4/4

 

Ep.892 – ซุ่มลอบสังหาร

 

ฉินเฟิงควบคุมการรับรู้ของเขา จำกัดรัศมีให้แคบลง แต่มุ่งเน้นให้แม่นยำมากขึ้น

 

ภายใต้สภาวะนี้ คนที่มีการรับรู้อ่อนแอกว่าฉินเฟิง จะไม่สามารถตรวจเจอเขาได้ นอกเสียจากเขาจะจงใจปล่อยกลิ่นอายออกมา เช่นเดียวกับเมื่อครั้งตาปีศาจใช้พลังสมาธิล็อคเป้าฉินเฟิง ฉินเฟิงถึงค่อยรู้สึกตัว ว่ากำลังถูกเพ่งเล็งโดยสิ่งมีชีวิตอันน่าหวาดกลัว

 

และตอนนี้ ภายใต้สภาวะเพิ่มความแม่นยำ ไม่ช้าเขาก็พบตำแหน่งของเหอเทียนสิง

 

ณ ขณะนี้กลิ่นอายของเหอเทียนสิ่ง เหมือนเปลวไฟขนาดใหญ่ แข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆมาก อย่างไรก็ตาม คนที่อยู่ใกล้ๆเขา ก็มีกลิ่นอายที่ทรงพลังไม่แพ้กัน

 

“นั่นน่าจะเป็นเทพวูดู”

 

ฉินเฟิงสัมผัสได้ถึงเทพวูดู แต่ยังไงก็ตาม ทั้งสองไม่อาจค้นพบการดำรงอยู่ของฉินเฟิงได้

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ความสามารการรับรู้ในปัจจุบันของฉินเฟิง แข็งแกร่งกว่าพวกเขามาก

 

“ที่แท้เหอเทียนสิงมีความแข็งแกร่งแค่ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล S2 เท่านั้นเองหรือนี่? ส่วนเทพวูดูเหมือนจะอ่อนแอกว่าเหอเทียนสิง อยู่แค่เลเวล S1 แต่เป็นผู้ใช้อบิลิตี้” ฉินเฟิงทำการตรวจสอบ และระบุความแข็งแกร่งของเหอเทียนสิง ตอนแรกเขารู้สึกว่าอีกฝ่ายลึกล้ำเกินหยั่งถึง เป็นศัตรูอันคงกระพันมิอาจต้านทาน แต่ตอนนี้ เขามีความสามารถมากพอที่จะสังหารอีกฝ่ายได้แล้ว

 

“ไปทางนั้น!”

 

ฉินเฟิงชี้ไปยังทิศทางของเหอเทียนสิง ไป๋หลีพาฉินเฟิงเคลื่อนย้ายในพริบตา

 

หลังจากเทเลพอร์ตไม่กี่ครั้ง ระยะห่างระหว่างฉินเฟิงกับเหอเทียนสิง ก็ร่นลงมาเหลือแค่ 10 กิโลเมตร

 

สำหรับระยะ 10,000 เมตรเช่นนี้ นับว่าใกล้มากแล้ว

 

“เธอไปซ่อนตัวในมิติ หลังจากฆ่าเหอเทียนสิง ฉันจะกลับมาหา!”

 

“ตกลง!”

 

สิ้นเสียง ร่างของไป๋หลีกลายเป็นโปร่งแสง กายเธอได้ย้ายไปอยู่ในมิติอื่นเป็นที่เรียบร้อย

 

ฝั่งฉินเฟิง เขายับยั้งกลิ่นอายของตนเอง จนไม่มีใครสามารถตระหนักถึงการดำรงอยู่ของเขาได้ ยิ่งปกคลุมด้วยอบิลิตี้โอบกอดทมิฬ ก็ยิ่งทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าตำแหน่งที่ฉินเฟิงยืนอยู่มีเพียงความมืดมิด นอกจากนั้นไม่มีอะไรอีก

 

ฉินเฟิงเริ่มขยับเข้าไปใกล้อีกครั้ง

 

10,000 เมตร สำหรับสมรรถภาพทางกายในปัจจุบันของฉินเฟิง ใช้เวลาแค่ไม่กี่สิบวินาทีเท่านั้น

 

อีกด้านหนึ่ง เหอเทียนสิงได้พบกับเทพวูดูแล้ว

 

สถานที่ที่พวกเขาอยู่ เป็นตำแหน่งที่ตั้งบนหุบเขา หุบเขาสองด้านมีความกว้างไม่เกิน 100 เมตร สูง 20 เมตร หากมิได้เข้าไปในหุบเขา จะไม่มีทางมองเห็นทั้งสองคนได้เลย

 

และหุบเขานี้ มีความยาวแค่ 1,000 เมตร กองกำลังของทั้งสองกลุ่มได้รับมอบหมายให้เฝ้าทางเข้าหุบเขา และบนยอดเขาเอาไว้

 

อย่างไรก็ตาม เลเวลของคนที่คอยเฝ้ายามเหล่านี้ ล้วนเป็นผู้ใช้พลังเลเวล A ฉินเฟิงที่อยู่หน้าทางเข้า เห็นฟินิกซ์เพลิงเช่นกัน

