แปลไทย : แพนด้าคุง | แก้ไข : แพนด้าคุง

ตอนที่ 3 : ตำหนักหอสมุด

อย่างไรก็ตามครั้งนี้มันได้แตกต่างออกไป สำหรับ เย่ ซี่เหวิน ก่อนที่เขาได้เข้าไปยังพื้นที่เร้นลับด้วยพลังจิตวิญญาณ โดยไม่ได้ใช้พลังจากประสาทสัมผัส มันล้วนแล้วแตกต่างอย่างสิ้นเชิง มันราวกับว่าเขานั้น เหมือนมีสองดวงวิญญาณทั้งภายนอก และ ภายใน

ยี่ ซี่เหวินไม่อยากที่จะเสียเวลาให้มากมายนัก เขาเริ่มใช้พลังวิญญาณของเขา เข้าควบคุมพื้นที่เร้นลับเพื่อช่วยเขาในการฝึกฝน “เคล็ดวิชาหยกอำไพ” ทันทีที่ข้อมูลต่างๆที่สำคัญผ่านเข้ามาในจิตใจของเขานั้น มันทำให้เขารู้สึกว่าจะบ่มเพาะฝึกฝนพลังปราณมากมายหลายครั้ง ในโลกแห่งความเป็นจริง

ตอนนี้เขารู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก ราวกับว่าสิ่งที่เขาคาดเดานั้น มันไม่ผิด

ไม่นานเขาก็ได้หยุดฝึกฝน ก่อนที่จะออกมาจากพื้นที่เร้นลับ ด้วยการบ่มเพาะพลัง “เคล็ดวิชาหยกอำไพ” ในตอนนี้มันไม่ได้สำคัญอีกต่อไป สิ่งที่สำคัญที่สุดคือฝึกฝนทักษะวรยุทธ์ต่อสู้ สำหรับเหล่าผู้ฝึกตน ถ้าหากไม่มีทักษะในการต่อสู้ ก็หาได้ใช่ผู้ฝึกตนวรยุทธ์ไม่

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อต้องเผชิญหน้ากับศัตรู ถ้าหากไม่มีทักษะการต่อสู้ และไม่มีพลังมากพอ ก็เท่ากับว่าถูกผู้อื่นกดขี่ราวกับสุนัขรับใช้

ท้องฟ้ายามเช้าได้สาดส่อง เย่ ซี่เหวิน เก็บข้าวเก็บของให้เป็นระเบียบหลังจากที่รื้อของหาหินวิญญาณมาเติมเต็มลมปราณ ไม่นานเขาก็ไปที่ไปจวนของบิดามารดาของเขา เพื่อร่วมทานอาหารเช้า นี่คือประเพณีของครอบครัวของเขา ที่ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน เติบใหญ่เพียงใด ก็ต้องมากินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตาสามมื้อต่อวัน ที่จวนบิดามารดา

เมื่อ เย่ ซี่เหวินได้มาถึงจวนของบิดามารดา เขาก็เห็นพวกเขานั่งพร้อมหน้าพร้อมตารอเขาคนเดียว

“เมื่อคืน เจ้าไม่ได้กลับมาทานมื้อค่ำกัยพวกเรา เจ้าไปอยู่ที่ไหนมา?” เย่ คงหมิง ถามเขาด้วยสีหน้าและแววตาที่เคร่งขรึม รูปร่างหน้าตาของเขาคือชายวัยกลางคนที่มีหน้ามีตาดูสง่างามน่าเคารพ

“ลูกไปฝึกฝนมา!” ตามธรรมชาติของ เย่ ซี่เหวิน เขาไม่เคยคิดจะโกหกเรื่องต่างๆ แต่ตอนนี้เขาไม่อาจที่จะพูดถึงพื้นที่เร้นลับที่เขาได้ค้นพบได้ “อีกทั้ง ลูกยังมีบางอย่างที่เป็นข่าวดีจะบอกกล่าวท่านพ่อ!”

