1/4

 

Ep.889 – ความยากลำบากในการยกระดับ

 

ในบรรดาสร้อยคอทั้งสองเส้นนี้ ต้องมีบางอย่างที่ทำให้ไป๋หลีรู้สึกว่ามันมีค่า แม้คนอื่นๆจะตระหนักถึงเรื่องนี้ แต่ก็ไม่มีใครเปิดเผยมันออกมา

 

ส่วนชิ้นที่เหลือ ล้วนถูกแบ่งสันปันส่วนคนละหนึ่ง และในที่สุดการประชุมก็สิ้นสุดลง

 

ระหว่างทุกคนกำลังจากไป หลงหยุนอี้เดินเข้ามา เอ่ยถาม “ฉินเฟิง กำลังภายในของคุณ สามารถบีบอัดดาราได้กี่ดวง?”

 

ย้อนกลับไปช่วงเกิดการต่อสู้ หลงหยุนอี้มีเวลาแค่ชำเลืองมองอย่างเร่งรีบ ดังนั้นเขาเลยไม่รู้ว่าฉินเฟิงมีดารากำลังภายในทั้งสิ้นกี่ดวง

 

ฉินเฟิงคิดว่าหลงหยุนอี้อยากจะรู้ความแข็งแกร่งในปัจจุบันของเขา บางทีกำลังภายในตอนนี้ของฉินเฟิง อาจเทียบได้กับผู้ใช้พลังเลเวล S9 แต่หลังจากที่เขาได้เห็นกำลังภายในจันทร์เต็มดวงของหลี่เซียว ฉินเฟิงก็ต้องยกเรื่องนี้มาคิดใหม่อีกครั้ง เพราะเหมือนกับว่าสถานการณ์จะไม่ใช่อย่างที่เขาคิด

 

ฉินเฟิงตอบ “ผมบีบอัดดารากำลังภายในได้เก้าดวง!”

 

สีหน้าของหลงหยุนอี้กลายเป็นซับซ้อน ทอดถอนหายใจ “ฉันไม่รู้ว่าในกรณีนี้มันเป็นเรื่องดีหรือร้ายสำหรับคุณ”

 

ฉินเฟิงขมวดคิ้ว กล่าวว่า “ทำไมมันถึงเป็นเรื่องร้ายสำหรับผม?”

 

ตามความคิดของฉินเฟิง ปัจจุบันกำลังภายในของเขายามปลดปล่อยออกมา มันเทียบเคียงได้เลยกับพลังของผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล S9 เพราะเหตุใดกันหลงหยุนอี้ถึงพูดแบบนี้

 

หลงหยุนอี้มองฉินเฟิงทำหน้างง อดอธิบายไม่ได้ “คุณรู้ใช่ไหมว่าหลี่เซียวมีพรสวรรค์มาก เขาได้เรียนรู้ทักษะฝึกยุทธอันเป็นเอกลักษณ์ไม่เหมือนคนอื่นๆ บวกกับได้รับการสนับสนุนอย่างหนักของตระกูลหลี่ ที่เกือบจะล้างผลาญทรัพย์สินตระกูลจนว่างเปล่า เพื่อผลักดันองค์ชายเซียว แต่หลายปีผ่านไป เขาก็ยังเป็นแค่ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล S3 เท่านั้น เนื่องจากพลังงานที่จำเป็นในการยกระดับมันมหาศาลเกินไป ขนาดเขามีดารากำลังภายในแค่สามดวงยังเป็นแบบนี้ แต่คุณมีมากกว่าเขาสามเท่า ฉะนั้นการยกระดับยิ่งยากกว่าเขาเป็นสามเท่าเหมือนกัน!”

