ในใจเยี่ยหวูเยียนั้นเห็นว่า ด้วยพรสวรรค์ของเยี่ยจงในตอนนี้เพียงพอที่จะเข้าไปเป็นทหารชั้นเลิศของกองกำลังองค์รักษ์ของราชวงศ์โจวได้อย่างง่ายดาย แต่ทว่าเยี่ยจงนั้น ถึงจะใช้แซ่ว่าแซ่เยี่ย ความจริงเมื่อก่อนไม่ว่าจะยังไงก็ตาม ก็ไม่น่าจะขับไล่เขาออกจากตระกูล

 

แต่ถ้าหากเขาตัดสินใจตามที่คิดไว้ละก็ ก็เหมือนเยี่ยหวูเยียเดินเข้าไปตบหน้าตระกูลซูก็มิปาน และเกรงว่าอาจจะเหมือนการตบหน้าตระกูลตัวเองด้วยเช่นกัน อีกทั้งวันนี้เยี่ยจงก็ได้ฟาดฟันผู้คนไปมากมายรวมทั้งเหล่าคนที่เรียกว่า “ตระกูลเยี่ย” ก็เป็นเหมือนการตั้งตัวเป็นปรปักษ์ต่อตระกูลเยี่ยอย่างเห็นได้ชัด อาจจะเรียกว่าถูกรังเกียจอยากมากก็ว่าได้

 

ในสถานการณ์ในตอนนี้ การตัดสินใจของตนต่อคนในตระกูลเล็กๆนั้น อาจจะฟังดูมีเหตุผล แต่ทว่า สิ่งที่คิดอยู่นั้นสามารถที่จะทำได้จริงหรือ

 

ในระหว่างที่เยี่ยหวูเยียกำลังใคร่ครวญครุ่นคิดอยู่นั้นเอง หลิวฮ้านก็ได้หัวเราะออกมาเล็กน้อย ตอบ “ น้องทั้งสองพวกท่านมิใช่พึ่งกล่าวหรอกหรือว่า เรื่องของคนรุ่นเยาว์ก็ให้คนรุ่นเยาว์เป็นคนจัดการกันเองจะดีกว่ามิใช่หรือ เหตุใดพวกท่านกลับคิดจะลงมือแล้วละ “

 

คำพูดของหลิวฮ้านนั้นดูเหมือนกล่าวอย่างตั้งใจหรือมิกล่าวอย่างไม่ตั้งใจ แต่ก็ได้เรียกสติทั้งเยี่ยหวูเยีย และซูฮ้านกลับมาได้ สายตาจ้องกลับมองไปที่หลิวชิงม้งที่เดินตามเยี่ยจงที่ละก้าวทีละก้าว ให้ความรู้สึกที่แตกต่างจากปกติ

 

หลังจากฟังที่กล่าวมาแล้วนั้น พวกเขาทั้งสองก็เข้าใจความหมายที่หลิวฮ้านต้องการจะสื่อ หากมองดูดีๆแล้วละก็ คนๆนี้พึ่งจะอายุสิบสี่สิบห้าปี นับตั้งแต่เข้ามายังห้องโถง หนึ่งก้าวหนึ่งกระบวนท่า หนึ่งกระบวนท่าฟาดฟันหนึ่งคน อีกทั้งยังไม่มีแม้กระทั้งเค้าของความพ่ายแพ้ ความสามารถไร้พ่ายเช่นนี้ อาจจะเรียกว่าผลงานชิ้นเอกเลยก็ได้ ในสถานการณ์เช่นนี้แม้กระทั่งผู้อาวุโสทั้งสามก็ยังมีอิจฉาอยู่หลายส่วน ในเวลาเดียวกันนั้น ทุกคนต่างก็คิดเหมือนกันว่า เหตุใดสวรรค์ถึงเลือกคนเช่นนี้ให้มีความสามารถถึงระดับนี้ เหตุใดถึงมิใช่ตนเอง แต่ทว่าบุตรีของหลิวฮ้าวนั้นยังก็เดินตามหลังเยี่ยจงอย่างไม่ลดละ หากบอกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองนั้นมิได้ลึกล้ำอะไรมากมาย เกรงว่าต่อให้ตบเยี่ยหวูเยีย และซูเฮ้า ให้ตายยังไงก็คงจะไม่เชื่ออยู่ดี

