“บ้าเอ๊ย  ข้ารู้สึกเจ็บปวดยิ่งนัก แต่ข้าก็ยังไม่ตายใช่ไหม?” หลิงเซียวแล้วค่อยๆลืมตาขึ้น  มีเสียงเล็กๆดังขึ้น

“เซียวเอ๋อเจ้าตื่นขึ้นมาแล้ว  เจ้าทำให้แม่ของเจ้าตกใจแทบแย่”หญิงสาวคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าหญิงธรรม  ดวงหน้าที่งดงามของนางนั้นมีแต่น้ำตา  นางโอบกอดหน้าของหลิวเซียวอย่างอ่อนโยน

“อะไร…เกิดอะไรขึ้น   ข้าเป็นคนที่แก่กว่าผู้หญิงคนนี้  ที่ดูเหมือนจะเป็น…”หลิงเซียวรู้สึกปวดหัวอย่างรุนแรงคลื่นความทรงจำก็หลั่งไหลเข้ามาในจิตใจของเขา

ผู้คนนี้มองหลิงเซียวด้วยความมึนงงแล้วจับมือหลิงเซียวเอาไว้ด้วยความเป็นห่วง แล้วถามออกไปว่า “เซียวเอ๋อ  เกิดอะไรขึ้นกับเจ้าเซียวเอ๋อ?เกิดอะไรขึ้น? ไม่ต้องกลัวข้าเป็นแม่ของเจ้า”

“ไม่…ข้าไม่มีแม่  ข้าไม่เป็นไร…”หลิงเซียวรีบตอบออกมา

พระเจ้า ข้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน

หลิงเซียวก็รู้ได้ทันทีว่าเขาไม่ได้อยู่บนโลกเดิมแล้ว  เขาอยู่ในโลกที่มีชื่อว่า  ทวีปจิตวิญญาณซวนในระหว่างการสู้รบของผู้เชี่ยวชาญกับหุบเขาภูติผีทั้งสี่  เขาได้ระเบิดตัวเองแล้วจากไปด้วยความตาย  เขาไม่ได้คิดว่าจะโชคดีแบบนี้  ตอนนี้สายตาของเขาก็หันไปที่เมิ้งซี่หยุนผู้เป็นมารดาของเจ้าของร่างในตอนนี้

เมิ้งซี่หยุนมองไปที่หลิงเซียวด้วยใบหน้าเศร้าสร้อยแล้วพูดว่า”ที่ได้ที่ข้าได้ยินเช่นนี้  เจ้าไม่ต้องวิชาการต่อสู้อีกต่อไปหรือทนถูกพวกเขารังแก  มันแทบจะฉีกหัวใจของข้าเป็นชิ้นๆที่เห็นเจ้ากับพ่อเป็นแบบนี้”

“ข้าเข้าใจแล้ว  ข้าจะฟังท่านแม่  ท่านออกไปข้างนอกก่อนจะได้ไหม?ข้ารู้สึกเหนื่อยมากเหลือเกินเลยอยากจะพักผ่อนเสียหน่อย” หลิงเซียวคลี่ยิ้มออกมาตอนที่พูด

“ก็ดี  แม่จะไม่กวนเจ้าแล้ว  เจ้าหลับไปก่อนละกัน เดี๋ยวแม่จะไปเตรียมยาให้เจ้านะ”เมิ้งซี่หยุนหยักหน้าเช็ดน้ำตาขณะที่กอดหลิงเซียวไว้บนเตียง นางออกจากห้องแล้วปิดประตูที่อยู่ข้างหลังนาง

หลิงเซียวจงใจให้เมิ้งซี่หยุนออกไป  เขาต้องรวบรวมเศษเสี้ยวความทรงจำที่วุ่นวายในหัวของเขา

หลิงเซี่ยวเปิดตาขึ้นในหนึ่งชั่วยามแล้วสูดหายใจเข้าไปลึกๆ “สถานการณ์นั้นดีกว่าที่ข้าคิดอย่างน้อยข้าเองก็ยังมีชีวิตอยู่”