 

“อะไรนะ!?” ฉินเฟิงเบิกตากว้าง ไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบนี้ แต่แล้วในใจของเขา ก็เกิดประกายวาบผ่านเข้ามา เหมือนจะเข้าใจอะไรบางอย่าง

 

‘ไม่น่าแปลกใจเลย ตอนที่ฉันบีบอัดดาราได้ดวงแรก ดารากำลังภายในดวงนั้นถึงเริ่มดูดซับกำลังภายในอื่นๆจากตันเถียน ถ้าฉันไม่ตัดสินใจสร้างดาราดวงอื่น กำลังภายในทั้งหมดคงถูกดูดซับไปในดวงเดียว แล้วฉันคงกลายเป็นตัวตนทรงอำนาจเลเวล S9 จริงๆ แต่ตอนนี้ ถ้าพูดให้ถูก สมควรบอกว่า ในด้านกำลังภายใน ฉันมีความแข็งแกร่งอยู่แค่เลเวล S เท่านั้น แต่ครอบครองดวงดารามากถึง 9 ดวง ในขณะที่คนอื่นไม่มี’

 

ฉินเฟิงได้ข้อสรุปเช่นนี้ แต่เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ตั้งใจจะบอกเล่าความผิดพลาดของตน

 

“แต่นอกจากอาชีพผู้ใช้วรยุทธโบราณแล้ว ผมยังเป็นผู้ใช้อบิลิตี้มืด ครอบครองอบิลิตี้ที่ไม่เหมือนใคร สามารถดูดซับพลังงานได้ ช่วยให้ยกระดับเร็วกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นบางทีสถานการณ์ของผม อาจดีกว่าสถานการณ์ขององค์ชายเซียว”

 

ฉินเฟิงอธิบายข้อดีของตนแก่หลงหยุนอี้แทน

 

“ที่แท้ก็เป็นแบบนี้!” หลงหยุนอี้พยักหน้า การยกระดับของฉินเฟิงมันเร็วเกินไป มีหลายคนต้องการตรวจสอบความลับในร่างกายของฉินเฟิง เพราะหากสามารถเลียนแบบอีกฝ่ายได้ สำหรับประชาชนทุกคนแล้ว มันจะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง บางทีอาจเปลี่ยนโครงสร้างทั้งหมดของพันธมิตรหัวเซี่ยได้เลยด้วยซ้ำ

 

ถึงเวลานั้น คงปรากฏลูกรักของพระเจ้าขึ้นทุกหนแห่ง กลายเป็นยุคที่มีอัจฉริยะไม่ต่างจากหมาแมว

 

ในช่วงกลางของการต่อสู้ที่ผ่านมา ฉินเฟิงสังหารเลเวล S แค่คนเดียว ก็สามารถยกระดับจากเลเวล B8 เป็นเลเวล A ได้ ดังนั้นไม่ว่าใครก็อยากตรวจสอบ

 

เวลานี้ฉินเฟิงได้ยอมเปิดเผยความลับบางส่วนของตัวเองแล้ว แต่ข้อมูลลึกลงไปของความลับเหล่านี้ ไม่ใช่สิ่งที่คนอื่นจะสามารถเข้าถึงได้ ดังนั้น เดี๋ยวคนที่คอยแอบสอดแนมเขา จะค่อยๆยอมแพ้ไปเอง

 

ผู้ใช้อบิลิตี้มืดมีเทคนิคดูดซับพลังงานจากคนอื่นได้ แต่บุคคลดังกล่าว สามารถฝึกฝนวรยุทธโบราณได้หรอ? สามารถเพิ่มพูนความแข็งแกร่งทางกายภาพเหมือนเขาได้รึไง?

 

อย่างไรก็ตาม หากฉินเฟิงหลุดปากเรื่องตนมีทักษะลับกลืนดารา น่ากลัวว่าตัวตนทรงอำนาจในเลเวล S ทุกคนคงปรารถนาจะช่วงชิงมัน!

