ตอนที่ 1 : พื้นที่เร้นลับ

แปลไทย : แพนด้าคุง | แก้ไข : แพนด้าคุง

สำนักอี้หยวนถูกสร้างขึ้นอยู่บนยอดภูเขาฉิงเฟิง พื้นที่โดยรอบของมันนั้นกว้างใหญ่พอควร ในยามนี่อยู่ในช่วงฤดูร้อนยามเย็น ดวงอาทิตย์ที่กำลังจะตกก็ค่อยๆลับขอบฟ้ากลายเป็นเงาทอดยาวให้ผู้คนได้พบเห็น

ที่ทะเลสาบขนาดเล็กมีเด็กหนุ่มผู้หนึ่ง อายุอาราวสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี เขาสวมเสื้อผ้าสีดำไปทั่วทั้งตัว ไม่นานเขาก็หยิบหินก้อนหนึ่งที่อยู่ใกล้ๆตัวเขา ก่อนที่จะโยนมันลงไปที่ทะเลสาบ หินก้อนที่เขาโยนไปนั้นกระทบกับพื้นผิวของทะเลสาบทันทีก่อนที่จะเด็นตามขอบน้ำและจมหายไปราวกับดอกไม้ที่เบ่งบาน

เย่ ซี่เหวินค่อนข้างรู้สึกสูญเสีย เขาไม่คิดเลยว่า เขาจะได้เข้ามาสู่โลกใบใหม่โลกนี่ แต่ก่อนแต่ไรที่ ๆ เขาเคยอยู่นั้น เขาเคยอยู่ในโลกที่อยู่ในยุคของศตวรรษที่ 21 เขาป็นแค่นักศึกษาธรรมดา แต่วันเวลาได้ผ่านไปหนึ่งเดือน เขาก็ต้องยอมรับความจริงที่ว่าเรื่องนี่นั้นไม่ใช่เรื่องตลก เขาได้เดินทางเข้ามาสู่โลกใบใหม่และนี่คือความเป็นจริงที่เขาต้องเผชิญ

ด้วยการที่อยู่ในโลกใหม่เป็นเวลาหนึ่งเดือน ทำให้เขาค่อยๆยอมรับความจริงที่เป็นว่านี่ไม่ใช่ดาวเคราะห์สีฟ้าที่มีชื่อว่าโลก ด้วยภาพลักษณ์ที่เห็นอยู่ตรงพื้นที่ทั่วไป มันมีลักษณะคล้ายกับรัชสมัยจีนโบราณ แต่แห่งนี่ถูกเรียกว่า เจินอู่เจี้ย (โลกแห่งวรยุทธ์ที่แท้จริง)

ในโลกนี้ ศิลปะการต่อสู้ได้ถูกสร้างฐานอารยธรรมอันวิจิตรศิลป์เอาไว้มากมาย เหล่านักรบผู้ฝึกยุทธ์มากมายต่างพยายามไขว้ขว้าหาวิธีการบ่มเพาะพลังเพื่อเข้าถึงจุดสูงสุดของศิลปะการต่อสู้ต่างๆ เหล่าผู้ฝึกวรยุทธ์และศิลปะต่อสู้ พวกเขาสามารถย้ายภูเขาตัดแบ่งผ่านมหาสมุทรได้โดยง่ายดาย อีกทั้งอายุของพวกเขาก็ยังยืดยาวออกไปอีกด้วย

สถานะของเย่ ซี่เหวิ่นในปัจจุบันนี่นั้น เขาคือ ลูกชายคนที่สามและเป็นบุตรบุญธรรมของผู้อาวุโสในสำนักอี้หยวน พ่อบุญธรรมของเขานั้นมีนามว่า เย่ คงหมิน ได้พาเขากลับสำนักเป็นเวลา 18 ปีก่อน เรื่องที่เขาเป็นบุตรบุญธรรมนี่นั้น จึงไม่ได้เป็นความลับใดๆในสำนัก

ในสำนักอี้หยวน เป็นหนึ่งในสำนักที่อำนาจมากที่สุดในแคว้นใหญ่ และเป็นสำนักที่ได้รับการนับถือจากจอมยุทธ์ผู้ฝึกตน