 

ขนาดตอนแรกที่พบเจอ ฉินเฟิงยังสามารถสังหารฟินิกซ์เพลิงได้ ดังนั้นฉินเฟิงในตอนนี้ ขอแค่ขยับปลายนิ้ว ก็สามารถสังหารอีกฝ่ายได้แล้ว

 

แต่ฉินเฟิงไม่คิดวุ่นวายกับเลเวล A พวกนี้ พริบตาเดียวลอบเร้นสายตา ก้าวเข้าไปข้างใน

 

เทพวูดูกับเหอเทียนสิงเผชิญหน้ากัน ตำแหน่งที่ทั้งสองอยู่ บัดนี้จัดวางไว้ด้วยโต๊ะและเก้าอี้ไม้ ทั้งสองนั่งลงคนละฝั่ง มีกาและแก้วชาวางอยู่บนโต๊ะ

 

เพียงแต่ว่า แก้วชาเบื้องหน้า เหอเทียนสิงมิได้สัมผัสมันเลย มีแค่ฝั่งเทพวูดูเท่านั้นที่ยกดื่ม

 

ชื่อของเทพวูดูเป็นที่รู้จักกันดี ว่าชายคนนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญในการใช้พิษ แม้ด้วยระดับของเทพวูดู การวางยาพิษในน้ำถือเป็นรสนิยมต่ำเกินกว่าจะทำ แต่เหอเทียนสิงกันไว้ดีกว่าแก้

 

ทุกครั้งที่พบปะกัน เหอเทียนสิงไม่เคยดื่มชาของเทพวูดูเลย

 

“ได้ยินมาว่าดาบอสูรของนาย ไม่นานมานี้ถูกเด็กขนยังไม่ขึ้นขโมยไป ทั้งยังโดนนำไปหลอมกลายเป็นอาวุธของหลงเยว่ใช่ไหม? จิจิจิ ไอเด็กเหลือขอนั่น ช่างกล้านัก” เทพวูดูกล่าวด้วยรอยยิ้ม

 

เรื่องที่เหอเทียนสิงพยายามฆ่าฉินเฟิงในมิติธารโลหิต ได้แพร่กระจายไปทั่วแล้ว ยิ่งไปกว่านั้นเทพวูดูกับเหอเทียนสิงแม้เป็นเป็นหุ้นส่วนกัน แต่ขณะเดียวกันยังถือว่าเป็นคู่แข่ง เลยเป็นธรรมดาที่ในบรรดาลูกน้องของเหอเทียนสิงจะมีสายลับของเทพวูดูอยู่ ขณะเดียวกัน ในเงื้อมมือของเทพวูดู ก็มีคนของเหอเทียนสิง

 

ด้วยเหตุนี้ แม้เทพวูดูจะทราบเรื่องดังกล่าว มันก็ไม่น่าแปลกใจอะไร แต่เห็นได้ชัดว่าคำถามนี้ ทำให้สีหน้าของเหอเทียนสิงดูน่าเกลียดมาก

 

“ก็แค่ดาบเล่มหนึ่ง!”

 

“แต่นายมีชื่อเสียงในฐานะนักดาบ และดาบเล่มนั้นเป็นตัวสร้างฉายาอสูรให้กับนาย”

 

จะเทพวูดูหรือตาปีศาจ ล้วนมิใช่ชื่อจริงแต่เป็นฉายา เหอเทียนสิงก็มีฉายาเช่นเดียวกัน ซึ่งเทพ , ปีศาจ , อสูร ทั้งหมดล้วนมีสถานะเท่าเทียมกัน

 

ก่อนหน้านี้เหอเทียนสิงเป็นบุคคลที่มีชื่อเสียงมาก แต่ตอนนี้ เขากำลังถูกเทพวูดูสบประมาท ในหัวใจลุกโชนด้วยเพลิงโกรธ

 

“ก็แล้วมันยังไง? เทพวูดู หรือแกจะทดสอบความแข็งแกร่งตอนนี้ของฉัน ว่าถึงใช้ดาบเล่มอื่น แต่เวลาฟันก็ยังคมเหมือนดาบเล่มนั้นดูไหม?” เหอเทียนสิงข่มขู่

 

“นั่นสิ หรือฉันจะลองทดสอบดูดี?” เทพวูดูกล่าวด้วยรอยยิ้มเยาะ

 

“เทพวูดู! นี่แกคิดหาเรื่องฉันจริงๆใช่ไหม!” เหอเทียนสิงโกรธมาก แรงกดดันลุกฮืออย่างบ้าคลั่ง สองตาจ้องเขม็งไปยังเทพวูดู

 

เทพวูดูเมื่อเห็นการแสดงออกที่เปี่ยมไปด้วยความแข็งแกร่งของเหอเทียนสิง ในหัวใจแม้ยังสงสัย แต่ก็เกิดความกริ่นเกรง “ฮ่าฮ่าฮ่า มันจะเป็นแบบนั้นไปได้ยังไง? ไม่ใช่แบบนั้นหรอก ฉันแค่ล้อเล่น!”

