…………………………………………………………………………………………………………………………………………………………………

รับเป็นศิษย์?

มู่ขวินปิงตระหนักถึงจุดประสงค์ของถังซิ่วได้ทันที แต่เธอไม่รู้อะไรเกี่ยวกับผู้บ่มเพาะพลังแม้แต่น้อย เธอไม่รู้ว่ามันจะดีต่อตัวของลูกเธอไหม นั้นเป็นเหตุที่ทำให้เธอในตอนนี้นั้นตัดสินใจไม่ถูกและไม่กล้าที่จะตกลง

ราวกับว่าถังซิ่วนั้นสามารถมองเห็นความคิดของมู่ขวินปิงได้ พูดได้พูดออกมาอย่างช้าๆว่า

“ฉันเข้าใจความคิดของคุณ แต่คุณไม่ต้องเป็นกังวลไป ลูกสาวของคุณเกิดมาเพื่อเป็นผู้บ่มเพาะ ฉันได้ช่วยเธอเปลี่ยนสภาพร่างกายของเธอมาก่อนหน้านี้นั้นเป็นเพียงการยับยั้งพลังน้ำแข็งที่อยู่ภายในร่างกายของเธอเท่านั้น ถ้าเราอยากจะรักษาเธอให้หายขาด เธอต้องบ่มเพาะพลังแห่งนิรันด์ พลังงานความเย็นจะไม่ทำให้เธอเกิดอาการบาดเจ็บใดๆกลับกัน มันจะเป็นประโยชน์มหาศาลต่อเธอ ”

“ฉันตกลง!”

เมื่อมู่ขวินปิงได้ฟังนั้น เธอก็พยักหน้าทันที

ในใจของเธอนั้น ลูกสาวของเธอเป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดของทั้งหมด ตราบเท่าที่ลูกสาวของเธอปลอดภัยและมีสุขภาพดีเธอก็จะเห็นด้วยกับทุกสิ่งทุกอย่าง

ถังซิ่วพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“บอกตามตรง ฉันสามารถมองเห็นความรักอันน่าชื่นชมและความเป็นแม่จากตัวคุณ ในความเป็นจริง ฉันเองก็โตขึ้นมาเป็นลูกกำพร้าเช่นกัน ไม่ต้องเป็นห่วงและเชื่อใจฉัน! คุณจะไม่รู้สึกเสียดายที่ตัดสินใจเช่นนี้ในอนาคตอย่างแน่นอน ”

“แล้วไม่ต้องจัดพิธีรับเป็นศิษย์งั้นหรอ? ”

ถังซิ่วตอบว่า

“พิธีง่ายๆก็พอ เสิร์ฟน้ำชาและคาราวะก็เดียวพอแล้ว”

เมื่อพูดจบ เขาก็มองไปที่กู่หยินแล้วถามออกมาด้วยรอยยิ้มว่า

“หนูต้องการที่จะรับฉันเป็นอาจารย์ไหม ?ต้องการที่จะเป็นผู้บ่มเพาะแห่งนิรันด์หรือเปล่า ? คิดทบทวนมันดีๆ เมื่อหนูได้เลือกฉันเป็นอาจารย์แล้วละก็ หนูจะเป็นศิษย์สายตรงของถังซิ่วคนนี้ การบ่มเพาะพลังแห่งนิรันด์นั้นเป็นอะไรที่ยาวนานอย่างมากมันไม่ใช่แค่ไม่กี่ร้อยปีเท่านั้น ช่วงชีวิตส่วนใหญ่ของผู้บ่มเพาะพลังแห่งนิรันดฺนั้นอย่างต่ำก็ไม่กี่พันปีส่วนอย่างมากก็ถึงล้านปีและบนเส้นทางการบ่มเพาะนั้นหนูจะต้องประสบกับความยากลำบากนับไม่ถ้วน ”

กู้หยินโห่ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจว่า

“คนที่ฝึกฝนเส้นทางการบ่มเพาะพลังแห่งนิรันด์นั้นทำให้สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหรอค่ะ?”

ถังซิ่วได้ตอบด้วยรอยยิ้มว่า

“ใช่แน่นอน ตราบเท่าที่พวกเขาไม่ตายกลางทางละก็นะ ต่อให้เป็นหลายล้านปีก็มีโอกาสเป็นไปได้ ”

กู่หยินได้ถามอีกครั้งว่า

“แม่ของหนูสามารถฝึกการบ่มเพาะพลังแห่งนิรันด์ได้หรือไม่?”