อย่างไรก็ตาม สำนักนี่ก็ตั้งอยู่บนหุบเขาฉิงเฟิง เป็นแค่หนึ่งในสาขาย่อยของสำนักหลัก โดยสาขาย่อยมีหลายสาขา และสาขาย่อยนั้นต่างก็ทำหน้าที่แสวงหาผู้มีพรสวรรค์เพื่อถูกส่งกลับไปยังสำนักหลัก

ด้วยระดับการบ่มเพาะพลังของเย่ซี่เหวินนั้นอยู่ที่ระดับสามของฐานก่อร่าง(จากปุถุชนสู่สวรรค์)ด้วยอายุของเขาแล้ว เขานั้นถูกนับว่าเป็นบุคคลที่สุดแสนธรรมดายิ่งนัก

ในเจียอู่เจี้ย เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ต่างก็เริ่มต้นอยู่ในระดับฐานแดนก่อร่างกันทั้งสิ้นและจะไปสิ้นสุดตรงฐานก่อร่างขั้นที่เก้า โดยเมื่อผ่านระดับนี่ไปได้ก็จะไปอยู่อีกระดับที่เหนือกว่าก่อร่างนั้นถูกเรียกว่าระดับลมปราณเทพ(สวรรค์จุติสู่ปุถุชน) โดยเย่ซี่เหวินยังไม่ทราบถึงระดับฐานลมปราณเทพว่ามีกี่ขั้นบ้าง เพราะว่าเหล่าผู้ฝึกยุทธ์ในสำนักอี้หยวนนั้นต่างก็เป็นมีขั้นสูงสุดอยู่แค่ระดับแรกของฐานลมปราณเทพเท่านั้น

สำนักอี้หยวนถูกแบ่งออกมาเป็นสำนักย่อยๆ และ๔กแบ่งออกมาเป็นสามระดับนั้นคือ สำนักฝ่ายนอก สำนักฝ่ายใน และสำนักฝ่าย หลังจากที่ระดับของศิษย์เหล่านั้นแข็งแกร่งมากขึ้น ก็มีบททดสอบขึ้นมาว่า ศิษย์ผู้นี้สมควรที่จะอยู่ในฝ่ายไหนในสำนักหลัก

ระดับของศิษย์ในสำนักอี้หยวน ไม่ค่อยแบ่งแยกตามอายุของพวกเขา แต่แบ่งออกตามระดับความแข็งแกร่งของพวกเขาเสียมากกว่า โดยระดับนั้นจะถูกเรียงออกมาตามรากฐานก่อร่าง หลังจากที่พัฒนาเข้าสู่ระดับก่อร่างขั้นที่สาม พวกเขาก็จะได้รับอนุญาติให้เข้าเป็นศิษย์ฝ่ายในได้ หลังจากบ่มเพาะพลังไปถึงระดับที่ห้าของรากฐานก่อร่าง ก็จะสามารถถูกรับเลือกเป็นศิษย์ฝ่ายหลักได้ และผู้ใดที่จะเข้าสำนักหลัก ก็จะต้องมีพลังปราณของรากฐานก่อร่างไม่ต่ำกว่าระดับเจ็ดจึงจะทดสอบได้

ด้วยความสามารถเหล่านี้ เย่ซี่เหวินนั้น ทำให้เหล่าบรรพชนไม่อาจคาดหวังไว้กับเขาได้มากนัก เพราะระดับของเขานั้นเป็นแค่ระดับกลางๆ เขาได้ทำการฝึกฝนลมปราณมาแล้วมากกว่าสิบแปดปี แต่พลังลมปราณกลับอยู่ที่ระดับสามของขั้นรากฐานก่อร่าง จึงนับว่าเป็นบุคคลธรรมดาสามัญยิ่งนัก

เย่ ซี่เหวินเป็นศิษย์ธรรมดาทั่วๆไปของสำนักอี้หยวน ถ้าหากเทียบกับเหล่าศิษย์ฝ่ายในที่อยู่ในสำนักคนอื่นๆ แม้ว่าศิษย์ฝ่ายในจะได้รับเกียรติน้อยกว่าศิษย์หลัก แต่ก็ไม่ต่ำต้อยไปกว่าศิษย์ฝ่ายนอกเท่าไหร่นัก ด้วยฐานะพ่อบุญธรรมที่เป็นผู้อาวุโสในสำนักอี้หยวน การมีอยู่ของเขาในปัจจุบันก็ไม่ได้นับว่าเลวร้ายเท่าไหร่นัก

แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็กลับไม่น่าสนใจเลยแม้แต่น้อย ด้วยความสามารถของเย่ ซี่เหวิน ล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องที่ธรรมดา ด้วยระดับที่สามของรากฐานก่อร่างและประกอบกับอายุที่เทียบกับพี่น้องคนอื่นๆ โดยพี่ชายคนโตอย่าง เย่เฟิ่ง ที่อายุยี่สิบเอ็ดปีแต่กลับไปอยู่ในระดับรากฐานขั้นที่แปดของระดับก่อร่างและพี่สาวของเย่ซี่เหวิน เย่ หรูเสวี่ยที่แก่กว่าเขาปีหนึ่ง ก็อยู่ในระดับรากฐานก่อร่างขั้นที่เจ็ดเสียแล้ว

ในกรณีเช่นนี้ แน่นอนว่าเขานั้นไม่ใช่ตัวดึงดูดที่น่าสนใจมากพอ!

“ซ่าซ่า!”

อยู่ๆ เสียงก็ดังออกมาจากด้านหลังที่พ่มไม้ของเขา ปรากฏออกมาเป็นชายหนุ่มอายุอาราวสิบเจ็ด สิบแปดปี รูปร่างอ้วนกลมไม่สูงมากเท่าไหร่ กระโดดออกมาจากพุ่มไม้ที่อยู่ด้านหลัง รอยยิ้มได้ปรากฏออกมาบนใบหน้าของ เย่ซี่เหวินเล็กน้อย เมื่อเห็นเด็กหนุ่มอ้วนผู้นั้น เจ้าอ้วนผู้นี้มีนามว่า หวังเหล่ย เป็นเพื่อนสนิทของเย่ซี่เหวินตั้งแต่เด็กๆ หวังเหล่ยนั้นมาจากตระกูลที่ร่ำรวยที่อยู่ใต้ภูเขาฉิงเฟิง และตระกูลของพวกเขามีความสัมพันธ์อันดีกับสำนักอี้หยวนไม่น้อย จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะสนิทกันตั้งแต่เด็กๆ

โดยระดับพลังพรสวรรค์อันธรรมชาติของพวกเขาใกล้เคียงกันอย่างมาก โดย เย่ซี่เหวินและหวังเหล่ย พวกเขามีพลังระดับสามเท่าๆกัน แต่หวังเหล่ยแข็งแกร่งกว่าเพียงเล็กน้อย จึงทำให้พวกเขาทั้งสองสนิทกันมาเรื่อยๆ

“เจ้าไม่กลับไปพักผ่อนงั้นรึ? นี่มันก็เย็นมากแล้วนะ มาทำอะไรที่นี่?” เย่ ซี่เหวินกล่าวถามและยิ้มเล็กน้อยให้

“ข้าแค่เป็นห่วงเจ้าเท่านั้น” หวังเหล่ยตอบและยิ้มให้กลับ “ไม่นานมานี่เจ้าได้แสดงอาการที่มีท่าทีที่แปลก ๆ โดยเจ้าพูดถึงเรื่องสิ่งลี้ลับอะไรก็ไม่รู้”

“มิต้องห่วง ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับข้าหรอก” เย่ซี่เหวินตอบ

มันไม่ได้มีอะไรมากมายนัก ทุกอย่างเป็นเพราะเขาได้เข้ามาอีกโลกจึงต้องใช้เวลาปรับตัวให้คุ้นชินก็เท่านั้น!

“ไม่ใช่ว่าตอนนี้ เจ้าอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญในการทะลวงเข้าสู่ระดับที่สี่หรอกรึ เหตุใดถึงไม่เก็บตัวเล่า?” เย่ซี่เหวิ่นกล่าว เพราะว่าระดับพลังขั้นที่สามของก่อร่างนั้น นับว่าเป็นบุคคลที่แสนธรรมดายิ่งสำหรับศิษย์ฝ่ายใน แต่เมื่อระดับขั้นที่สี่ นั้นแตกต่างกันออกไปอย่างสิ้นเชิง มันถือได้ว่าเป็นบุคคลระดับสูงของศิษย์ฝ่ายใน นี่คือความแตกต่างของเส้น เส้นเดียว โดยสถานะของมันราวกับสวรรค์และโลก

