได้อย่างแน่นอน ฉันคิดว่าเขาจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้สำเร็จ ”

“ผู้คนมักไม่ค่อยรักในสิ่งที่ตัวเองได้รับมาง่ายจนเกินไปและสำหรับคนที่ผ่านความยากลำบากที่ยิ่งใหญ่มาแล้ว เราจะต้องสลักความรู้สึกนั้นลงไปในกระดูกและประทับมันไว้ในความทรงจำของเขา ”

คังเซี่ยนมองไปที่ถังซิ่วด้วยความประหลาดใจในสายตาของเธอนั้น เธอรู้สึกเสมอว่าถังซิ่วแตกต่างจากชายหนุ่มอายุ20ปีคนอื่นๆ แต่ดูเหมือนจะเป็นชายวัยกลางคนที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่ในขณะนี้นั้นเธอรู้สึกราวกับว่าถังซิ่วนั้นเป็นสุนัขจิ้งจอกเฒ่าที่ชาญฉลาด

ถังซิ่วยืนขึ้นและมองไปที่คังเซี่ยนพร้อมพูดออกมาว่า

“อย่างไรก็ตามฉันมีบางอย่างที่ต้องจัดการดังนั้นฉันจะไปก่อน ที่เหลือเธอก็คำตามที่เห็นสมควรแล้วกัน! ”

คังเซี่ยนแอบกังวลเล็งน้อยเกี่ยวกับ “ทำทุกอย่างตามที่เห็นสมควร” ตลอดเวลาเธอไม่ทราบว่าเธอควรจะมีความสุขหรือกังวล ก่อนหน้านี้สิ่งที่เธอกลัวมากที่สุดคือเจ้านายของเธอจะยับยั้งสิทธิของเธอ แต่ตอนนี้เธอรู้สึกว่าเธอมีเสรีภาพมากเกินไปด้วยซ้ำ

“บอส โปรดดูแลตัวเองด้วย!”

แอนดี้มองไปที่ถังซิ่วราวกับว่าเธอกำลังมองไปที่เทพเจ้า มันเป็นเหมือนดั่งคำพูดที่ว่า สิบปากว่าไม่เท่าตาเห็น เธอคิดว่าคำพูดนั้นเป็นความจริงมากๆ บอสตอนนี้นั้นยังเด็กมากๆแต่กลับน่าทึ่งถึงขนาดนี้ แล้วในอนาคตเขาจะน่าทึ่งถึงระดับไหนกันหละ?

เขาอาจจะเป็นคนที่สามารถท้าทายสวรรค์ได้หรือไม่?

คังเซี่ยนถอนสายตาออกมาจากหลังของถังซิ่วที่กำลังเดินจากไปและเมื่อเธอเห็นท่าทางของแอนดี้แล้วนั้น เธอได้เดินเข้าไปและตบบ่าเธอทันทีพร้อมพูดออกมาอย่างหยอกล้อว่า

“เด็กน้อย รีบๆเช็ดน้ำลายของเธอเร็วๆ มันย้อยหมดแล้ว”