 

ฉินเฟิงไม่หวาดกลัวคนเหล่านั้นก็จริง แต่เขาไม่ต้องการให้เกิดการฆ่าฟันมากเกินไป ทุกการเคลื่อนไหวของเขา ล้วนก่อให้เกิดปรากฏการณ์ผีเสื้อขยับปีก สังหารผู้ใช้พลังเลเวล G ย่อมแทบไม่ก่อผลกระทบใดๆ แต่หากสังหารเลเวล S เกรงว่าคงไม่ต่างไปจากการสร้างคลื่นสึนามิลูกใหญ่

 

แน่นอน นี่ยังไม่นับรวมเรื่องที่มีเลเวล S บางส่วน มีแผนจะฆ่าฉินเฟิง

 

ความคิดเหล่านี้ในใจ วาบผ่านเข้ามาเพียงพริบตา ฉินเฟิงกับหลงหยุนอี้สนทนากัน ทุกสิ่งล้วนเกี่ยวข้องกับเรื่องวรยุทธโบราณ

 

กระทั่งในตอนท้าย หลงหยุนอี้ก็ยังถาม เหตุใดฉินเฟิงจึงบีบอัดดาราถึง 9 ดวงได้

 

ณ จุดนี้ มันเกี่ยวพันธ์ถึงความลับของฉินเฟิง

 

“ไม่ใช่ว่าฉันอยากสอดรู้สอดเห็น แต่ท้ายที่สุดแล้ว ฉันสามารถมาถึงเลเวล S ได้เป็นที่เรียบร้อย แต่ยังมีลูกหลานอีกหลายคน ที่ไม่สามารถยกระดับกำลังภายในไปถึงเลเวล S ได้ ดังนั้น ฉันคิดว่าบางทีหากได้รับข้อมูลจากคุณ อาจมีวิธีช่วยพวกเขาได้!”

 

คำพูดของหลงหยุนอี้ เป็นจริงเป็นจังมาก

 

ยิ่งไปกว่านั้น หลงถิงยังสนับสนุนฉินเฟิง ให้เขาเลือกสร้อยมิติเป็นคนแรก และฉินเฟิงก็น้อมรับความโปรดปรานนี้แล้ว ฉะนั้นอย่างน้อยควรให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์แก่ตระกูลหลง

 

“ก่อนหน้านี้ผมได้รับผลึกชีพจรธรณีมาเป็นจำนวนมาก อาจพูดได้ว่าผมไปขุดเหมืองผลึกชีพจรธรณีมาก็ได้ ผมเป็นคนแรกที่เจอมัน และผมใจร้ายไม่แบ่งปันใคร ใช้พวกมันขยายความจุของตันเถียน เพราะแบบนี้เลยแข็งแกร่งกว่าคนอื่นๆ นอกจากนี้ยังได้รับบัวหิมะหยกเยือกแข็งแปดกลีบจากท่านผู้ใหญ่หูซาน … ”

 

ฉินเฟิงอธิบายกระบวนการยกระดับของเขากึ่งจริงกึ่งโกหก ระหว่างรับฟัง หลงหยุนอี้พยักหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่ว่าจะเป็นผลึกชีพจรธรณี หรือดอกบัวหิมะหยกเยือกแข็ง สำหรับเลเวล S ไม่ใช่สิ่งที่ยากจะเฟ้นหา

 

ยิ่งไปกว่านั้น อาจหาของที่มีประสิทธิภาพดีกว่าได้ด้วยซ้ำ

 

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายหลงหยุนอี้ถอนหายใจ “บางทีที่คุยกันมาอาจไม่ใช่ปัญหาหลัก แต่สิ่งสำคัญที่สุดก็คือ คุณไม่เพียงเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ แต่ยังเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ด้วย ดังนั้นพลังสมาธิเลยแข็งแกร่ง เลยสามารถควบคุมกำลังภายในได้อย่างยอดเยี่ยม นี่คือเหตุผลที่คุณสร้างดารากำลังภายในได้มากมาย บางทีมันอาจเป็นของขวัญที่พระเจ้าประทานให้!”

 

“ถ้าอย่างนั้น มีเวลาว่างเมื่อไหร่ ผมคงต้องไปขอบคุณพระเจ้าซักหน่อยแล้ว!”