“นี่, ข้ามาหาเจ้าเพราะวางแผนอะไรไว้เรียบร้อยหมดแล้วสำหรับการฝึกฝนเพื่อเก็บตัว มันต้องใช้เวลาสักระยะ แต่ข้ามาหาเจ้าเนี่ยเพราะว่าข้าเป็นห่วงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น” หวังเหล่ยดูเป็นกังวลกับเย่ซี่เหวินมาก เพราะเขาทั้งคู่เติบโตขึ้นมาพร้อมกันและกัน เขาเปรียบเสมือนพี่ชายน้องชาย ถึงแม้ว่าจะมีการทะเลาะกัน แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรมากมาย แต่ตอนนี้เขาดูเหมือนว่า พี่ชายของเขานั้นเหมือนถูกเปลี่ยนตัวไปสิ้นเชิง

“ไม่ต้องห่วงไปหรอกน่า เจ้าไปฝึกฝนของเจ้าเถอะ ข้าไม่ได้เป็นอะไร” เย่ซี่เหวินหัวเราะออกมา “ตอนนี่มันก็เย็นมากแล้ว เจ้าควรกลับไปนะ เพราะอีกเดี๋ยวข้าเองก็จะกลับไปเช่นกัน”

“ไม่ต้องมาห่วงว่าเย็นหรือดึกไปหรอก ยังไงเจ้าก็ควรระวังตัวเองไว้ ระวังพวกอสูรในยามค่ำคืนมาเข่นฆ่าเพื่อกิน เจ้าควรระวังไว้ด้วยล่ะ” หวังเหล่ยกล่าวเตือน

ในสำนักอี้หยวนนั้นตั้งอยู่บนหุบเขาฉิงเฟิง แน่นอนว่าเป็นธรรมดาที่มักจะมีสัตว์อสูรมากมาย ที่แข็งแกร่งมาสรรหาเหยื่อและอาหารอันโอชะ โดยทั่วไปสัตว์อสูรพวกนี้นับว่าแข็งแกร่งและน่ากลัว บางตัวก็แข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปเสียอีก

“อืม ข้าทราบแล้ว” เย่ซี่เหวินพยักหน้า

ถึงแม้ว่าสถานที่แห่งนี่จะเป็นสถานที่โดยรอบของสำนักอี้หยวน มันไม่ค่อยมีอสูรร้ายอยู่ แต่ก็ไม่อาจจะปล่อยละเลยเสียได้ เพราะว่าถ้าหากสัตว์อสูรโผล่ออกมา ด้วยระดับของซี่เหวิ่นเขาไม่มีทางที่จะหลีกหนีและสู้กับมันได้เลย

มันมีสัตว์อสูรมากมายจำนวนมากอยู่บนหุบเขานี้ ดังนั้นไม่มีทางเลือกอื่นใดๆให้มาก นอกเสียจากจะปกป้องตัวเองให้รอดพ้น เหตุผลที่สำนักอี้หยวนแห่งนี่ได้ถูกตั้งในหุบเขาก็เพราะว่าเป็นการส่งสัญญาณเตือนว่าอย่าได้มารบกวนเหล่าชาวบ้านในเมือง ถึงแม้ว่าจะสกัดกั้นพวกสัตว์อสูรพวกนี่ไม่ได้มากเท่าไหร่ มันยังมีบางตัวโผล่ออกไปอยู่บ้าง แต่ที่ด้านล่างภูเขา มันมีทางเดินของเหล่าชาวบ้านที่สร้างเอาไว้ติดต่อและเปลี่ยนกับผู้ฝึกยุทธ์ในสำนัก จึงไม่ค่อยมีปัญหาในเส้นทางนั้นๆ

และด้วยความสัมพันธ์เหล่านี้ ศิษย์สำนักของอี้หยวนจึงถูกให้ความเคารพจากบุคคลที่อยู่ภายนอก โดยภายในระยะทาง 50 ไมล์ พวกเขาไปไหนต่างก็มีผู้คนเคารพนับถือทันที