 

ในตอนนั้นเอง ตระกูลหลิวนั้นดูเหมือนจะให้การสนับสนุนเขาหรืออย่างไร พวกเขายอมรับคุณสมบัติของหนุ่มน้อยที่อาจหาญผู้นี้แล้วหรือ

 

ในระหว่างการตัดสินใจของทั้งสามคนนั้นเอง ระยห่างระหว่างเขาไม่ถึงสิบจังและคนทั้งสองเบื้องหน้านั้นเอง ซูเหวินชิงและซูขุ่ยนั้นต่างจ้องมองเยี่ยจงอย่างใจจดใจจ่อ

 

ซูเหวินชิงในฐานะที่เป็นคู่หมั้นหมายกับนเองถึงห้าปี นางก็ได้ทราบข่าวลือต่างๆมากมาย เจ้าขยะเยี่ยจงคำเรียกขานสี่คำนี้ เป็นดั่งฝันร้าย ที่คอยหลอกหลอนนางไม่รู้กี่คืนต่อกี่คืน ทว่าคำเรียกขานสี่คำนี้ก็เป็นเสมือนไพ่ตายไว้คุ้มกันตนเองมานานหลายปีเช่นเดียวกัน ดังนั้นก็เหมือนไม่มีความรู้สึกรักหรือเกลียดออกมาเลย มันช่างว่างเปล่า แต่ทว่าในวันนี้เยี่ยจงนั้นได้ยืนหยัดต่อสู้หนึ่งต่อร้อย ร้อยก้าวไร้พ่าย สิ่งเหล่านั้นทำให้นางนั้นรู้สึกสั่นเทาไปทั้งร่างกาย

 

นับผู้ที่มีความสำเร็จที่สุดในรัฐเยียน จะมียอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่มือฝีมือ ซักกี่คนที่สามารถที่จะทำเรื่องเช่นนี้ได้ เกรงว่าคงจะไม่มี

 

หลังจากที่ทำให้ตกตะลึงแล้วนางก็ได้จ้องมองไปที่เยี่ยจงเดินมาทางตนเองทีละก้าวทีละก้าว ซูเหวินชิงนั้นก็เริ่มที่จะไม่มีความรู้สึกหวาดกลัวแล้ว นั้นก็เพราะว่า นางสังเกตเห็นว่า เยี่ยจงนั้นมิได้ตั้งใจที่จะมุ่งหน้ามาทางตนเอง แต่ควรจะเรียกว่า ความจริงเยี่ยจงนั้นมิได้เหลียวแลสาวงามอันดับหนึ่งของรัฐอยู่ในสายตาเลย เพียงแต่ว่าพอดีที่นางนั่งอยู่ใกล้เป้าหมายที่เยี่ยจงกำลังเข้ามาเท่านั้นเอง

 

หากเทียบอาการสั่นเทาของซูเหวินชิงแล้วละก็ ที่นั่งข้างๆนาง สวมชุดฉีเพาสีแดงนั้นก็คือ ซูขุ่ยนั้นเอง นางได้มีใบหน้าที่ขาวซีดราวกับกระดาษ นางคิดไม่ถึงว่า จากที่นางเคยคิดไว้ว่า เพียงก็บีบเค้นเล็กน้อยเยี่ยจงก็สามารถตายได้ ใครจะรู้ว่าจะตายยากตายเย็นเช่นนี้

 

แต่ทว่าสิ่งที่นางกลัวที่สุดก็คือหากทุกคนในห้องโถงนี้ทราบว่าที่เยี่ยจงค่อยๆมาทางด้านนี้ก็เพราะเรื่องที่นางจับตัวคนๆหนึ่งไว้อยู่ ที่เป็นต้นเหตุของเรื่องนี้