ถังซิ่วมองตาของมู่ขวินปิงขณะที่เขาพยักหน้าแล้วพูดว่า

“แน่นอนอยู่แล้วว่าเธอยังสามารถฝึกได้ อย่างไรก็ตาม อายุของเธอได้ผ่านช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับการบ่มเพาะมาแล้ว ดังนั้นความสำเร็จในอนาคตของเธอจะไม่สูงมากนักแม้ว่าฉันจะให้ความช่วยเหลือ แต่อย่างต่ำที่สุดเธอก็จะสามารถก้าวขึ้นไปสู่ดินแดนแห่งนิรันด์และเป็นนิรันด์ธรรมดาได้อย่างแน่นอน”

กู่หยินพยักหน้าซ้ำๆแล้วก็คุกเข่าต่อหน้าถังซิ่ว เธอกราบเคาะหัวของเธอสามครั้งแล้วเอาถ้วยชาบนโต๊ะกาแฟยื่นไปให้ถังซิ่วอย่างไม่ลังเลแล้วพูดว่า

“ท่านอาจารย์โปรดดื่มหนู” (*เอ้ย ชาของหนู)

ถังซิ่วมองไปที่ถ้วยชาด้วยความพึงพอใจและดื่มมันลงไป

เขาได้รับกู่หยินมาเป็นศิษย์นั้นไม่ใช่ศิษย์อย่างไม่เป็นทางการแต่เป็นศิษย์สายตรง เพราะอย่างไรก็ตามนั้น ถ้าฝึกดีๆกายศักดิ์สิทธิ์ของนกฟีนิกซ์น้ำแข็งจะสามารถสร้างจักรพรรดิในดินแดนแห่งนิรันด์ได้อย่างแน่นอน เป็นผู้ที่ปกครองเหล่านิรันด์ธรรมดานับล้าน

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นคือ เธอก็จะกลายเป็นผู้ช่วยที่น่าเกรงขามของเขาเมื่อเขาต้องกลับไปที่ดินแดนแห่งนั้น

ยิ่งมีคนเยอะ พลังก็ยิ่งเยอะ!

นี่คือความจริงพื้นฐานที่สุด ก่อนหน้านี้เขาไม่ต้องการรับศิษย์เขารู้สึกขยะแขยงที่ต้องไปฝึกสอนคนอื่น นั่นทำให้เพื่อนๆของเขาวางแผนลอบสังหารเขาอย่างง่ายดาย ทำให้เขาต้องล้มเหลวในการรับทัณฑ์สวรรค์ ถ้าไม่ใช่เพราะวิญญาณของเขาได้กลับมาที่โลกนี้แล้วละก็ การดำรงอยู่ของเขาจะสูญสิ้นไปอย่างแน่นอน

มู่ขวินปิงไม่ได้คำนึงถึงเรื่องการบ่มเพาะพลังของเธอแม้แต่น้อย สิ่งที่เธอห่วงใยคืออนาคตของลูกสาว ดังนั้นเมื่อถังซิ่วได้เสร็จสิ้นการดื่มชาและรับลูกสาวของเธอเป็นศิษย์ เธอได้ถามขึ้นมาทันทีว่า

“หมอศักดิ์สิทธิ์ถัง คุณบอกว่าคุณจะจัดการเรื่องชีวิตของเราในอนาคตใช่หรือไม่”

ระหว่างทางที่กำลังมายังบริเวณวิลล่าแห่งนี้ ถังซิ่วได้คิดถึงปัญหานี้ก่อนแล้วและเขาก็มีความคิดอยู่แล้ว จากนั้นเขาก็ถามกลับช้าๆว่า

“อาชีพก่อนที่คุณทำคืออาชีพอะไร?”

มู่ขวินปิงตอบกลับว่า

“ฉันเป็นผู้บริหารธุรกิจให้กับองค์กรต่างชาติ”

ถังซิ่วได้ตอบกลับว่า

“ถ้าฉันต้องการให้คุณเป็นแม่บ้าน คุณจะยอมรับได้หรือไม่?”

แม่บ้าน?