เมื่อหวังเหล่ยพูดเสร็จสิ้น ถึงแม้ว่าร่างกายของเขาจะอวบอ้วนจ้ำหม้ำ เขาเองก็ถือได้ว่าเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เขาเคลื่อนไหวทีละก้าวนั้นช่างสง่างาม เพียงไม่นานก็หายตัวเข้าไปในพุ่มไม้อย่างรวดเร็ว

เย่ซี่เหวินยังคงนั่งอยู่ที่นั่นสักระยะ ไม่นานก็ปรากฏแสงที่พื้นผิวทะเลสาบ มันได้สว่างเจิดจ้าออกมาชั่วขณะ ปกคลุมไปทั่วทะเลสาบเพียงเวลาแค่สองวินาที ก่อนที่จะนิ่งเงียบเช่นเดิม

เย่ ซี่เหวินงุนงงอยู่เพียงเล็กน้อย แสงพวกนั้นมันคืออะไรกัน? เป็นไปได้รึเปล่าว่าที่แห่งนั้นจะมีสมบัติบางอย่างอยู่ภายใต้ทะเลสาบ? เมื่อคิดเช่นนี้ได้ เขาก็ลุกขึ้นด้วยความตื่นเต้น ถ้าหากว่าข้างในนั้นมีสมบัติล้ำค่ามหาศาลถูกซ่อนเอาไว้ในทะเลสาป ถ้าหากเขาได้ครอบครอง เขาต้องแข็งแกร่งขึ้นมากแน่ในอนาคต

หลังจากที่คิดได้ เขาก็พุ่งตัวลงไปทะเลสาปทันที เขาได้แหวกว่ายและดำดิ่งลงไปในทะเลสาป โดยไม่คำนึงถึงชีวิตของเขา เพราะชั่วชีวิตนี่ เขามั่นใจว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขาทำได้ดีนั้นคือการว่ายน้ำ

เย่ ซีเหวินค่อยๆดำน้ำลงไปหาต้นตอของแสงที่ปรากฏ มันไม่มีสัตว์อสูรตัวใดอยู่ในน้ำเพื่อปกป้องสมบัติอะไรพวกนี้เลย ถ้าหากมีอสูรจริงๆ ในสำนักก็ต้องรีบมาสังหารมันเพื่อความปลอดภัยของเหล่าชาวบ้านแล้ว ในจุดๆนี่ทำให้เขาไม่ต้องมากังวลใดๆเกี่ยวกับมัน

เย่ซี่เหวิ่น คว้ายสายตามองหาจุดที่แสงปรากฏ และในที่สุดเขาก็ค้นพบกับหินก้อวหนึ่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีรุ้งถูกวางเอาไว้

เขาค่อยๆ เข้าไปใกล้มัน เขาไม่รู้สึกถึงอันตรายใดๆของมันที่จะแผ่ออกมา เขาพุ่งตัวออกไปทางด้านซ้ายและสัมผัสมันอย่างเบาๆ รู้สึกได้ถึงความอ่อนโยนเล็กน้อย เขาพยายามยื่นมือเข้าไปคว้าเจ้าหินก้อนเล็กสีรุ้งนี่ จู่ๆมันก็ปรากฏแสงสว่างออกมากระโจนเข้าสู่ร่างของ เย่ ซี่เหวินทันที

เย่ซี่เหวินรู้สึกตกใจ ก่อนที่จะพลางมองไปรอบๆ ก็ปรากฏว่า หินและแสงสีรุ้งได้หายไปแล้ว

เขารีบโผล่ขึ้นมาบนผิวน้ำและว่ายขึ้นไปที่ฝั่ง ลมหายใจของเขาหอบรุนแรง เขายังคงตกใจกับสิ่งที่ปรากฏขึ้นมา เขาได้พยายามตรวจสอบร่างกายของเขาดูว่าผิดปกติไปรึเปล่า ก็ไม่พบสิ่งใดที่ผิดปกติ จึงทำให้เขาสงบใจลง

เขาได้ใช้พลังลมปราณขับเคลื่อนหยดน้ำที่ติดอยู่บนร่างให้ระเหยออกไป และเขาก็เตรียมพร้อมที่จะกลับไป แต่ทว่าในตอนนั้นเอง เย่ ซี่เหวินก็รู้สึกได้ถึงพื้นที่อะไรบางอย่างในส่วนลึกในจิตใจของเขา