 

ซูขุ่ยในเวลานี้ไม่ได้มีความรู้สึกยินดีแม้แต่อย่างใด และก็มิได้ตื่นเต้นแต่อย่างใด เมื่อซักครู่ยังตกอยู่ในอาการตกตะลึงอยู่หลายส่วน จวบจนบัดนี้หลงเหลือเพียงความรู้สึกหวาดกลัวเพียงอย่างเดียว

 

เยี่ยจงนั้นยังคงมุ่งหน้าไปจัดการคนแล้วคนเล่า และได้กวาดสายตาไปยังด้านหน้าเป็นครั้งคราว สายตาที่ส่งไปนั้นเต็มไปด้วยรังสีการฆ่าฟัน ราวกับจะฆ่าคนได้เลย สิ่งนี้ทำให้ซูขุ่ยนั้นตัวหนาวสั่นเข้าไปถึงกระดูก จากความเข้าใจเยี่ยจงของซูขุ่ยนั้น เขาสามารถทำเรื่องอย่างนี้ได้ด้วย จากที่นางมอง เจ้าขยะตระกูลเยี่ยนั้นเป็นได้แค่ขี้โคลนใต้เท้าเท่านั้น อยากจะเหยียบ อยากจะย่ำยังไงก็ได้ แต่จากที่นางได้เห็นจากการร้อยก้าวจัดการร้อยคนไปแล้ว ทั้งนี้ทั้งนั้นในบุคคลที่ถูกจัดการไปนั้น ยังรวมไปถึงสิบสุดยอด ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ที่พ่ายแพ้ไปเมื่อครู่ อีกทั้งยังสู้โดยที่ไม่มีแม้กระทั่งความกลัว

 

ถึงกระนั้นซูขุ่ยก็มิได้เกรงกลัวเยี่ยจงมากมายนัก ไม่ว่าจะพูดยังไงก็ตาม นี้ก็ยังเป็นงานหมั้นหมายของทั้งสองตระกูล อยากมากก็คงไม่ถึงกับเอาชีวิตคน หรือพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ นางยังไม่เห็นเยี่ยจงนับตั้งแต่เดินเข้ามานับร้อยก้าวนั้นฆ่าใครไปเลย เพียงแต่อาจจะมีบ้างที่ทำให้บาดเจ็บสาหัส

 

นางเพียงแค่กลัวว่าเรื่องการขอถอนหมั้นระหว่างนางกับเยี่ยจงนั้นจะถูกเผยออกมา เพียงแค่อยากให้เรื่องราวเป็นเพียงเรื่องหนุ่มหยิ่งผยองนั้นเพียงแต่ต้องการที่จะเลือกตัวคู่หมั้นของตัวเอง ถึงนางจะเป็นถึงบุตรีของผู้นำตระกูลซูก็ตามที แต่การที่จะทำเรื่องที่สวรรค์ยังให้อภัยไม่ได้อย่างการบังคับฝืนใจผู้อื่นให้มาถอนหมั้น หากเรื่องราวกระจ่างแล้วละก็ ต่อให้ตกนรกก็ยังถือว่าไม่เพียงพอ

 

หลังจากคิดทบทวนแล้ว ซูขุ่ยก็ได้ยิ้มออกมาคำหนึ่ง เพียงแค่นางนั้นรอให้เขามาขอขมานางก็พอแล้ว ตนเองเป็นถึงคุณหนูใหญ่แห่งตระกูลซูก็แค่เพียงยอมฝืนใจแต่งงานกับเขาเรื่องราวก็จบสิ้นแล้ว  อย่างมากก็แค่ออกหน้าแค่ไม่ก็ที

 

“ เพลี้ยง — — “

 

เสียงบางอย่างกระทบกับกระบี่ดังระงมไปทั่วห้องโถง

 

