…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

ที่ประตู…

บั่นโฉว,ดิ่งซี่และคนอื่นๆกำลังเหวออยู่กับสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นภายในห้องผู้ป่วย พวกเขาได้เห็นตอนที่สองสามีภรรยากำลังตำหนิถังซิ่วและได้เห็นว่าผู้คนเหล่านี้ล้วนไม่เห็นถังซิ่วอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้สถานการณ์นั้นกลับกันอย่างกับหน้ามือและหลังตีนก็ว่าได้

บอสนั้นช่างน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!

ในใจของคนทั้งสี่คนนั้นเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและความยกย่องต่อถังซิ่วที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย เพราะยังไงก็ตามนั้นมีเพียงแค่ไม่กี่คนที่มีความสามารถพอจะทำให้รองผู้อำนวยการของโรงพยาบาลนี้รีบมาต้อนรับเขาได้หลังจากที่ถังซิ่วเพียงแค่โทรศัพท์เท่านั้น

ณ ตอนนี้…

ความตั้งใจที่จะติดตามถังซิ่วได้เพิ่มขึ้นภายในหัวใจของคนทั้งสี่

ไม่นานหลังจากนั้น ถังซิ่วได้แพ๊คเสื้อผ้าของแม่ของเขาและสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันและสิ่งอื่นๆ หลังจากที่เขาเรียกบั่นโฉว,ดิ่งซี่และคนที่เหลือมานั้น เขาก็ประคองซู่หลิงหยุนให้ลุกขึ้นนั่งอย่างระมัดระวัง เธอในตอนนี้ยังคงตะลึงกับการแรงกระแทกนี้ เธอรู้สึกเหมือนกันว่าเด็กคนนี้ไม่ใช่ลูกชายของเธอเพราะเธอไม่เคยคาดคิดเลยว่าเขาจะสามารถย้ายเธอไปแผนกวีไอพีได้จริงๆ!

ในที่สุด ซูหลิงหยุนก็ได้สติคืนมาขณะที่เธอมองไปที่ถังซิ่วด้วยการแสดงออกที่ซับซ้อนในสายตาของเธอ จากนั้นเธอก็พูดด้วยเสียงต่ำว่า

“ลูกแม่ แม่คิดว่าการที่เข้าพักห้องนี้ก็ดีพอแล้ว แม่ไม่อยากไป … ”

ถังซิ่วขัดจังหวะซูหลิงหยุนแล้วพูดว่า

“คุณแม่ สภาพแวดล้อมของที่นั่นน่าจะดีกว่าที่นี่และยิ่งไปกว่านั้นห้องนี้ยังมีคนอยู่มากมายเกินไปและทำให้บั่นโฉวและดิ่งซี่ทำอะไรได้ยากลำบาก แม่ฟังคำพูดของผมเถอะ! ทุกอย่างผมจะจัดการเอง ”

“นี่ … ก็ได้!”

เมื่ออยู่ต่อหน้าผู้คนจำนวนมากเธอจึงไม่ได้ขัดขืนอีกต่อไป เธอรู้สึกได้ถึงความกตัญญูของลูกชายเธอได้อย่างชัดเจนและนั้นทำให้เธอรู้สึกอบอุ่นเต็มไปทั้งหัวใจของเธอ

“ขอโทษทีที่ฉันมาสาย!”

เสียงดังขึ้นมาจากหน้าประตูห้องขณะที่หลี่ฮงจี้ได้เดินเข้ามาพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่ซึมออกมาทั่วใบหน้าของเขา เขามองไปรอบๆก่อนที่สายตาของเขาจะตกลงไปบนตัวของถังซิ่ว

“ท่านผู้อำนวยการ!”