หลิงเซียวเริ่มรวบรวมความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม  เขารู้ได้ทันทีว่าเขาได้เข้ามาอยู่ในร่างของ “หลิงเซียว” ของตระกูลหลิงที่อยู่ในเมืองอุกกาบาตตก  ด้วยชื่อเดียวกันนี้นี่เป็นเหตุผลที่เขาเข้ามาอยู่ในร่างนี้ได้มันเป็นเพราะ “โชคชะตา”

แต่เดิมนั้น “หลิงเซียว” ควรเป็นอัจฉริยะรุ่นที่สิบแปดของตระกูลหลิง เขามีการฝึกฝนพลังที่โดดเด่น  เขาสู่แดนซวนเมื่ออายุสิบห้านับเป็นอัจฉริยะอันดับหนึ่งของเมืองอุกกาบาตตก

แต่ยิ่งปีนป่ายขึ้นไปสูงก็ยิ่งตกลงมาเจ็บ

ไม่นานหลังจากที่”หลิงเซียว” ก้าวเข้าสู่แดนซวนเขาก็ถูกลอบทำร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจ  เส้นลมปราณของเขาก็ขาดสะบั้นเสียหาย  จากผู้แข็งแกร่งแดนซวนก็กลายเป็นคนธรรมดา  เทียบไม่ได้กับผู้ที่เริ่มฝึกฝนวิชาการต่อสู้ใหม่ๆ  จากอัจฉริยะอันดับหนึ่งกลายเป็นผู้พิการ

ในโลกนี้คนที่มีวิชาการต่อสู้ที่แข็งแกร่งเป็นราชา  สำหรับผู้ที่ไม่สามารถฝึกฝนวิชาการต่อสู้ในเมืองอุกาบาตตกของตระกูลอันดับหนึ่งตระกูลหลิง  ก็เป็นคนที่ใช้ชีวิตอย่างน่าเศร้าและน่าสงสาร

แต่ยังไงก็ตาม “หลิงเซียว” ก็ยังมีจิตใจที่ยอมแพ้เขาเริ่มฝึกฝนใหม่ตั้งแต่แรกเริ่ม  แต่โชคไม่ดีที่เขาทำไม่สำเร็จในสองปีนี้  ในเวลาเดียวกันนี้เขาต้องถูกถากถางและหัวเราะเยาะเย้ยจากตระกูลหลิงคนในตระกูลเดียวกัน  เขาไม่มีทางเลือกจึงต้องฝืนอดทนกล่ำกลืนความโกรธลงไป

เมื่อสองวันก่อน “หลิงเซียว” ถูกหลินเหรงหลานชายของผู้อาวุโสห้าแห่งตระกูลหลิงดูถูกบิดามารดาของเขา  แม้ว่าความแข็งแกร่งของ “หลินเซียว” จะไม่เหลือความแข็งแกร่งแล้ว  เขาทนให้คนอื่นดูถูกเขาได้  แต่ไม่อาจที่จะทนให้ใครมาดูถูกบิดามารดาของเขาได้  ความโกรธของเขาจึงระเบิดออกมาแล้วจะไปฉีกหลินเหรงให้เป็นชิ้นๆ  แต่ระดับการฝึกฝนของเขานั้นช่างไร้ค่า แล้วจะไปต่อสู่กับผู้ที่อยู่แดนซวนระดับต่ำได้ยังไงกัน? เขาถูกทุบตีจนอยู่สภาพกึ่งเป็นกึ่งตาย

นี่เป็นเหตุผลที่ว่าหลิงเซียวนอนอยู่บนเตียง

……

“นี่เป็นโลกของผู้ที่มีอำนาจเท่านั้น? ข้าเข้าใจแล้ว” หลิงเซียวพูดออกมาด้วยความมั่นใจ  เขาค่อยๆลุกขึ้นตรวจสอบร่างกายที่อ่อนแอของเขา หลังหัวที่บวมของเขามันก็ไม่ได้หายไป

