กระดูกแขนชิ้นนี้เกิดจากการรวมกลั่นตัวของซากศพจากอดีตที่เก่าแก่และทรงพลัง รวมเข้ากับความรู้ที่ได้รับจากตำรากระดูกและค่อยๆถูกพัฒนาอย่างพิถีพิถันจากกระดูกของสัตว์ร้ายที่แสนล้ำค่าโดยมีรากฐานเป็นพลังลึกลับที่คอยทำหน้าที่เป็นตัวเชื่อม
“พาหุอสูร”ผสานเข้ากับแขนของฉีหลิงหู่ ทำให้พลังแผ่พุ่งออกมาอย่างมหาศาล (ขอยืนใช้พาหุ ตามผู้แปลเดิมนะครับผมหาคำที่ดีกว่านี้ยังไม่ได้ ใครมีความคิดเห็นก็บอกกันทีนะครับ)
เป้นผลให้พลังอำนาจของเขาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว นอกจากนี้ ร่างกายของเขาที่เดิมทีสูงไม่ถึงสองเมตรเพิ่มอย่างไม่น่าเชื่อเป็นสามเมตร เขากลายเป้นเหมือนยักษ์ที่แข็งแกร่ง และมีพลังงานที่เปล่งแสงไหลเวียนดั่งสายฟ้าไปทั่วร่างกายดูคล้ายดั่งเส้นเลือดอีกด้วย

แม้ว่าอินทรีเกล็ดเขียวจะถูกข่มขู่ให้หวาดกลัวเพราะพลังที่ปลดปล่อยออกมาจากพาหุอสูร ลึกลงไปก็แสดงออกว่าต่อต้านไม่ยินยอมสยบ จะงอยปากสีดำโค้งดั่งคมดาบล้อมรอบไปด้วยแสงสว่าง พลังแห่งเจตลักษณ์ก่อเกิดเป็นคลื่นพลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนพร้อมที่จะจู่โจมออกไป
พลังลึกลับที่สะสมอยู่ที่จะงอยปากนั้นเพิ่มอย่างทวีคูณ เป็นเหตุทำให้นกตัวอื่นและสัตว์น้อยใหญ่พากันสั่นด้วยความหวาดกลัว
“เฟยเฉียว แกมาด้วย” หัวหน้าฉีหยุ่นเฟิงออกคำสั่งไปที่ชายคนหนึ่งที่มีหน้าที่ใช้อาติแฟ็กโบราณชิ้นที่สอง
ฉีเฟยเฉียวเป็นที่ยอมรับว่าแข็งแกร่งเป็นพอเศษ เขาโยนไม้เขี้ยวหมาป่าออกจากมือของเขาแล้วเริ่มใช้พลังลึกลับ หน้าอกของเขาพลันสว่างขึ้นทันทีเป็นแสงจากตำรากระดูก แสงเปล่งประกายราวกับดวงดารา ทันใดนั้นเขาล้วงสิ่งของบางอย่างจากในเสื้อที่เก่าแก่และมีคราบเลือดของสัตว์ร้ายติดอยู่แล้วกดลงไปบนหน้าอก
เปรี้ยง!!!