มู่ขวินปิงงงงวย เธอไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะจัดงานดังกล่าวให้กับเธอ หลังจากที่อึดอัดใจ เธอก็พูดออกมาด้วยรอบยิ้มที่ขมขื่นว่า

“ฉันไม่รู้เรื่องการดูแลทำความสะอาด”

ถังซิ่วได้ตอบกลับว่า

“คุณมีทางเลือกสองทาง อย่างแรกฉันจะส่งคุณไปต่างประเทศเพื่อเรียนรู้และศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้จากองกรสอนพ่อบ้านและอย่างที่สอง ฉันจะจ้างผู้เชี่ยวชาญเพื่อให้คุณทำการฝึกอบรมแยกต่างหาก คุณต้องการเลือกแบบไหน? ”

มู่ขวินปิงมองดูลูกสาวของเธอและตอบด้วยเสียงต่ำว่า

“ฉันสามารถเลือกข้อที่สองได้หรือไม่? ฉันต้องการที่จะอยู่ใกล้กับหยินหยินและการไปต่างประเทศนั้นไม่สะดวกซักเท่าไหร่ ”

“ไม่มีปัญหา!”

ถังซิ่วเอาโทรศัพท์มือถือออกมาและโทรหาเหมี่ยวเหวินถัง เขาขอให้ช่วยจ้างครูแม่บ้านสองคนจากต่างประเทศ หลังจากถามเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมเขาพบว่าราคานั้นไม่ใช่ถูกๆเลย 3ล้านหยวนใช้เวลาในการฝึกอบรม2เดือน

หลังจากที่การโทรเสร็จสิ้นลงแล้ว ถังซิ่วได้พูดต่อว่า

“ฉันได้ติดต่อเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้วพวกเขาก็น่าจะมาในช่วงเวลาไม่นานและอีกอย่างหนึ่งคือฉันไม่ใช่คนจากเกาะจิงเหมินนี่ ดังนั้นคุณจะต้องตามฉันไปอาศัยอยู่ในเมืองสตาร์ซิตี้ เราจะพักที่นี่สักพักหนึ่งแล้วเราจะกลับไปที่สตาร์ซิตี้ในวันพรุ่งนี้ ”

ใขวินปิงพยักหน้าและตอบว่า

“ฉันจะฟังคำสั่งของคุณ”

ถังซิ่วได้เตือนเธอว่า

“คุณต้องเรียนอย่างหนักในการฝึกอบรมการเป็นแม่บ้านของคุณ เมื่อเสร็จสิ้นการฝึกอบรมแล้วฉันหวังว่าคุณจะสามารถมีชีวิตอยู่กับหยินหยินในมหาสมุทรแปซิฟิกได้ ฉันได้ซื้อเกาะส่วนตัวไว้ที่นั่น มันมีขนาดมากกว่า10ตารางกิโลเมตร ดังนั้นฉันจะต้องจ้างคนงานและคนรับใช้จำนวนมากที่นั่น ”

“เกาะส่วนตัว?มากกว่า10ตารางกิโลเมตร? ”

มู่ขวินปิงตกใจกับคำพูดของถังซิ่ว แต่แล้วเธอก็รู้ว่าเธอไม่รู้เรื่องสถานะใดๆของถังซิ่วแม้แต่น้อย

“คุณหมอถัง ทำไมคุณถึงทำให้ฉันและหยินหยินไปอาศัยอยู่บนเกาะในมหาสมุทรแปซิฟิก? แล้วเรื่องการศึกษาของหยินหยิน ล่ะ? มันจะไม่เหมือนกับว่า เธอจะมีชีวิตที่โดดเดี่ยวและถูกตัดขาดจากโลกภายนอก? ”

มู่ขวินปิงถามขึ้นมา

ถังซิ่วได้ตอบเธอว่า

“การอาศัยอยู่ในที่เงียบสงบนั้นเป็นเรื่องปกติของผู้บ่มเพาะพลัง อย่างไรก็ตามตั้งแต่ที่ตอนนี้เป็นยุคใหม่นั้น ฉันจะไม่เข้มงวดและใช้สไตล์เก่าๆ ฉันจะจ้างครูและอาจารย์ที่ดีที่สุดในการสอนเธอ ครูของเธอคงไม่น้อยกว่า10คนและฉันก็จะให้วันหยุดพักผ่อน 2 เดือนในแต่ละปีเพื่อที่เธอจะออกไปโลกภายนอกและเรียนรู้จากประสบการณ์ตรงในสังคม ”

มู่ขิวินปิงพูดด้วยความลังเลใจว่า

“มันจะไม่ทำเกินไปหน่อยหรอ?สำหรับเด็กตัวเล็กๆคนเดียว… ”

ถังซิ่วได้ตอบทันทีว่า

“ฉันมีแผนการของฉัน คุณไม่จำเป็นต้องพูดอะไรอีกต่อไปแล้ว”