ความประหลาดใจปรากฏอยู่บนดวงตาของเย่ คงหมิง เขาจึงกล่าวถามออกไป “ข่าวดียังงั้นรึ?”

“ใช่ ใช่ เจ้าน้องชาย ข่าวดีที่เจ้าว่าคืออะไร ไหนบอกข้าทีซิ?” พี่สาวของ เย่ ซี่เหวิน , เย่ หรูเสวี่ยรีบถามด้วยสีหน้าที่ใคร่รู้ ใบหน้าของนางนั้นงดงามตั้งแต่กำเนิด แม้ว่าอายุจะยี่สิบปี แต่ด้วยรูปร่างและหน้าตามันดูอ่อนเยาว์กว่าเย่ ซี่เหวิน ราวกับอายุ สิบห้าหรือ สิบหกปี

เมื่อพี่ชายของ เย่ เฟิง ได้ยินสิ่งที่น้องชายจะกล่าว ก็ได้หันไปมอง เย่ ซี่เหวิน ใบหน้าของเขานั้นคล้ายกับ เย่ คงหมิง ในยามที่เขากำลังเป็นวัยเยาว์ รูปลักษณ์และเสื้อผ้าที่สวมใส ทำให้เขาดูสุขุมเรียบร้อยยิ่ง

สามพี่น้อง พวกเขามีอายุไม่ห่างกันมาก พวกเขาเติบโตขึ้นมาพร้อมๆกัน ทำให้เขามีความรักความสามัคคีที่แน่นแฟ้นไม่น้อย

แม้ว่าแม่ของ เย่ ซี่เหวิน, เซี่ย ชวนเสวี่ย จะมีอายุสี่สิบกว่าปี แต่นางก็ได้ใช้เวลาบ่มเพาะพลังการต่อสู้มาโดยตลอด ทำให้รูปร่างของนางนั้น ราวกับอายุยี่สิบปีต้นๆ ได้ เมื่อมองไปยังสถานะของตระกูลที่นางมีอยู่ ก็ปรากฏรอยยิ้มให้แก่นาง ถึงแม้ว่า เย่ ซี่เหวิน จะเป็นบุตรบุญธรรม แต่เขาก็ไม่ได้ต่างอะไรกับลูกในไส้ นั้นคือสิ่งที่ในใจนางคิด

“ข้าอยากเลือกฝึกฝนวิชายุทธ์ต่อสู้!” เย่ ซี่เหวินกล่าวพร้อมกับหัวเราะออกมา

“เจ้าอยากฝึกฝนวรยุทธ์ศิลปะต่อสู้? เจ้าเข้าไประดับที่สี่แล้วรึไง?” เย่ คงหมิงกล่าวตอบ เย่ ซี่เหวิน ด้วยสีหน้าและแววตาเขาได้จ้องมองไปยัง เย่ ซี่เหวินก่อนที่จะพูดออกมาว่า “ไม่เลวนี่!”

เย่ คงหมิงไม่ได้คิดอะไรมากมายเกี่ยวกับระดับพลังของ เย่ ซี่เหวิน เขาคิดอยู่แล้วว่า เย่ ซี่เหวินนั้นอยู่ในระดับปลายของระดับขั้นที่สาม ซึ่งมันเป็นระยะเวลานานที่จะน่าจะพัฒนามาระดับที่สี่ได้ จึงไม่น่าแปลกใจถ้าหากเขาจะมาเลื่อนระดับในยามนี้

อย่างไรก็ตาม พ่อของเขานั้นไม่ทราบว่า เขาได้ใช้เวลาแค่คืนเดียวในการทะลวงจากขั้นที่สามไปขั้นที่สี่