คลื่นพลังอันหน้าตื่นตระหนกแผ่กระจายไปทั่วบริเวร สร้างความหวาดหวั่นผวาให้แก่สัตว์ทั้งหลายในบริเวณใกล้เคียงราวกับเจอสายเลือดของสัตว์ร้ายในตำนานรวมถึงอินทรีเกล็ดเขียวที่กำลังอยู่บนอากาศ เป็นอีกครั้งที่เจ้านกยักษ์ชะงักไม่ขยับตัวที่นัยน์ตาฉายแววตื่นตระหนกออกมา
บริเวณหน้าอกของฉีเฟยเฉียวเปล่งแสงออกมา ชิ้นส่วนของสัตว์โบราณผสานเป็นหนึ่งเดียวกับหน้าอกของเขา จากนั้นค่อยๆเปล่งแสงปรากฏเป็นสัญลักษณ์ลี้ลับขึ้นมา มองเห็นลางๆเป็นรูปร่างคล้ายหัวของสัตว์ร้ายดูมีชีวิตราวกับจะพยายามคำรามออกมา
พลังที่ปล่อยออกมาแผ่เข้าครอบคลุมทั้งหุบเขาสร้างแรงกดดันให้กับทุกชีวิตในหุบเขาแห่งนี้
นี่เป็น
สิ่งประดิษฐ์อีกชิ้นหนึ่งที่สืบทอดมาจากบรรพบุรุษแห่งหมู่บ้านศิลา  “อสูรอำพราง” สิ่งประดิษฐ์ชิ้นนี้มีที่มาไม่ชัดเจนนัก แต่ก็น่าจะมีที่มาจากชิ้นส่วนจากสัตว์ร้ายโบราณเช่นกัน โดยนำความรู้จากตำรากระดูกมาใช้คัดลอกพลังจากชิ้นส่วนสัตว์ร้ายในตำนานมาบันทึกเป็นอักษรลงบนแผ่นหนังที่ได้จากสัตว์ร้ายในตำนาน โดยพลังลี้ลับทั้งหมดจะแฝงไปในตัวอักษรที่ถูกบันทึกไว้จึงถูกเรียกว่า “อสูรอำพราง”

ประกายแสงที่แผ่ออกจากร่างกายของฉีเฟยเฉียว ทำให้เขาดูเหมือนถูกพลังลุกโชติช่วงไปทั่วทั้งกายดั่งเปลวเพลิง สัญลักษณ์หัวสัตว์ร้ายที่กลางหน้าอกคำรามออกมาดั่งฟ้าผ่า ทำให้ป่าเขาในบริเวณนี้สั่นสะเทือนและเกิดแผ่นดินถล่ม
นี่ไม่ใช่พลังที่มาจากตำรากระดูกที่บันทึกและพัฒนาเพียงเท่านั้น แต่มีพลังที่แฝงอยู่ในแผ่นหนังที่ได้มาจากสัตว์ร้ายในตำนานอีกด้วย ช่างทรงพลังเสียจริง
ฉีหลิงหู่และฉีเฟยเฉียวยืนเคียงบ่าเคียงไหล่แล้วมองไปที่อินทรีเกล็ดเขียวที่อยู่บนท้องฟ้า ก่อนจะระบิดพลังทั้งหมดจากอาติแฟ็กทั้งสองชิ้น ก่อเกิดเป็นคลื่นพลังระเบิดฝ่าอากาศขึ้นสู่ท้องฟ้า
“ท่านหัวหน้าหมู่บ้านมาแล้ว ท่านลุงหลิงหู่มาช่วยพวกเราแล้ว” เด็กบางคนโผล่หัวออกมาจากภายในถ้ำแล้วตะโกนส่งเสียงเชียร์ออกมา
“ไปเถอะ ท่านหัวหน้ากับท่านลุงหลิงหู่มาพาเรากลับบ้านแล้ว”
ทันใดนั้นเหล่าเด็กๆพากันวิ่งกรูออกมาดั่งผึ้งแตกรังเข้าไปหาพวกผู้ใหญ่ โดยมี     ฉีหลิงหู่กับฉีเฟยเฉียวคอยแผ่พลังจากอาติแฟ็กคุมเชิงป้องกันเอาไว้
“เด็กๆ ไม่มีอะไรร้ายแรงเกิดขึ้นใช่ไหม” บรรดาผู้ใหญ่พุ่งเข้ามาอุ้มลูกของตนขึ้นทั้งใช้สายตาสำรวจไปรอบตัวของเด็กๆเพื่อตรวจหาบาดแผลด้วยความหวาดกลัว
“ไม่มีขอรับ พวกเราสบายดี จะมีเพียงบางคนที แค่รอยขีดข่วนเล็กน้อยเท่านั้น” เด็กๆตอบกลับไป
“ดีแล้วที่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น” ท้ายที่สุดพวกผู้ใหญ่จึงคลายใจลงแล้วเงื้อมฝ่ามือฟาดไปที่ก้นของพวกเด็กๆ
“โอ้ย!!มันเจ็บ ท่านตีข้าทำไม ไม่ห่วงพวกเราแล้วเหรอ ใยจึงเปลี่ยนสีหน้าเร็วเช่นนั้น” พวกเด็กๆกรีดร้องออกมา