ภายหลัง

ถังซิ่วได้ให้แนวทางการบ่มเพาะเทคนิคแห่งนิรันด์แก่มู่ขวินปิง หลังจากนั้นก็พาเธอไปส่งที่ห้อง ตั้งแต่ที่กู่หยินได้กลายเป็นศิษย์สายตรงของเขา เขาก็จำเป็นต้องสอนเทคนิคการบ่มเพาะแห่งนิรันด์ที่ดีที่สุดในดินแดนแห่งนิรันด์ให้แก่เธอและโชคดีมากที่เขาได้รับเทคนิคระดับสูงมาจากดินแดนแห่งนั้นแล้วมันก็ยังเข้ากับกู่หยินได้ดีเป็นอย่างมาก

“เทคนิคลับฟีนิกซ์น้ำแข็งแห่งเก้าสวรรค์”

เทคนิคการบ่มเพาะนี้เป็นเทคนิคที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอันหนึ่งในดินแดนแห่งนิรันด์มาเป็นเวลานับร้อยนับพันปี แต่ละคนที่สามารถบรรลุเทคนิคนี้ ตราบเท่าที่พวกเขานั้นไม่ตายอยู่กลางทาง ในที่สุดพวกเขาก็จะกลายเป็นมหาอำนาจที่สำคัญในดินแดนแห่งนิรันด์อย่างแน่นอน

ด้วยฐานการเพาะปลูกในปัจจุบันของเขา ถังซิ่วไม่สามารถถ่ายทอดเนื้อหาของเทคนิคการบ่มเพาะนี้ไปยังกู่หยินได้โดยตรง เขาทำได้เพียงแค่สอนเธอทีละขั้นตอนตั้งแต่เริ่มต้น ตัวอย่างเช่นการระบุจุดพลังทั้งหมดภายในร่างกาย เส้นพลัง จุดตันเทียนและอื่นๆ สิ่งที่ทำให้ถังซิ่วรู้สึกพอใจนั้นก็เพราะว่ากู่หยินสามารถเรียนรู้เรื่องทั้งหมดนี้ได้อย่างรวดเร็วภายในเวลาแค่สองชั่วโมง

“ตอนนี้อาจารย์จะสอนเจ้าเรื่องเทคนิคลับฟีนิกซ์น้ำแข็งแห่งเก้าสวรรค์และเจ้าต้องจดจำมันอย่างจริงจังโดยไม่ผิดพลาด แต่จำไว้ว่าเจ้าต้องไม่เปิดเผยและสอนเทคนิคการบ่มเพาะนี้ให้กับใครแม้แต่แม่ของเจ้า”

(ไม่อยากใช้หนูเพราะพอเป็นอาจารย์แล้วมันดูฟรุ้งฟริ้งยังไงไม่รู้ ใครมีคำอื่นก็แนะนำได้นะครับ)

ถังซิ่วได้พูดเตือนออกมา

“ค่ะ ค่ะ !”

กู่หยินพยักหน้าอย่างชาญฉลาด

เป็นเวลา 2:30 น. ถังซิ่วได้เสร็จสิ้นการสอนเทคนิคลับฟีนิกซ์น้ำแข็งแห่งเก้าสวรรค์ให้กู่หยิน จากนั้นเขาก็ปล่อยให้เธอพยายามกระตุ้นการไหลเวียนของพลังงานของเธอ ถึงแม้ว่าความพยายามครั้งแรกของเธอจะล้มเหลว แต่ถังซิ่วรู้ดีว่ามันเป็นเรื่องปกติ สำหรับคนธรรมดาที่ต้องรู้สึกถึงการไหลเวียนของพลังงานและแม้กระทั่งการควบคุมการไหลเวียนของพลังงาน อาจใช้เวลาเป็นเดือนสำหรับอัจฉริยะที่จะมีความสำเร็จครั้งแรก ถ้าเป็นคนธรรมดาก็อาจจะต้องใช้เวลาเป็นปี

“ดีแล้ว! ตอนนี้ก็ไปพักผ่อนได้แล้ว! ”

ถังซิ่วลูบหัวกู่หยินแล้วพูดด้วยรอยยิ้ม

“ท่านอาจารย์ ราตรีสวัสดิ์!”