“ข้าจะช่วยเจ้าแก้แค้นศัตรูของเจ้าเอง” หลิงเซียวถอนหายใจแล้วมองไปรอบๆห้อง

ในห้องพักมีขนาดกว้าง แต่เครื่องเรือนในห้องนั้นมีอยู่น้อยนิด  นอกจากเตียงที่มีขนาดความกว้างหนึ่งเมตรยาวเมตรครึ่ง  มีเก้าอี้สองสามตัวแล้วก็มีโต๊ะขนาดเล็กๆ  สิ่งที่เด่นที่สุดในมุมห้องคือหุ่นไม้ที่เอาไว้ฝึกซ้อมนี่เป็นสิ่งที่พิสูจน์ถึงความพยายามที่ไร้ค่าของหลิงเซี่ยว

ประตูเปิดออกชายวัยกลางคนอายุประมาณสามสิบเจ็ดปี หน้าคมชัดจมูกสูงแต่นัยน์ตาช่างว่างเปล่า  เขาถือเสื้อคลุมสีเทาในมือข้างหนึ่งถือไหเหล้าเอาไว้ ภาพนี้ได้เตือนความทรงจำในอดีตของเจ้าของร่าง  ชีวิตของเขากลายเป็นชายวัยกลางคนที่หมดหวังในชีวิต

ชายวัยกลางคนที่อยู่ตรหน้านี้คือพ่อของเขาหลิงเจิ้นที่เส้นลมปราณถูกทำลาย  ทั้งพ่อและลูกต่างมีชื่อเล่นที่ชาวเมืองอุกกาบาตตกเรียกกันว่า “พ่อลูกสวะ”

สิบกว่าปีก่อนหลิงเจิ้นก็เป็นผู้ที่มีพรสวรรค์ที่หายากในเมืองอุกกาบาตตก  แม้ว่ามันจะเทียบไม่ได้กับหลิงเซียว  แต่เขาก็ยังฝึกฝนจนก้าวหน้าเป็นนักรบในแดนซวนเมื่ออายุสิบแปดปี  และเป็นนักรบแดนซวนในตอนอายุยี่สิบห้า  ในตอนที่ใกล้จะเป็นผู้เชี่ยวชาญจิตวิญญาณแดนซวน  ที่มีเพียงไม่กี่คนในเมืองอุกกาบาตตกนี้  เขาตกเป็นเหยื่อในการถูกลอบทำร้ายเป้นเหตุให้เส้นลมปราณพิการ  เหตุการณ์นี้ช่างคล้ายกับที่หลิงเซียวเจอมาก  กลายเป็นอาหารปากของผู้คนไป

หลิงเจิ้นมองเห็นหลิงเซี่ยวที่จ้องเขากินเหล้าแล้วถามออกมาว่า “เจ้าเป็นยังไงบ้าง?”

หลิงเซียวมองที่ชายคนนั้นที่มีแววตาที่ว่างเปล่าที่จ้องมาอยู่ตรงหน้าแล้วตอบว่า “ข้ายังไม่ตาย”

“นั้นดีแล้ว”หลิงเจี้นนั่งลงข้างเตียงก่อนที่จะถามว่า “เจ้าอยากจะจิบสักอึกไหม?”

หลิงเซียวไม่สุภาพยกไหเหล้าขึ้นมาเงยหน้าขึ้นมาแล้วเอาเหล้าเข้าปากทันที  ความรู้สึกร้อนที่เหมือนร่างกายถูกเผาไหม้  เขาถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ก่อนที่ดื่มมันต่อ

ในชาติก่อนเขาเคยดื่มเหล้าที่แรงกว่านี้อีก เช่นเหล้าขาว  เหล้านารีแดง  เหล้ากลีบดอกไม้

หลิงเจี้นมองดูลูกชายด้วยแววตาที่ซับซ้อนก่อนที่จะจ้องมองไปที่หุ่นไม้แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “ความจริงคนเราควรจะมุ่งมั่นพัฒนาตัวเอง  แต่พวกเราไม่ควรจอยู่บนเส้นทางนี้”