ชายคนหนึ่ง “ในเมื่อพวกเจ้าไม่เจ็บตัว พวกเจ้าก็ต้องโดยลงโทษให้เจ็บตัวไง พวกเจ้ายังเป็นเด็กตัวกะเปี๊ยกแต่ยังก็ไปตอแยกับเจ้านกผีนั่น ถ้าข้าไม่ตีก้นเน่าๆของเจ้า ข้าก็ไม่ใช่บิดาของเจ้าแล้ว”
เจ้าอินทรีเกล็ดเขียวที่อยู่กลางอากาศยังคงเผยบรรยากาศอันมุ่งร้ายออกมา อย่างไรก็ตาม ก็ไม่ได้จู่โจมแต่อย่างไร และยังคอยจ้องคุมเชิงอยู่แต่ก็ไม่ได้มีท่าทีอะไร
หัวหน้าหมู่บ้าน ฉีหยุ่นเฟิงตะโกนบอกฉีหลิงหู่กับฉีเฟยเฉียว “จงเร่งมือเข้า!! เจ้าสองคนยังไม่สามารถเข้าใจพลังของอาติแฟ็กโบราณอย่างลึกซึ้ง จงเก็บเกี่ยวประโยชน์ให้มากไว้แล้วจงถอยออกมา”
พวกเด็กได้ยินสิ่งที่ไม่คาดฝันราวกับว่าได้รับข่าวดีโดยบังเอิญ ในขณะที่กลุ่มผู้ใหญ่ต่างก็กระชับกระบองอันมหึมาและคันธนูในมือ แล้วค่อยๆถอนตัวกลับหมู่บ้านพร้อมกับกลุ่มเด็กๆ
“โอ้ว!! ท่านลุงหลิงหู่ช่างยอดเยี่ยมยิ่งนัก หลายปีที่ท่านหัวหน้าฝึกฝนพวกท่าน ไม่น่าเชื่อว่าจะได้รับรางวัลที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้ ช่างอัจฉริยะเหลือเกิน”
“จริงด้วย ว่าแต่ท่านลุงเฟยเฉียวใช้อาวุธใดกันไม่เคยเห็นมาก่อนเลย ต้องเป็นเพราะเข้าใจในตำรากระดูกเป็นแน่ ท่านช่างแข็งแกร่งและน่าเกรงขามยิ่ง”
ระหว่างถอยกลับนั้น พวกเด็กๆหลงลืมเจ้าอินทรียักษ์กลางอากาศเสียสิ้น เข้ายกยอปอปั้นและชื่นชมอย่างไม่กลัวโดนดุด่าในขณะเดินทางกลับ
“พูดให้เบากว่านี้ ถ้าไม่อยากโดนเจื๋อน” บิดาของไป่หัวเบิกตากว้าง
อินทรีเกล็ดเขียวบินไล่ตามพวกเขากลับมา แต่เมื่อเห็นต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่กล้าตามเข้าไปต่อ ได้แต่บินรอบๆกลางอากาศส่งเสียงด้วยความกระฟัดกระเฟียด
สุดท้ายทุกคนจึงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก หลังจากถูกไล่ตามจากอินทรีเกล็ดเขียว สัตว์ร้ายที่มีเชื้อสายจากอดีตกาล หัวใจของพวกเขาราวกับบีบตัวตลอดเวลาเพราะถ้าพวกเผลอประมาทเพียงนิดเดียว จะต้องมีผู้คนล้มตายเป็นแน่
“ในขณะที่เราใช้อาติแฟ็กโบราณหวังว่าคงไม่เกิดเหตุแทรกซ้อนนะ” ท่านหัวหน้ากล่าวออกมา
“ไม่มีปัญหาแน่ขอรับ จะมีใครที่เข้ามาในป่าลึกแบบนี้กัน ไม่มีใครเห็นแน่ขอรับ”    ฉีหลิงหู่ตอบกลับไป
“หวังว่าจะเป็นไปตามที่เจ้ากล่าวนะ สิ่งของเหล่านี้ตกทอดมาจากบรรพบุรุษของพวกเรา ข้าไม่อยากให้เกิดเหตุไม่คาดคิด” ฉีหยุ่นเฟิงกล่าวอย่างแผ่วเบา
ไม่มีเหตุการณ์นองเลือดเกิดขึ้น ทุกคนกลับมาถึงหมู่บ้านอย่างปลอดภัย เจ้านกปีศาจนั่นก็อยู่บนอากาศกรีดร้องออกมาเสียงดังสั่นสะเทือนไปทั้งหุบเขา
หลังจากเข้ามาในบริเวณหมู่บ้าน บรรดาสตรีต่างพุ่งเข้าไปสวมกอดบุตรของตนอย่างรวดเร็ว หลังจากรับรู้ข่าวของพวกเด็กได้ไม่นาน พวกเขาไม่สารถหยุดความรู้สึกหวาดกลัวนี้ได้ และเหล่าบุรุษก็เดินไปหาไม้เรียวเพื่อเตรียมลงโทษเจ้าลูกไม่รักดี
“เจ้าลูกไม่รักดี ใครให้เจ้าก่อปัญหาขนาดนี้ หยุดเดี๋ยวนี้!!”