หมอในโรงพยาบาลรวมไปถึงเก่าเจียนหมินนั้นได้ให้การต้อนรับหลี่ฮงจี้อย่างสุภาพและด้วยความเคารพ

หลี่ฮงจี้พยักหน้าขณะที่มองไปที่ถังซิ่วด้วยรอยยิ้มทั่วใบหน้าของเขาแล้วพูดว่า

“คุณคือถังซิ่วใช่ไหม?มันเป็นเรื่องจริงที่วีรบุรุษจะเกิดในคนวัยหนุ่ม! ชื่อเสียงที่โด่งดังของคุณเหมือนเสียงฟ้าร้องที่กำลังดังก้องอยู่ในหูของฉัน! ฉันคือหลี่ฮงจี้ ผู้อำนวยการโรงพยาลแห่งนี้ ”

“สวัสดีผู้อำนวยการหลี่!”

ถังซิ่วไม่แยแสต่อคำพูดของเขาพร้อมกับพยักหน้าไปทางหลี่ฮงจี้

ทุกคนในห้องกลัวจนตัวแข็งทื่อโดยเฉพาะคู่สามีภรรยาเหล่านั้น พวกเขาไม่คิดไม่ฝันเลยว่าไม่ใช่แค่รองผู้อำนวยการเท่านั้นที่มายังที่นี่แต่กลับรวมถึงตัวของผู้อำนวยการด้วยพร้อมกับการต้อนรับที่อบอุ่นเหล่านั้นที่เหมือนกับว่ากำลังประจบถังซิ่ว

ใบหน้าของคนอื่นเริ่มน่าเกลียดยิ่งกว่าเมื่อครู่นี้ พวกเขากลัวว่าถังซิ่วจะพูดถึงเรื่องที่เพิ่งผ่านมานี้ หากเพียงคำพูดเดียวแล้วละก็ พวกเขาจะต้องถูกเตะออกจากที่นี่อย่างแน่นอน

แม้แต่บั่นโฉวหรือดิ่งซี่เองก็กำลังมองไปที่หลี่ฮงจี้ด้วยท่าทางเหวอๆเป็นเวลานานเช่นกัน แรงกระแทกในหัวใจที่พวกเขากำลังได้รับนั้นไม่สามารถสงบลงได้

คิ้วของหลี่ฮงจี้เอียงขึ้นเล็กน้อย เขาไม่คิดอะไรกับท่าทางของถังซิ่วขณะที่เขาพูดด้วยรอยยิ้มว่า

“ถัวซิ่ว ศิษย์น้องของฉันได้มาที่เมืองนี้เมื่อไม่กี่วันและได้เล่าให้ฉันฟังถึงเรื่องที่เขาได้สร้างความอัปยศให้แก่ตัวเอง คุณต้องการจะฟังเรื่องนี้หรือไม่? ”

“ถ้าคุณต้องการพูดคุยเกี่ยวกับชีวิตประจำวันก็ให้รอจนกว่าฉันจะจัดการเรื่องของแม่ให้เสร็จก่อนเป็นอันดับแรก ถ้าคุณต้องที่จะช่วยเหลือก็จะดีที่สุดถ้าคุณเริ่มต้นตั้งแต่ตอนนี้ สำหรับปัญหาเกี่ยวกับศิษย์น้องของคุณ ฉันไม่ได้มีความสนใจและไม่ต้องการที่จะรับรู้แม้แต่น้อย ”

“ซิ่วน้อย, ลูกพูดแบบนั้นกับผู้อำนวยการได้อย่างไร?”

ซูหลิงหยุนตำหนิถังซิ่วอย่างรีบเร่ง ผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนนี้เป็นคนที่น่าอัศจรรย์มากในสายตาของเธอและเห็นได้ชัดว่าเขาทักทายอย่างสุภาพแต่ลูกชายสุดที่รักของเธอกลับไม่ไว้หน้าเขาแม้แต่น้อย!

ถังซิ่วถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้ เขามองไปที่หลี่ฮงจี้และพูดว่า

“ก็ได้ ก็ได้!คุณอยากจะพูดอะไรก็ลองพูดมาสิ!”

“ถังซิ่ว คุณเป็นหมอศักดิ์สิทธิ์หนุ่มที่รักษาอาการป่วยแปลกๆของลูกสาวมู่ขวินปิงที่เกาะจิงเหมินใช่ไหม? ชูเก่าซองเป็นศิษย์น้องของฉัน ”

ชูเก่าซอง?