 

ทั้งสองหัวเราะออกมา หลังจากจบการหารือ ฉินเฟิงก็เดินทางไปที่พักที่หลงถิงจัดเตรียมไว้ให้

 

หรือจะพูดอีกอย่างว่า ต่อจากนี้ไป ที่นี่จะเป็นที่อยู่อาศัยของฉินเฟิง

 

มันคือคฤหาสน์เดี่ยว

 

แม้ปัจจุบันฉินเฟิงจะมีสองเมืองอยู่ในครอบครอง และอีกสี่เมืองคอยบริหารดูแล และในแต่ละเมืองต้องมีที่พำนักของเขา ทว่าท้ายที่สุดแล้วมันคือเมือง ต้องพิจารณาถึงความต้องการของประชาชนอีกมากมาย ไม่สามารถสร้างที่พักให้มีขนาดใหญ่โตมากเกินไปได้

 

ทว่าบ้านหลังนี้อยู่บนชั้นสิบของเมืองหลวงมังกร ฉะนั้นไม่ได้อยู่ในรูปแบบวิลล่าติดๆกันอย่างแน่นอน ตรงกันข้าม พื้นที่ของมันมีขนาดใหญ่พอๆกับภูเขามืดซึ่งเป็นสถานที่ตั้งเดิมของสถานชุมชนเฟิงหลี มันกว้างซะจนไม่เห็นว่ามีใครพักอาศัยอยู่ใกล้ๆ มันดีกว่าสถานที่ที่หนานกงชิเคยเป็นเจ้าภาพเลี้ยงฉินเฟิงซะอีก

 

เพราะที่นี่ คือที่พักของเลเวล S ยิ่งไปกว่านั้นเพื่อนบ้านรอบๆ ทุกคนล้วนเป็นตัวตนทรงอำนาจเลเวล S!

 

และทั้งหมดทั้งมวลที่ฉินเฟิงสามารถอยู่ที่นี่ได้ เพราะเขาได้รับตำแหน่งจอมพล!

 

ฉินเฟิงพาไป๋หลีเยี่ยมชมคฤหาสน์ของพวกเขา จากนั้นก็เข้าไปยังห้องฝึกยุทธ หยิบเอาหนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ขึ้นมา

 

“คำพูดของปรมาจารย์หลง ได้ย้ำเตือนฉันแล้ว บางทีคงเป็นเพราะฉันครอบครองพลังสมาธิที่แข็งแกร่ง นั่นคือเหตุผลที่ฉันสามารถสร้างดาราเก้าดวงได้ และอาจเป็นทั้งคนแรกและคนสุดท้าย!”

 

เมื่อคิดเช่นนี้ในใจ ฉินเฟิงก็เริ่มฝึกฝนหนทางสู่เจตจำนงศักดิ์สิทธิ์ การฝึกนี้ ไม่สามารถละทิ้งได้

 

แต่ประเด็นสำคัญที่เขาเลือกฝึกฝนในเวลานี้ก็คือ เพราะฉินเฟิงต้องรอหลงถิงมอบเหรียญตราจอมพลให้อย่างเป็นทางการ กระนั้นด้วยผลงานที่ฉินเฟิงสร้างขึ้น เกรงว่าปัจจุบัน คงมีผู้คนนับไม่ถ้วนต้องการเข้าหาฉินเฟิง เขาเลยเลือกเก็บตัวฝึกฝน คร้านเกินกว่าจะสนทนากับคนเหล่านั้น

 

และอีกอย่าง ในช่วงเวลานี้ ฉินเฟิงยังมีแผนจะลงมือครั้งใหญ่!

 

“เหอเทียนสิง ด้วยสถานะของฉันในตอนนี้ อยากจะรู้จริงๆว่าแกยังจะหาเรื่องฉันได้อีกไหม” ในแววตาของฉินเฟิง ประกายเย็นเยียบสะท้อนออกมา

 

*(หลี่เซียวมีดารากำลังภายในมากกว่าคนอื่นๆ ดังนั้นมีโอกาสเป็นจ้าวเหนือหัวมากกว่าคนอื่นๆ)