“ท่านพ่อ หยุดตีข้าเถอะ ข้าผิดไปแล้ว”
กลุ่มเด็กต่างก็ลุกขึ้นหนีอย่างเร่งรีบ พวกเขาหลบหนีไปทางลานบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน ฉีหยุ่นเฟิง เพื่อจะไปขอให้ความช่วยหยุดบิดาของตนให้หยุดลงโทษ
เมื่อมาถึงลานบ้านของหัวหน้าหมู่บ้าน พวกเด็กๆทั้งหมดพากันโกรธและอิจฉา เจ้าเด็กน้อยไม่ได้รับการลงโทษใดๆ กลับกันยังนั่งดื่มนมในแก้วเล็กๆอย่างมีความสุข
“หวา เจ้าหนูดื่มนมอีกแล้ว เจ้าอายุสามขวบครึ่งแล้วนะ” เด็กคนหนึ่งเอ่ยออกมา
เจ้าเด็กน้อยเขินอายยิ่ง แล้วรีบนำเอาแก้วมาซ่อนให้พ้นสายตาของกลุ่มเด็กๆด้วยแขนอันบอบบางของเขา ทำให้มีใบหน้ามีเลือดฝาดและดวงตาที่กำลังสั่นไหว แล้วพูดว่า “พวกเจ้าพูดอะไรกัน ข้าแค่กำลังดื่..ม..น้ำ..”
พวกเด็กๆระเบิดเสียงหัวเราะออกมา
“พวกเราต่างถูกลงโทษแล้วทำไมเจ้าถึงได้ดื่มนมกันเล่า” ไป่หัวถามอย่างอยากรู้อยากเห็น
“นั่นเป็นเพราะข้าเล่าเรื่องให้ฟัง ท่านปู่คิดว่ามันยอดเยี่ยมเลยไม่ตำหนิข้า” ดวงตากลมโตของเด็กขยับไปมาช้าๆ
“เกิดเรื่องอะไรกันขึ้น”
“เรื่องของเจ้าแดงน้อย”
“ใครกันเจ้าแดงน้อย”
“เจ้าแดงน้อยคือนกกระจิบสีแดงที่เคยเล่าให้ฟังไง” เด็กน้อยดูไม่ค่อยมีความสุข
กลุ่มเด็กๆกรอกตานึกแล้วกล่าวออกมาเสียงดัง “ถ้าท่านหัวหน้าเชื่อ เขาก็ไร้เดียงสาเกินไปแล้วนั่นมันวิหคสีชาดในตำนานตั้งแต่โบราณกาลเลยนะ มันจะโผล่มาให้เจ้าไล่จับได้อย่างไร ”
“สองปีมาแล้ว มีภูเขาสมบัติที่ไม่มีใครรู้จักปรากฏออกมาในส่วนลึกของพื้นที่ในหุบเขา จึงดึงดูดหลากหลายเผ่าพันธุ์เข้ามามากมาย จนเกิดการต่อสู้ที่อย่างไม่เคยมีมาก่อน เปลวเพลิงสีชาดกวาดข้ามขอบฟ้าจนสามารถมองเห็นได้ด้วยตา ไฟนั่นมีที่มาจากหมู่บ้านเรา” หัวหน้าหมู่บ้านเดินเข้ามาแล้วเล่าออกมา
“อย่างนี่เองสินะ อสูรที่ใช้เพลิงซ่อนตัวอยู่ในส่วนลึกของหุบเขา แต่ไม่น่าจะใช่วิหคสีชาดในตำนานนะ มันไม่น่าจะเป็นไปได้” ฉีหลิงหู่เดินออกมา
“สองปีที่แล้ว เกิดการต่อสู้ที่น่าสะพรึงกลัวเกิดขึ้น แถมตอนนั้นเราก็ยังไม่รู้ว่าสัตว์ร้ายขนาดมหิมาคือตัวอะไรที่เข้ามาในหุบเขา กลางดึกเมื่อวันก่อน ข้าเห็นร่างสูงตระหง่านดูคล้ายมนุษย์ถือแท่งบางอย่างสีดำเดินก้าวเดียวก็ผ่านเขาไปได้แล้ว แต่ข้ามองเห็นหน้าไม่ชัด” ฉีเฟยเฉียวถอนหายใจออกมา ผ่านมาวันหนึ่งแล้วภาพนั้นยังคงตามมาหลอกหลอน