ถังซิ่วระลึกได้ว่ามีคนที่ได้ยั่วยุเขาก่อนหน้านี้และโอ้อวดว่าตัวเองเป็นศิษย์ของหมอศักดิ์สิทธิ์ก่อนที่เขาจะถามออกมาว่า

“กุยเจียนเฉาเป็นอาจารย์ของคุณงั้นหรอ?”

ลี่ฮงจี้ยอมรับอย่างมีความสุขว่า

“ใช่เขาเป็นอาจารย์ของฉัน”

ถังซิ่วได้พูดต่อทันทีว่า

“การวางตัวของศิษย์น้องของคุณนั้นแย่มากดังนั้นความอัปยศเป็นสิ่งที่เขาสมควรตะได้รับแล้ว! ถ้าเขายังคงมีปัญหากับเรื่องนี้ งั้นก็ฝากไปบอกเขาทีว่าสำหรับแพทย์นั้นไม่ควรที่จะเป็นกบที่มองท้องฟ้าจองก้นของบ่อน้ำเท่านั้น อย่าได้ตัดสินคนที่รูปลักษณ์ภายนอกอีก ”

ท่าทางหลี่ฮงจี้เปลี่ยนไปทันที จากคำพูดเหล่านี้ก็บอกได้ว่าถังซิ่วยอมรับอ้อมๆว่าเขาเป็นคนที่เกาะจิงเหมินซึ่งได้รักษาลูกสาวของมู่ขวินปิง เขาเองนั้นไม่ได้มีอารมณ์โกรธเคืองแม้แต่น้อยทว่ากลับกลายเป็นปล้มปิติเป็นอย่างมากพร้อมพูดด้วยความรู้สึกตื่นเต้นว่า

“คุณถัง จริงๆแล้วฉันเองก็ได้วินิจฉัยอาการของลูกสาวของมู่ขวินปิงแล้วแต่ฉันรู้สึกได้ถึงสภาพร่างกายของเธอและไม่สามารถรักษามันได้เนื่องจากฉันไม่มีความสามารถพอ ฉันไม่เคยคาดคิดว่าคุณจะสามารถรักษาอาการนั้นให้หายขาดได้ ดังนั้นฉันจึงมีคำร้องขอที่ฉันไม่รู้ว่าคุณจะสามารถปฏิบัติตามได้หรือไม่ ”

ถังซิ่วพูดพลางขมวดคิ้วว่า

“พูดมาสิ!”

หลี่ฮงจี้พูดด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความคาดหวังว่า

“ฉันจะสามารถจ้างคุณมาเป็นหมอรับเชิญในการตรวจที่โรงพยาบาลของเราได้หรือไม่? ไม่ต้องกังวลเลยเพราะว่าเราจะปฏิบัติต่อคุณอย่างดีที่สุดและข้อกำหนด … ”

ถังซิ่วโบกมือขัดจังหวะคำพูดของหลี่ฮงจี้แล้วพูดสวนไปว่า

“ขอโทษด้วยแต่ฉันไม่สนใจมันแม้แต่น้อย ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้ฉันเป็นแค่เด็กนักเรียนมัธยมเท่านั้นพร้อมกับต้องสอบเข้ามหาลัยในเร็วๆนี้ ฉันไม่มีเวลาว่างพอที่จะมานั่งเป็นหมอรับเชิญที่โรงพยาบาลของคุณได้ ”

“เฮือกกก…”

หลี่ฮงจี้มองไปที่ถังซิ่วด้วยท่าทางที่ตึงเครียดพร้อมกับความไม่เชื่อที่ปรากฏอยู่ทั่วใบหน้าของเขา

ถังซิ่วเป็นนักเรียน? นักเรียนระดับมัธยมที่กำลังจะเข้ารับการทดสอบเข้ามหาลัย?