ในตอนที่กระบี่ยาวอยู่ในระยะห่างไม่ไกลนัก เยี่ยจงก็ได้ถ่ายลมหายใจที่ไม่จำเป็นออกมา  จากนั้นก็ค่อยๆกลับมาหายใจอย่างสงบในไม่ช้า เกิดอาการชาด้านที่มือข้างขวาของเขาจนแทบจะกุมกระบี่ยาวในมือเอาไว้ไม่อยู่

 

จากที่เขาไปใกล้อีกยี่สิบก้าว ในยี่สิบก้าวนี้เขาได้จัดการกับยอดฝีมือของทั้งสองตระกูลที่จัดได้ว่าอยู่ในสิบยอดยุทธ์รุ่นเยาว์

 

แต่ทว่าในตอนที่ก้าวเท้าก้าวที่ยี่สิบเอ็ดอยู่นั้นเอง ก็มีใครบางคนโยนแก้วเหล้ามาทางเยี่ยจง จากนั้นเขาจึงได้เกรงร่างกายทั่วร่าง ใช้กระบี่เข้าต้านทานไว้

 

ในตอนนั้นเองก็ได้มีบุคคลคนหนึ่งที่มายืนอยู่ด้านหน้าเยี่ยจง ร่างกายที่สูงยาว สวมชุดคลุมมงคลสีแดง มีใบหน้าที่หล่อเหลาแสดงอาการเฉยเมย สายตานั้นจ้องมองราวกับงูพิษก็มิปาน

 

“ เยี่ยยี่ฟง — — “

 

ยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งตระกูลเยี่ย เยี่ยยี่ฟง

 

เยี่ยจงค่อยๆปิดตาลง บนใบนั้นคล้ายคลุมด้วยรอยยิ้มชั้นหนึ่งอย่างลี้ลับ เพราะระหว่างฟันฝ่ามาทั้งร้อยก้าวนั้น ทำให้ความทรงจำของเยี่ยจงและหนุ่มน้อยเยี่ยจงรวมเข้าด้วยกัน ทำให้เขาทราบเป็นอย่างดีว่า กับญาติในตระกูลคนนี้ ที่มีนามว่า เยี่ยยี่ฟง ที่เขาได้ยินจนคุ้นหูมานับครั้งไม่ถ้วน ไม่ต้องบอกก็ทราบได้ การที่เขานั้นได้เป็นถึงอันดับหนึ่งในหมู่ยอดฝีมือรุ่นเยาว์ในตระกูล ก็เพียงพอที่จะบ่งบอกถึงฝีมือของเขาได้ดี

 

การที่ญาติผู้นี้นับตั้งแต่ฝึกฝนจนมาถึงทุกวันนี้ ยังมิเคยพ่ายแพ้ให้แก่ผู้ใดในรุ่นเดียวกันเลย อีกทั้งยังมีลมปราณอยู่ในขั้นก่อเกิดขั้นที่สี่ที่เทียบเท่ากับผู้อาวุโสหลายๆคนอีกด้วย เขาเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์อย่างแท้จริง เหตุที่ผู้ที่นั่งอยู่บนที่นั่งชั้นบนสุดทั้งสามไม่ลงมือ นั้นก็เพราะว่าหากพวกตนลงมืออาจมีการฆ่าฟันเกิดขึ้นได้ อีกเหตุผลหนึ่งคือ อาจเป็นเพราะไม่ต้องการที่จะแย่งผลงานจากเยี่ยยี่ฟงไปก็เป็นได้

 

ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้เยี่ยจงรู้สึกลำบากแม้แต่น้อย เขาเพียงแค่ขมวดคิ้วเพียงแค่ไม่ก็ครั้ง นั้นก็เพียงการตอบสนองของร่างกายเท่านั้น ตนเองที่ฝึกฝนลมปราณขั้นก่อเกิดเพียงแค่ขั้นที่สาม อีกทั้งยังต้องฟาดฟันคนอีกราวหกสิบคน เยี่ยจงในตอนนี้เริ่มที่จะรู้สึกเหนื่อยอยู่หลายส่วน