“ท่านพ่อ” หลิงเซียวร้องไห้ส่งเสียงออกมาความรู้สึกเหมือนถูกคลื่นซัด  ความทรงจำตลอดทั้งสองปีนั้นเขาทั้งถูกดูถูกเยาะเย้ยสิ่งนี้ปรากฏขึ้นมาในใจของเขา  ดูเหมือนกับว่าพ่อของเขาก็เคยเจอเหตุการณ์เช่นนี้เหมือนกันในตอนที่เขายังอายุน้อยกว่านี้

“เซียวเอ๋อบางอย่างมันก็ขึ้นอยู่กับสวรรค์  เจ้าไม่ต้องฝืนตัวเองไปหรอก  พ่อได้เห้นที่เจ้าพยายามทั้งหมดแล้วพ่อไม่ตำหนิเจ้าหรอก”  หลิงเจิ้นพูดออกมาด้วยความกังวลเมื่อเห็นลูกชายถูกดูถูก  เมื่อก่อนเขาก็มีชีวิตชีวาไม่มีความหมดหวัง  และกำลังจะกลายเป็นผู้นำตระกูลคนต่อไป  แต่ชะตากลับพลิกผันชั่วข้ามคืนเขากลายเป็นคนพิการไป  ตอนแรกเขาสบายใจที่เห็นลูกชายมีพัฒนาการและเติบโตขึ้นอย่างแข็งแกร่งกว่าที่เขาเคยเป็น  แต่ประวัติศาสตร์กลับซ้ำรอยลูกชายของเขาต้องมาเจอเหตุการณ์เดียวกัน  เขารู้สึกว่าหัวใจของเขาเจ็บปวดรวดร้าว

หลิงเซียวไม่ตอบอะไรออกมาแต่ดวงตาเขากลับมีหมอกปกคลุม  เขารู้สึกถึงความรักแท้และความห่วงใยที่เมิ้งซี่หยุนมอบให้กับเขา  ความเห็นอกเห็นใจในความไม่เป็นธรรมของหลิงเจิ้น

“พวกเจ้าสองคนพูดอะไรกันอยู่? เซียวเอ๋อแม่เตรียมยาเอาไว้ให้เจ้าแล้วนะ” เมิ้งซี่หยุนพูดแล้วเตรียมชามยาที่มียาสีดำอยู่  เมื่อเห็นกริยาของบุตรชายที่แปลกไป  นางก็แสงอาการกังวล “เซียวเอ๋อเจ้าร้องไห้ทำไม?  พ่อของเจ้ารังแกเจ้าเหรอ?” เมิ้งซี่หยุนมองมาที่หลิงเจิ้นด้วยความโกรธ

“ไม่ใช่..ท่านแม่มีอะไรบางอย่างอยู่ที่ตาของข้า  ท่านรีบเอายามาให้ข้ารีบดื่มเถอะ ” หลิงเซียวรีบเรื่องอย่างรวดเร็ว  ในชีวิตก่อนเขาไม่เคยร้องไห้มาก่อน  เมื่อได้ยินสิ่งนี้จากครอบครัวที่รักเขามากเขาจึงยิ้มตั้งแต่อายุยังน้อยเขาเลยมีชื่อเล่นว่า “ยิ้ม”  หากมีใครมาพบว่าเขาร้องไห้ด้วยความเสียใจ  เขาตายเสียดีกว่าที่จะต้องยอมรับในสิ่งนี้

หลังจากที่กินยาเข้าไปหลิงเจิ้นกับเมิ้งซี่หยุนก็ออกมาจากห้อง

หลิงเซียวที่ยังคงปวดหัวอยู่ทำให้เขาปวดหัวอยู่จึงทำให้เขาหลับสนิท

สามวันผ่านไปราวกับพริบตาหลิงเซียวยังคงไม่ก้าวออกไปจากห้อง  เขาแยกแยะความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมแล้วพยายามปรับตัวให้เข้ากับร่างใหม่ให้เร็วที่สุด