นี่เป็นเรื่องตลกระดับโลกงั้นหรอ?!

ทุกคนในห้องนั้นตกใจและสั่นสะเทือนเป็นอย่างมากเมื่อได้ยินคำพูดของหลี่ฮงจี้ พวกเขาไม่เคยคิดเคยฝันเลยว่าหลี่ฮงจี้จะเสนอคำร้องขอดังกล่าวต่อถังซิ่ว

เก่าเจียนหมินมองไปที่ถังซิ่วด้วยความแปลกประหลาดใจในสายตาของเขาขณะที่เขาดึงแขนเสื้อของหลี่ฮงจี้และกระซิบว่า

“ผู้อำนวยการ คุณคงไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม?แต่อายุของคุณถัง… ”

หลี่ฮงจี้หันศีรษะมาและจ้องมองอย่างโกรธไปที่เก่าเจียนหมินขณะที่เขาตะโกนว่า

“อายุเท่าไหร่? คุณยังเห็นเขาเป็นเด็กงั้นหรอ? หรือจะบอกว่าไม่ได้ยินคำพูดที่เขาฝากไปบอกศิษย์น้องของฉันเมื่อกี้นี้ ? คุณรู้จักอาจารย์ของฉันหรือไม่?เขาเป็นหมอศักดิ์สิทธิ์กุยเจียนเฉา คุณอยู่ในโรงพยาบาลนี้มากว่าสองทศวรรษแล้วดังนั้นอย่าบอกฉันนะว่าคุณไม่เคยได้ยินชื่อของอาจารย์ฉัน! ศิษย์สองคนของเขาเองยังไม่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยได้ขณะที่เขาทำได้ คุณคิดว่าฉันจะล้อเล่นเกี่ยวกับเรื่องแบบนี้ไหม? ”

“นี่…”

เก่าเจียนหมินพูดไม่ออก

เขาเองก็ยังเคยตรวจอาการของลูกสาวของมู่ขวินปิงและเป็นเช่นเดียวกันกับที่หลี่ฮงจี้ได้ว่าไว้ เขาเองก็ไม่สามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของเธอได้เช่นกัน

ในขณะนี้มีเพียงซูหลิงหยุนเท่านั้นที่ยังสามารถคุมสติได้เพราะเธอไม่เชื่อเรื่องที่หลี่ฮงจี้ได้พูดออกมาทั้งหมด ดังนั้นเธอจึงพูดออกมาด้วยน้ำเสียงโทนต่ำว่า

“ผู้อำนวยการหลี่ ลูกชายของฉันไม่สามารถที่จะเป็นหมอได้ คุณได้จำคนผิดหรือเปล่า ? “

หลี่ฮงจี้รีบตอบด้วยน้ำเสียงที่จริงจังว่า

“ไม่! ฉันไม่ได้เข้าใจผิด เขาจะต้องเป็นคนๆเดียวกับที่ศิษย์น้องของฉันพูดถึง ที่อยู่บนเกาะจิงเหมินเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้อย่างแน่นอน ”

ซูหลิงหยุนหันศีรษะไปมองที่ถังซิ่วและถามด้วยเสียงต่ำว่า

“ซิ่วน้อย หมายความว่าลูกได้ไปอยู่ที่เกาะจิงเหมินเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ใช่ไหม? บอกความจริงกับแม่มา!”

ถังซิ่วพูดอย่างข่มขื่นในขณะที่เขาถอนหายใจว่า

“คุณแม่ แน่นอนว่าผมได้ไปอยู่บนเกาะจิงเหมินจริงๆเมื่อสองวันที่ผ่านมานี้และคนที่รักษาเด็กที่ป่วยคนนั้นก็คือผมเช่นกัน! ที่ผมไม่ได้บอกแม่ก่อนหน้านี้นั้นเพราะผมรู้สึกว่ามันไม่จำเป็นต้องบอก ผมมักจะรู้สึกเบื่อและเมื่อไม่มีอะไรจะทำ ดังนั้นผมชอบที่จะศึกษาหาความรู้ใจตำราแพทย์ แต่ผมเองก็ไม่ได้คาดคิดว่าข้อมูลที่ได้รับมาจากหนังสือนั้นถูกต้อง ดังนั้นผมจึงสามารถรักษาอาการเจ็บป่วยของเด็กหญิงที่บังเอิญไปพบได้ ”