 

เหมือนกับว่าเยี่ยยี่ฟงนั้นเข้าใจในสภาพร่างกายของเยี่ยจง เขาก็ขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะกล่าวว่า “ เยี่ยจง หากวันนี้เจ้ายอมถอยไปละก็ พรุ่งนี้รุ่งขึ้นข้าจะให้โอกาสเจ้ามาประลองอย่างเท่าเทียม “

 

เยี่ยจงไม่สนใจ เพียงแค่ยิ้มกลับไปคำหนึ่ง ยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งตระกูลเยี่ยในสายตาของเยี่ยจงนั้นก็เป็นได้แค่ก้อนดินเท่านั้น

 

เยี่ยยี่ฟงรับรู้ความรู้สึกได้จากสายตาของเยี่ยจง นี้มิใช่การเยาะเย้ยหรือดูถูก แต่เป็นการมองข้ามไม่สนใจของยอดฝีมือ เพียงแค่นี้ก็เพียงพอที่จะทำให้เยี่ยยี่ฟงนั้นเกิดอาการโกรธจัดได้ เยี่ยจงก็ช่างอาจหาญที่มองข้ามตน

 

ต่อมา เยี่ยยี่ฟงได้พุ่งไปข้างหน้า กระบี่ยาวในมือเต็มไปด้วยม่านพลังชั้นหนึ่ง มุ่งกวาดเข้าไปที่ลำคอของเยี่ยจง เยี่ยจงนั้นไม่มีความคิดที่จะหลบหรือถอยหนีเลย เขารู้อยู่แก่ใจอยู่แล้ว ดังนั้นเขาคงทำได้เพียงแค่ทำให้เยี่ยจงพ่ายแพ้หรือไม่ก็ฆ่าซะ

 

สายตาของเยี่ยจงนั้นเป็นประกาย กระบี่นี้ของเยี่ยยี่ฟงนั้นไม่ได้แสดงออกถึงความแข็งแกร่งมากมายนัก แต่ดูแล้วช่างงดงาม แต่ว่ากระบี่นี้ยังเต็มไปด้วยการเปลี่ยนแปลงที่ไม่รู้จบ เพียงแค่กระบี่เดียวก็แข็งแกร่งกว่าเจ้าขยะไม่รู้กี่เท่า แต่ทว่า ระว่างความแตกต่างกับลมปราณก่อเกิดขั้นที่สี่นั้น ก็สมควรที่จะมีขอบเขตบ้าง

 

ทว่า เยี่ยจงในตอนนี้ก็มิได้ถอยหรืออย่างใดแม้แต่น้อย เพียงแต่ว่าเขานั้นทำตามเยี่ยยี่ฟง พุ่งตรงไปด้านหน้า กระบี่ยาวในมือตั้งขึ้นมุ่งสู่เบื้องหน้า

 

“ เปรี้ยง — — “

 

เยี่ยยี่ฟงนั้นไม่ปล่อยให้เยี่ยจงนั้นได้พักหายใจ กระบี่ยาวในมือของเขานั้นได้ฟันออกเป็นแนวตั้ง ตั้งใจว่าจะสามารถจัดการเยี่ยจงได้ภายในกระบวนท่าต่อไป

 

“ เปลี่ยนดาบ “

 

ในขณะที่ทุกคนนั้นกำลังตกอยู่ในอาการตะลึงลานอยู่ เยี่ยจงได้ใช้มือข้างซ้ายล้วงไปด้านหลังปานสายฟ้าหยิบดาบออกมาหนึ่งเล่มจากกองดาบกระบี่ที่หลิวชิงม้งหอบอยู่ จากนั้นก็พบว่า ดาบที่ดึงออกมานั้นมีลักษณะส่องประกายราวกับพระจันทร์ยามค่ำคืน ส่องสว่างไปทั่วทั้งห้องโถง

 