หลังจากผ่านความทุกข์ทรมานและความเจ็บปวดเป็นเวลากว่า2ปี กู่หยินได้มีความเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเมื่อเปรียบเทียบกับเพื่อนของเธอ แม้ว่าเธออายุแค่9ขวบแต่ก็เปรียบได้กับวัยรุ่นแล้วในขณะนี้

เกาะจิงเหมิน,สถานบันเทิงรีเจ้นท์

ปากของโอหยางลูลู่ที่เต็มไปด้วยเบียร์ขณะที่เพื่อนที่ดีที่สุดของเธอคือฮ่วงดาดู่นั่งข้างเธอ พวกเธออยู่ในวัยเดียวกันและมีลักษณะที่สง่างาม

“ลูลู่ ดื่มให้น้อยหน่อยดีไหม?! ”

บนตัวของฮ่วงดาดู่นั้นดูมีความเป็นเจ้าหญิงของตระกูลใหญ่ แม้ว่าเธอจะนั่งอยู่บนโซฟา เธอก็ยังดูดี อย่างไรก็ตามในขณะนี้ความกังวลและความเป็นห่วงนั้นสามารถเห็นได้จากท่าทางของเธอ

โอหยางลูลู่ ดื่มเบียร์อย่างหนักลงไปในกระเพาะของเธอ เธอเมาแล้วขณะที่เธอพูดด้วยความโกรธว่า

“ฉันรู้สึกแย่มาก แย่มากๆ ถังซิ่วนั้นคิดว่าฉันคนนี้เป็นตัวอะไร? มาแย่งที่อยู่ของฉันแล้วยังไล่ฉันออกมาอีก !!!!เธอเคยเห็นไหม … เธอเคยเห็นคนที่หน้าด้านขนาดนี้ไหม? ”

ฮ่วงดาดู่ตอบด้วยรอยยิ้มว่า

“โอ้ฉันไม่เคยเห็นคนหน้าด้านแบบนี้มาก่อน อย่างไรก็ตามฉันพบว่าเขาน่าสนใจ เธอลองคิดดูสิ! เขาเห็นความสวยของเธอแล้วเขายังสามารถละเว้นเธอและสิ่งล่อลวงของเธอได้ เขาไล่เธออกมา?! นี่เป็นหนึ่งในผู้ชายที่หาได้ยากที่สุดในโลกซึ่งฉันคิดว่าสายพันธุ์นี้ได้สูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ถ้ามีโอกาสในภายหลัง เธอต้องแนะนำเขากับฉัน ” (*พี่ถังฉันกลายร่างเป็นหมาไปแล้วเรอะ)

“แนะนำบ้านเธอสิ!”

โอหยางลูลู่เริ่มปล่อยคำหยาบคายเหล่านั้นออกมาและสูญเสียรูปลักษณ์ที่เหมือนนางฟ้าของเธอ

แต่ฮ่วงดาดู่รู้ดีเกี่ยวกับบุคลิกของเธอ ดังนั้นเธอจึงไม่โกรธและพูดอีกครั้งด้วยรอยยิ้มว่า

“ตอนนี้ก็2.30แล้ว เธอคิดว่าเราควรจะไปได้หรือยัง? เธอไม่ต้องการที่จะนอนหลับบนถนนในคืนนี้ใช่ไหม? ”

โอหยางลูลู่ที่ยังโกรธอยู่พูดว่า

“นอนที่ไหนหละ? เขายึดบ้านของฉันไปแล้ว! ”

ฮ่วงดาดู่รู้ดีว่ามันเป็นคำต้องห้ามที่ทำให้เธอโกรธ ขณะที่เธอยิ้มและกอดไหล่ของเธอจากนั้นเธอก็พูดว่า

“ไปกันเถอะ! พ่อให้วิลล่าที่ได้รับการตกแต่งใหม่มาเมื่อเดือนที่แล้วเป็นของขวัญวันเกิดของฉัน ฉันคิดว่าเธอยังไม่เคยไปที่นั่น ”

“เธอเป็นคนที่ดีกับฉันที่สุดเลย!”

การแสดงออกของโอหยางลูลู่ที่มืดมนเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วและกลายเป็นหน้าที่ใสเหมือนแสงแดด ในขณะที่เธอยิ้มเหมือนดอกไม้ที่สวยงาม เธอกอดแขนของฮ่วงดาดู่และจูบลงบนใบหน้าที่สวยงามของเธอเพียงเล็กน้อย จากนั้นเธอรีบกระโดดขึ้นและคว้ากระเป๋าไว้ข้างเธอแล้วรีบวิ่งออกนอกห้องส่วนตัวไป

“โอ๊ย!”

เมื่อโอหยางลูลู่ที่เพิ่งรีบออกจากประตูไปนั้น เธอก็ชนเข้ากับหน้าอกที่ทนทานและแข็งแรง แรงกระแทกทำให้เธอซวนเซและสะดุดไปข้างหลังหลายก้าว จนแทบจะทรุดลงกับพื้น