เซี่ย ชวนเสวี่ย ยื้มและพยักหน้าด้วยความพึงพอใจกับบุตรของตน แม้ว่าเขาจะก้าวไปสู่ระดับที่สี่ของรากฐานก่อร่าง ก็นับว่าเป็นความคืบหน้าของลูกชาย นั้นทำให้นางมีความสุข

เรื่องแบบนี้เป็นอะไรที่มีความสุขอย่างมากสำหรับตระกูล แต่มันก็ไม่น่าแปลกใจสำหรับ เย่ เฟิง และ เย่รูเสวี่ย เพราะว่าพวกเขานั้นได้พัฒนาไปไกลและรวดเร็วกว่า เย่ ซี่เหวินมาก

ฉะนั้น ความก้าวหน้าของ เย่ ซี่เหวิน เมื่อพิจารณา ก็นับว่าเป็นเรื่องปกติตามอายุ

“เมื่อใดที่ข้าได้กินข้าวเสร็จสิ้น ข้าอยากให้ท่านพ่อพาข้าไปยังตำหนักหอสมุด เพื่อเลือกสรรวิชายุทธ์ต่อสู้” เย่ ซี่เหวินกล่าวด้วยรอยยิ้ม ซึ่งตามกฏของสำนักอี้หยวนแล้ว ผู้ที่สามารถบรรลุระดับที่สี่จะได้รับอนุญาตในการเข้าไปเลือกเคล็ดวิชาในหอสมุดได้ ไม่ว่าจะเป็นทักษะแบบใด พวกเขาก็สามารถเลือกได้อย่างมีอิสระ แต่นั้นนับว่าเป็นแค่ช่วงเวลานี้ ตราบใดที่เขาเติบโตและก้าวหน้ามากขึ้น ทุกๆอย่างต้องใช้แต้มเพื่อแลกเป็นเงินและใช้จ่ายในหอสมุดไม่ว่าจะเป็นสิ่งของที่วิเศษมากน้อยเพียงใด

“ก็ดี แต่จำไว้ด้วยล่ะ เจ้าควรเลือกทักษะที่เหมาะสมกับตัวเจ้า ไม่ควรเลือกอะไรที่เกินเลยเพราะมันจะฝืนร่างกายของเจ้ามากเกินไป เจ้ายังมีอายุอีกมากในการฝึกฝนในสันก ไม่ต้องรีบร้อน เจ้าจะได้ไม่ผิดหวัง” เย่ คงหมิงกล่าว

โดยปกติแล้ว การฝึกฝนทั่วไปจะใช้เวลาค่อนข้างนานกว่าจะบรรลุถึงจุดสูงสุด บางคนใช้เวลาเป็นสิบสิบปี กว่าจะฝึกสำเร็จ ต่อให้เป็นอัจฉริยะก็จะใช้เวลาในการฝึกฝนเป็นปีหรือสองปีได้

สิ่งที่เย่ คงหมิงกล่าวเตือน เย่ ซี่เหวิน นั่นคือไม่ให้เขาโลภมากถึงอำนาจของพลังที่เกินตัว เขาไม่ควรฝืนระดับพลังที่มีอยู่ ถ้าหากสิ่งที่เขาเลือกมาและฝึกฝนไม่ได้ มันก็ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง

เย่ ซี่เหวินพยักหน้าและตอบกลับ “ลูกทราบแล้ว”

เย่ ซี่เหวินรู้ดีว่า คำพูดที่กล่าวเตือนออกมาจากเย่ คงหมิง ล้วนแล้วแต่เป็นประโยชน์ต่อตนอย่างมาก เพราะว่าเขาไม่ค่อยรู้เรื่องทักษะวรยุทธ์มากเท่าไหร่

“ลูกมีบางอย่างจะบอกอีกเหมือนกัน” เย่ ซี่เหวินพูด

“ว่ามาสิ” เย่ คงหมิง กล่าวด้วยใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มหลังจากที่รับรู้ว่า เย่ ซี่เหวินได้ก้าวไประดับที่สี่ ก็ทำให้เขามีความสุขแล้ว