เมื่อพวกผู้ใหญ่มาถึง สีหน้าของกลุ่มเด็กเปลี่ยนไปในทันที แล้วมาจับเด็กๆมาอุ้มขึ้นเพื่อจะนำตัวออกไปจากที่แห่งนี้
“ท่านหัวหน้า พวกเราพบรังที่เต็มไปด้วยของอินทรีเกล็ดเขียวแล้วแอบเอากลับมาด้วย พวกเราสามารถเลี้ยงไว้ได้ บางที่ในอนาคตพวกมันสามารถช่วยปกป้องหมู่บ้านของพวกเราได้”
“ใช่แล้ว ในอนาคตหมู่บ้านของพวกเราจะมีนกอสูรสงคราม แถมมีตั้งสามตัว”
เด็กพยายามที่จะแสดงผลงานของพวกตนที่เป็นประโยชน์มากพอที่จะได้รับการให้อภัย
“แล้วรู้ไหม ในหนึ่งวันพวกนกโบราณมันกินเนื้อมากเท่าไหร่พอๆเราเลยนะ แล้วพวกเราจะหาอาหารที่ไหนมาเลี้ยงดูพวกมันกัน”
“หา!!” พวกเด็กๆพากันตกใจหน้าซีด
“อีกอย่าง คิดว่าพวกเจ้าทำสำเร็จงั้นเหรอ ลองหันไปดูข้างนอกสิ” พวกผู้อาวุโสถอนหายใจออกมา
พวกเด็กๆขึ้นไปบนหอสังเกตการณ์แล้วเพ่งดูไปนอกหมู่บ้านอย่างสงสัย เจ้านกอินที่เกล็ดเขียวเกาะอยู่บนยอดเขา คอยเฝ้าอยู่นอกเมืองโดยแสดงออกว่าจะไม่จากไปไหนแน่นอน
“สัตว์ร้ายประเภทนกค่อนข้างมินิสัยพยาบาท แต่พวกเจ้ากลับขโมยลูกของมันมา แล้วพวกเราจะออกล่ากันได้อย่างไร ” ฉีเฟยเฉียวเอ่ยด้วยความละเหี่ยใจ
หน้าของพวกเด็กเปลี่ยนเป็นซีดขาว เมื่อรู้ว่าตนเป็นผู้นำพาความวิบัติ
“รีบคืนลูกของเขาไปเถอะขอรับ เจ้าอินทรีเกล็ดมรกตเขียวน่าสงสารจะตาย” เจ้าหนูน้อยกระพริบตาปริบๆแล้วกล่าวออกมา
เหล่าชาวบ้านพยายามจัดการส่งไข่พวกนี้ออกไปภายนอกหมู่บ้าน ถ้ามันไม่ได้ผลก็คงต้องหาวิธีการอื่น
ไข่สามใบถูกนำออกมาแต่ละใบถูกหุ้มด้วยแสงสีเขียวหยก ไข่พวกนี้เปล่งแสงจนดูเหมือนกับว่าโปร่งใสจนมองทะลุได้ และปรากฏแสงจากพลังเจตลักษณ์พุ่งขึ้นในอากาศราวกับมาจากสรวงสวรรค์
ในตอนนั้นเองหลังจากที่ทุกคนออกไปจากบริเวณลานบ้าน ที่แท่นบูชา ต้นไม้ศักดิ์สิทธิ์ก็สั่นสะเทือนในทันที ที่ตรงกิ่งไม้ก็ส่องแสงสีเขียวมรกตส่องลงมาเหมือนดั่งโซ่จากสวรรค์ ค่อยขจัดผิวด้านนอกของไข่จนก่อให้เกิดลำแสงแผ่กระจายออกมา