นี่เป็นสถานการณ์ที่แปลกมาก ปกติแล้วระดับผู้ฝึกยุทธ์ที่แข็งแกร่งมักจะอยู่ในระดับฐานลมปราณ ก็จะสามารถตรวจสอบสิ่งที่เกิดขึ้นในร่างกายของเขาได้ แต่ทว่าในตอนนี่เขากลับรู้สึกว่าจะมองเห็นเส้นเลือดของเขาที่ไหลเวียนอยู่ทั่วร่างได้ทันที อีกทั้งยังทำให้เขาสามารถตรวจสอบได้ถึงห้วงลึกที่อยู่ภายในจิตใจของเขาได้อีก

เย่ ซี่เหวินพบว่าทุกๆลมหายใจของเขานั้น มันทำให้เขารู้สึกได้ถึงการมีอยู่ของพื้นที่เร้นลับที่ปรากฏออกมาข้างใน ด้วยสถานการณ์ที่เป็นตอนนี่ เย่ ซี่เหวินรู้สึกแปลกประหลาดใจ เขาไม่กล้าที่จะอยู่ในพื้นที่ทะเลสาป เขารีบกลับไปที่พักของเขาอย่างรวดเร็ว โดยไม่คิดจะทักทายพ่อแม่ของเขาอีกด้วย

หุบเขาเฉิงเฟิงมีพื้นที่กว้างใหญ่ ซึ่งสำนักอี้หยวนก็มีพื้นที่กว้างขวางเช่นกัน แม้แต่อาคารบ้านเรือนก็ยังมีขนาดใหญ่อีกด้วย ส่วนใหญ่อาคารบ้านเรือนที่ใหญ่โตมักเป็นของผู้อาวุโสระดับสูงที่อยู่ในสำนักอี้หยวน ตั้งแต่ที่ เย่ ซี่เหวินยังเด็กๆ เขาก็อยู่ในตัวเรือนที่เป็นขนาดเล็กเทียบเท่ากับพ่อแม่เขาอาศัย

เย่ ซี่เหวินยังอยู่ในสภาวะตื่นตระหนก เขาเดินกลับไปที่ตัวรือน ซึ่งตอนนี้ท้องฟ้าก็เข้าสู่ยามราตรีแล้ว

เย่ ซี่เหวินสูดหายใจลึกอีกครั้ง ก่อนที่จะเข้าสู่สภาวะทำสมาธิ โดยมุ้งเน้นไปที่จุดพื้นที่ลี้ลับที่ปรากฏตัวขึ้นออกมาในใต้ความคิดของเขา แม้ว่าตอนนั้นจะยังไม่ทันคลายความวิตก แต่เขาก็ต้องเพ่งไปยังจุดๆนั้นต่อโดยสูดลมหายใจต่อไป

ทันใดนั้นเอง เขาก็เห็นพื้นที่ที่มีสีดำมืดสนิท ปรากฏออกมาภายในดวงตา ทันทีที่เข้าไปในที่แห่งนี่ เขาก็ตกอยู่ในสภาวะสับสนตื่นตระหนกอย่างรวดเร็ว เข้าตระหนักได้ว่าที่แห่งนี่ไม่ได้อยู่แห่งอื่น มันเป็นพื้นที่ในจิตใจของเขาเอง เขาได้มองไปรอบๆอยู่หลายครั้งก่อนที่จะยอมรับมันอย่างรวดเร็ว

ไม่รู้ว่าคืออะไร ที่ตอนนี่เขาได้เข้ามาอยู่ในส่วนหนึ่งในห้วงสำนึกจิตใจของเขาแล้ว มันเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณ ที่เขาได้เข้ามาในพื้นที่แห่งนี่

ไม่นาน เย่ ซี่เหวินก็พบว่าเจอปัญหาอย่างใหญ่หลวงขึ้นมา เขาติดอยู่ในสถานที่แห่งนี่ และเขาไม่สามารถออกไปไหนได้ มันไม่มีทางออกอยู่เลย ไม่ว่าเขาจะเดินไปตรงไหนก็ยังคงอยู่ในสภาวะสับสนวุ่นวาย ภูมิทัศน์โดยรอบก็เหมือนๆเดิม….

 

#จบตอน