หลังจากที่พูดจบแล้วนั้น ถังซิ่วได้จ้องไปที่หลี่ฮงจี้ทันทีก่อนที่จะพูดต่อว่า

“ขอหยุดเรื่องนี้ไว้แค่นี้แล้วกัน นอกจากนี้แม่ของฉันได้รับบาดเจ็บและเธอต้องการที่จะพักผ่อน”

หลี่ฮงจจี้มองไปที่ถังซิ่วอย่างจดจ่อ เขาสามารถบอกได้จากท่าทีของถังซิ่วว่าเขาไม่เต็มใจที่จะเป็นหมอรับเชิญที่โรงพยาบาลแห่งนี้ แม้กระทั่งหลีกเลี่ยงแม่ของเขาโดยเจตนา นั่นแสดงให้เห็นว่าเขาไม่อยากให้แม่รู้ว่าเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์

ระดับของแผนกวีไอพีนั้นต่างกับแผนกผู่ป่วยห้องธรรมดาอย่างสิ้นเชิง ไม่เพียงแต่เป็นห้องเดี่ยวที่กว้างขวางเท่านั้น แต่ยังมีพยาบาลดูแลเป็นพิเศษซึ่งรับผิดชอบดูแลผู้ป่วย ถังซิ่วได้รู้จักคำพูดที่ว่า “ชนชั้น” ซึ่งเป็นการแบ่งชนชั้นทางสังคมที่ถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มแต่เขาก็ไม่เคยคาดคิดว่าความแตกต่างระหว่างพวกมันจะชัดเจนถึงขนาดนี้

หลี่ฮงจี้เป็นคนที่มีประสบการณ์และมีเหตุผล เขาสามารถบอกได้ว่าถังซิ่วไม่ชอบคนจำนวนมากดังนั้นเขาจึงออกคำสั่งให้เจ้าหน้าที่ของโรงพยาบาลคนอื่นออกไปและทิ้งผู้อำนวยการแผนกผู้ป่วยนอกไว้กับเขาเท่านั้น หลังจากที่นั่งรออบ่างสงบแล้วถึงเวลาที่ถังซิ่วเดินออกจากห้องไปแล้วนั้น เขาได้ตามถังซิ่วไปแล้วได้พูดขึ้นอีกครั้งว่า

“ถังซิ่ว ฉันไม่รู้ว่าคุณกำลังคิดอะไรอยู่ในใจของคุณ แต่ก่อนหน้านี้ที่ฉันได้พูดเรื่องที่ไม่ควรพูดไปต่อหน้าแม่ของคุณนั้น ฉันหวังว่าคุณจะไม่ถือสาหาความกับมัน ฉันขอร้องให้คุณได้โปรดมาเป็นหมอรับเชิญที่โรงพยาบาลของเรา แม้ว่าคุณจะไม่สามารถมาเป็นประจำได้ ก็ได้โปรดช่วยเราให้แก้ปัญหาเรื่องโรคต่างๆที่เราไม่สามารถรักษาได้ที่นี่ ”

“ฉันไม่มีเวลาว่างจริงๆ”