ดาบแรกที่ฟันออกไปนั้นได้ฟันเขาไปยังช่วงลำคอของเยี่ยยี่ฟง ออกกระบวนท่าทีหลังแต่ถึงก่อน เกรงว่ากระบวนท่าของเยี่ยยี่ฟงนั้นยังไม่ถึงที่หมาย ลำคอของเยี่ยยี่ฟงก็คงต้องขาดสะบั้นแล้ว ในเวลานั้นเอง เยี่ยยี่ฟงฝืนใจถอดกระบวนท่าของตนกลับคืน

 

ดาบที่สองนั้นตามมาติดๆมุ่งไปฟันยังข้อมือข้างขวาของเยี่ยยี่ฟง ใบหน้าของเยี่ยยี่ฟงนั้นเปลี่ยนเป็นปั้นยาก มิอาจไม่ใช้กระบี่เข้าปันป้อง เยี่ยจงก็ได้เปลี่ยนทิศทางของดาบเล็กน้อยมุ่งไปฟันถูกนิ้วหัวแม่มือข้างขวาแทน

 

ดาบที่สามนั้นเอง………..

 

ยังไม่ทันที่ดาบที่สามจะออกมา ในตอนที่ทุกคนยังคิดว่าเยี่ยจงนั้นอาจจะฟาดฟันดาบต่อไปโดยที่ไม่หยุดยั้ง แต่ทว่าเขากลับใช้ขาเท้าเหยียบเข้าไปที่กลางอกของเยี่ยยี่ฟงและใช้ด้ามดาบกระแทกไปยังหัวเข่า จนกระทั่งเสียงกระดูกแตกหักดังออกมา ในที่ยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งตระกูลเยี่ยก็พบกับความพ่ายแพ้ นอนกุมหัวเข่าของตัวเอง หมดหนทางต่อสู้

 

เยี่ยจงทิ้งผู้พ่ายไว้เบื้องหลัง สายตามองไปด้านหน้าเดินต่อไป

 

หนึ่งร้อยก้าว จากทางเข้าของโถงจวบจนตอนนี้ เขาก้าวเดินไปทั้งหมดหนึ่งร้อยก้าว หลังจากเกินกว่าร้อยก้าวแล้ว เบื้องหน้าก็มิได้มีผู้ได้เข้ามาต่อกรอีกต่อไป

 

ทางที่นั่งด้านบนนั้น เยี่ยหวูเยียทนไม่ไหวในสิ่งที่เกิดขึ้นจนขยับกายลุกขึ้นมา เขาจ้องไปที่เยี่ยจงอยากเอาเป็นเอาตาย มือขวาค่อยๆสั่นออกมา

 

แพ้แล้ว ยอดฝีมือรุ่นเยาว์อันดับหนึ่งแห่งตระกูลเยี่ยได้พ่ายแพ้ลงแล้ว อีกทั้งเขายังมองออกว่าหากมิใช่เยี่ยจงจัดการยอดฝีมือรุ่นเยาว์ทั้งนับสิบคนก่อนหน้านี้ ถ้าหากแรงกายมีอย่างเต็มเปี่ยมแล้วละก็ เกรงว่าเยี่ยยี่ฟงก็คงอาจจะพ่ายแพ้ตั้งแต่กระบวนท่าแรก เยี่ยจงคนนี้น่ากลัวขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน

 

ซูเฮ้าเริ่มที่จะตัดสินใจลงมือด้วยตนเองแล้ว สายตาที่เต็มไปด้วยรังสีการฆ่าฟันก็มิได้ปกปิดไว้อีกต่อไป

 

หลิวฮ้านนั้นเลื่อนมือขวาของตนนั้นค่อยๆว่างไว้บนโต๊ะ สีหน้าเปลี่ยนแปลงไปมาอย่างพิสดาร

 

ส่วนของซูขุ่ยนั้นเองก็ได้ใช้สายตามองไปยังบุรุษที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ในเวลานั้นเอง ในใจนางนั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความเสียใจ ราวกับกำลังเปิดเผยความลับภายในออกมาก็มิปาน