“ลูกอยากจะกล่าวว่า ถ้าหากภายภาคหน้าลูกอาจจะไปอยู่หุบเขาฉิงเฟิง เพื่อฝึกฝนพลังของตนเองให้มากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ และก็ยังที่ต้องการฝึกฝนวิชายุทธ์ให้เร็วที่สุด” เย่ ซ่เหวินกล่าว เขาอยากจะหาที่สงบๆ เพื่อที่จะได้ใช้เวลาเข้าใจและเรียนรู้เกี่ยวกับเคล็ดวิชา

อีกทั้ง ที่เขาต้องการหาที่สงบๆ ก็เพื่อจะได้ใช้พื้นที่เร้นลับ โดยไม่มีใครรู้

“ตามใจเจ้า” เย่ คงหมิง กล่าวและพยักหน้าให้ ถึงแม้ว่าจะเป็นกังวลต่อตัวบุตรชาย แต่ถึงอย่างไร เขาก็ได้ก้าวเข้ามาขั้นที่สี่ และพวกพี่น้องที่เหลือก็เคยไปพื้นที่นั้นมาแล้ว จึงไม่แปลกใจที่จะยอมให้เขาไป

เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จสิ้นพร้อมครอบครัว พวกเขาก็รีบไปตำหนักหอสมุดในสำนักอี้หยวนทันที

ตำหนักหอสมุด เป็นสถานที่สำคัญของสำนักอี้หยวน เพราะที่แห่งนี้ได้เก็บบันทึกเคล็ดวิชาต่างๆเอาไว้มากมายสืบทอดมาหลายชั่วอายุคน ซึ่งทักษะบางอย่างที่หายากก็อยู่ในที่นี้ด้วยเช่นกัน

เมื่อมาถึง เย่ ซี่เหวินก็พบว่าทางเข้าตำหนักหอสมุด มีชายสูงวัยผู้หนึ่งสวมเสื้อสีฟ้าชาด นอนพิงเก้าอี้โยกไปมา พร้อมอ่านตำราเล่มสีเหลือง

เหล่าบรรพชนของเย่ ซี่เหวิน มักจะเข้ามายังหอสมุดอยู่บ่อยครั้ง ไม่เพียงแต่ในหอสมุดจะมีตำราวิชายุทธ์อย่างเดียว แต่ในหอสมุดยังเก็บเคล็ดวิชาแผนที่ ข้อมูลต่างๆเอาไว้มากมาย ที่ที่บรรพชนของเขาได้รวบรวมไว้ในอดีต หลังจากที่เย่ ซี่เหวินมาที่นี้อยู่บ่อยครั้ง แต่เขาก็ไม่อาจที่จะหยิบยืมหนังสือไปได้ แต่บางอย่างในที่นี้ก็ยังมีบางส่วนให้เขาได้อ่านในวัยเด็ก เกี่ยวกับพวกตำนวนโบรณสถานที่ต่างๆ นั้นคือสิ่งที่ เย่ ซี่เหวินรู้เรื่องนี้มากที่สุด

ในโลกที่เขาจากมา และ โลกที่เขายืนอยู่ เขาต้องการเรียนรู้อะไรๆต่างๆให้เร็วที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

เพราะฉะนั้น ที่แห่งนี้เมื่อเขาได้มาเยือนด้วยตัวเอง จึงรู้สึกไม่ค่อยคุ้นเคยสำหรับเขาเลย..!

(กำลัง งงๆอยู่ ในที่นี้บอกว่า พระเอกไม่คุ้นกับสถานที่ แต่ตอนต้นเรื่องบอกเป็นนักศึกษาข้ามมาอีกโลก และก็เกริ่นว่า อยู่มาตั้งแต่สมัยเด็กๆ สงสัยน่าจะมาทับร่างใครละมั้ง)

# จบตอน