ถังซิ่วตอบด้วยความไม่พอใจ

หลี่ฮงจี้พูดด้วยรอยยิ้มฝืนๆว่า

“ถังซิ่ว คุณเหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งเดือนก่อนการสอบเข้ามหาลัยสินะ?แต่หลังจากที่คุณสอบเสร็จแล้วก็จะมีวันหยุดพักผ่อนถึงสองเดือน คุณไม่จำเป็นต้องกังวลว่าเราจะรบกวนคุณเมื่อคุณไม่มีเวลาว่าง ปัจจุบันแพทย์ของโรงพยาบาลเรามีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากซึ่งอยู่ในภาวะสูญเสียและไม่สามารถทำอะไรได้ ในฐานะแพทย์เราไม่สามารถดูผู้ป่วยที่ทรมานจากอาการเจ็บป่วยของตนเองได้ขณะที่ต้องเห็นแสดงออกที่สิ้นหวังของสมาชิกในครอบครัวของเขา และความรู้สึกเหล่านี้เป็นสิ่งอึดอัดที่สุดที่หมอต้องทน อาจจะนับว่านี้เป็นข้ออ้างที่ชายชราคนนี้กำลังขอร้องคุณ ได้โปรดมาที่โรงพยาบาลของเราทุกครั้งที่คุณมีเวลาว่าง! ”

ขอร้อง?

ถังซิ่วแอบคิดอยู่ในใจว่าชายชราคนนี้จริงๆแล้วสามารถสื่ออารมณ์ไปถึงผู้ที่ฟังได้ดีจริงๆและการแสดงออกของเขาก็ดูจริงใจเป็นอย่างมาก เขาไม่รู้ว่าเขาควรจะปฏิเสธยังไงดี

หลังจากที่เงียบๆอยู่สักครู่หนึ่งแล้ว ถังซิ่วก็ได้พูดอย่างช้าๆว่า

“หนึ่งครั้งต่อเดือน ทุกครั้งฉันจะเป็นคนจัดเวลา ”

หลี่ฮงจี้ตอบอย่างรวดเร็วว่า

“สามครั้งต่อเดือน ทุกๆ10วันต่อครั้ง”

ถังซิ่วจ้องมองไปที่เขา ถ้าไม่ใช่แม่ของเขาที่เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งนี้พร้อมกับความสุภาพของพวกเขาที่ได้รับ เขาจะรู้สึกขี้เกียจมากที่จะให้ความสำคัญกับชายชราคนนี้ หลังจากที่คิดอยู่ชั่วขณะหนึ่งแล้วเขาก็ได้พูดขึ้นว่า

“สองครั้งต่อเดือนและเวลาก็ขึ้นอยู่กับฉัน มิฉะนั้นคุณสามารถลืมมันไปได้เลย”

หลี่ฮงจี้รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งอยู่ภายในใจ เขาแอบตัดสินใจที่จะใช้โอกาสนี้ในการใช้ทุกอย่างในเวลาสองครั้งต่อเดือนนับจากนี้ การแสดงออกที่ยิ้มแย้มแจ่มใสได้ปรากฏขึ้นบนใบหน้าเหี่ยวๆของเขาขณะที่พูดว่า

“เอาบัตรประชาชนของคุณมาให้ฉันแล้วฉันจะจัดการเรื่องการยืนยันตัวตนของคุณ อ่อใช่ คุณมีใบประกอบโรคศิลป์หรือเปล่า?”

“ฉันไม่ได้เพิ่งบอกไปหรอว่าฉันยังเป็นนักเรียน? จะเอาไอ้ใบนั่นมาจากไหนหละ? และในอนาคตเองฉันก็ไม่ได้ตั้งใจว่าจะเป็นหมอด้วย ”

“เฮือก…”

หลี่ฮงจี้แอบยิ้มอย่างฝืนๆออกมาขณะที่เขายังถอนหายใจอยูภายในอัจฉริยะคนนี้นั้นแปลกประหลาดจริงๆแต่ถึงกระนั้นเขาก็ปิดบังความอึดอัดใจด้วยรอยยิ้มแล้วพูดว่า

“ในเมื่อคุณไม่มีมัน ฉันก็จะจัดการมันเป็นการส่วนตัวเพื่อคุณ! อย่างไรก็ตามอาจใช้เวลาสักพักหนึ่ง ในโลกสมัยนี้ทุกอย่างขึ้นอยู่กับประกาศนียบัตรและใบรับรอง การมีสิ่งเหล่านี้จะทำให้ง่ายขึ้นสำหรับคนในสังคม “