 

“ฮึ่ม!” เหอเทียนสิงส่งเสียงเย็นชา แสดงความไม่พอใจของเขา

 

“แต่ว่านะดาบอสูร สัญญาก่อนหน้านี้ของเรา คงต้องทำข้อตกลงกันใหม่ ช่วงหลายปีที่ผ่านมา ตลาดฝั่งเราก็ไม่ค่อยดีนัก ธุรกิจนี้ไม่ดีอีกต่อไปแล้ว ฉะนั้น นายจะไม่เพิ่มเงินให้ฉันหน่อยหรอ … ซักหนึ่งในสิบเป็นไง?”

 

“นี่แกพูดบ้าอะไร? หนึ่งในสิบ? ไม่ฝันหวานไปหน่อยเหรอ!?” เหอเทียนสิงกัดฟันกล่าว

 

“งั้นก็ช่างเถอะ ในเมื่อ 10% ไม่ได้ งั้นขอ 9% ก็แล้วกัน! ”

 

เทพวูดูลองถอยลงมาขั้นหนึ่ง เผื่ออีกฝ่ายจะยอมตกลง

 

“1% ก็ยังถือว่ามากเกินไป!”

 

ทั้งสองถกเถียงกัน จนสุดท้ายเหอเทียนสิงยอมเสีย 3% ของผลกำไร แม้จะฟังดูน้อยนิด แต่เกรงว่ามันจะเป็นจำนวนเงินอันน่าทึ่ง

 

ฉินเฟิงจับตาดูทั้งสองตลอดเวลา เฝ้าพิจารณาว่าจังหวะไหนถึงสามารถลงมือสังหารได้

 

อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นเอง จู่ๆเทพวูดูพลันพลิกฝ่ามือของเขา แสงสีดำอันแปลกประหลาดยิงเข้าใส่เหอเทียนสิง

 

แสงนี้แม้ตามผิวดูเหมือนเป็นสีดำ หากในความเป็นจริงแล้วมันเป็นสีเขียวเข้ม แต่เข้มข้นเกินไปจนผู้คนยากจะแยกออก

 

–มันคือสารพิษร้ายแรง!

 

เดิมเหอเทียนสิงผ่อนคลายลง คิดว่าตนสามารถตกลงกับเทพวูดูได้แล้ว แต่ไม่นึกฝันเลย ว่าเทพวูดูจะจู่โจมกระทันหัน แต่อย่างไรตนเป็นถึงเลเวล S ความแข็งแกร่งของเหอเทียนสิงมิอาจประเมินต่ำเกินไปได้ เขาตอบสนองทันที โล่ปราณกำลังภายในกางออก ของเหลวสีเขียวเข้มถูกสกัดไว้ด้านนอก

 

“เทพวูดู นี่แกกำลังคิดจะทำอะไร?”

 

“ฮ่าฮ่าฮ่า เหอเทียนสิง หยุดเสแสร้งได้แล้ว หากเป็นเมื่อก่อน นายจะยอมเสียผลประโยชน์ได้ยังไง? ตัวนายในตอนนี้น่ะไม่ไหวแล้ว อย่าฝืนอีกเลย ฉันจะยึดเกาะแห่งความมืดของนาย และสานต่อธุรกิจให้เอง ส่วนนายก็จากไปอย่างสงบเถอะ!”

 

สิ้นเสียง แสงสีเขียวเข้มของเทพวูดูก็ปะทุอีกครั้ง

 

โล่ปราณกำลังภายในของเหอเทียนสิง เข้าต้านทานแสงเขียวเข้มนี้ ขณะเดียวกันเจ้าตัวชักดาบออกมา เข้าต่อสู้กับเทพวูดู

 

ฉินเฟิงไม่คาดคิดว่าสถานการณ์แบบนี้จะเกิดขึ้น แต่เขายังคงซ่อนกลิ่นอายเอาไว้ ไม่ปล่อยให้ทั้งสองค้นพบ

 

แน่นอน แม้วิธีการของเทพวูดูจะโหดเหี้ยม แต่จิตสังหารไม่ได้รุนแรงถึงขนาดนั้น ฉินเฟิงยังสามารถมองออก ว่าเทพวูดูเพียงต้องการผลกำไรที่มากขึ้นเท่านั้น

 

เหอเทียนสิงก็เช่นเดียวกัน อย่างไรก็ตามในเวลานี้เขาทำได้แค่กัดฟันกล่าว

 

“พอได้แล้ว! บอกมาเลยว่าแกต้องการเท่าไหร่?” เหอเทียนสิงตัดใจกล่าวด้วยความโกรธ

 

“ต้องการเท่าไหร่น่ะหรอ …. ”

 

เทพวูดูกำลังคิดว่าจะปากอ้าเหมือนสิงโตขอส่วนแบ่งมากกว่าเดิม หรือจะขอแค่หนึ่งในสิบเหมือนตอนแรกดี แต่เขายังไม่ทันเอ่ยจบ พริบตานั้น–

 

–ปรากฏเงาร่างหนึ่งกระโจนลงจากหน้าผา!