ในเวลาเดียวกันเขาก็สำรวจร่างกายของเขาเขาพบว่าเส้นลมปราณทั้งสิบสองของเขาถูกตัดออก  ไม่แปลกใจเลยตลอดเวลาทั้งสองปีที่เขาพยายามฝึกฝนไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น

แต่หลิงเซียวก็ยังไม่ค่อยจะพอใจเท่าใดนัก  เขาเป็นผู้มีพลังมากมายในชาติที่แล้วที่ไม่มีใครเทียบได้  แล้วเขาก็ยังมีวิชาที่ทรงพลังที่สุดคือ ฝ่ามือเหยียบเมฆาเทพปู้จิ้งหยุน  เท้าวายุกระซิบเทพเนี่ยฟง  หมัดโปรยหิมะฉินซวง  เขาตั้งใจจเรียนรู้ทักษะทั้งสามอย่างนี้ หากครอบครองทักษะแม้หนึ่งในสามทักษะนี้ก็จะได้ครอบครองโลก (คนเขียน   เขาเอามาจากฟงอวิ้น)  แต่เสียดายชาติก่อนเขายังไม่มีโอกาสที่จะได้ฝึกมัน  เขาตายไปพร้อมผู้แข็งแกร่งทั้งสี่คนจากหุบเขาภูติผี  หากเขาฝึกวิชาจากพระเจ้าทั้งสามภายในหนึ่งปี เขาคงไม่ระเบิดจิตวิญญาณหยกทองคำแตกเป็นเสี่ยงๆตายไปกับผู้แข็งแกร่งทั้งสี่จากหุบเขาภูติผีไปหรอก

โชคดีที่มันอยู่ในความทรงจำทั้งหมดของหลิงเซียวในชีวิตที่ผ่านมา เขาจดจำ ฝ่ามือเหยียบเมฆาเทพปู้จิ้งหยุน  เท้าวายุกระซิบเทพเนี่ยฟง  หมัดโปรยหิมะฉินซวงและวิชาอื่นๆ รวมทั้งวิธีการฝึกฝนอื่นๆ แต่ตอนนี้ร่างกายของเขาอ่อนแอที่จะแสดงทักษะเหล่านี้ได้

ในบรรดาวิชาการต่อสู้ทั้งหมดหลิงเซียวชอบเท้าวายุกระซิบเทพเนี่ยฟง  การเคลื่อนไหวทุกท่วงท่าล้วนสง่างาม  การใช้ลูกเตะวายุกระซิบเขาก็เป็นที่จับตามองของผุ้เชี่ยวชาญต่างๆและชายหญิงต่างๆในสำนักต่างๆนี่ทำให้เขารู้สึกภูมิใจอย่างมาก

เพื่อที่จะสร้างพื้นฐานให้แข็งแกร่งในโลกนี้มีเพียงความแข็งแกร่งเท่านั้นที่เขาจะพึ่งพาได้  ไม่เช่นนั้นเขาก็จะกลายเป็นสวะที่ถูกดูถูกเยาะเย้ยและน่าอับอาย

“เส้นลมปราณทั้งสิบสองถูกตัดขาด  ตราบใดที่ข้าชำระล้างไขกระดูก ข้าก็จะเริ่มต้นฝึกฝนใหม่ได้อีกครั้ง  แต่การฝึกฝนที่นี่ไม่ได้ถูกเรียกว่ากำลังภายใน  แต่เป็นการฝึกฝนซวน  ข้าไม่รู้ว่าทั้งสองนี้แตกต่างกันยังไง  ข้าต้องลองเห็นทีข้าต้องเอาพลังทั้งสามกลับคืนมาเห็นทีต้องลองวิชาชะล้างไขกระดูกของวัดเส้าหลิน” หลิงเซียววางแผนตัดสินใจจะฝึกฝนพลังทั้งสามที่สำคัญในชีวิตก่อน  เพื่อดูว่ามันจะสามารถใช้กลับร่างกายได้หรือไม่  หากมันใช้ได้เขาจะได้กลับมาฝึกฝนได้อีกครั้ง