4/4

 

Ep.836 – สมรภูมิธารโลหิต

 

ฉินเฟิงยกระดับอีกครั้งและอีกครั้ง จนพลังสมาธิของเขาขึ้นมาถึงเลเวล B6

 

เวลานี้ แรงสั่นสะเทือนของรอยแยกมิติได้หายไปแล้ว บริเวณโดยรอบกลับคืนสู่เสถียรภาพชั่วคราว เหลือเพียงรอยแยกมิติขนาดใหญ่ไม่กี่แห่งที่ยังคงอยู่ ฉากนี้ราวกับว่าโลกใบนี้ปริร้าว บนผืนฟ้ากระจายไปด้วยหลุมอากาศขนาดใหญ่ ที่เชื่อมต่อกับอีกมิติหนึ่ง และมีสัตว์ร้ายหลุดเข้ามาบ้างเป็นครั้งคราว

 

ส่วนบรรดาผู้คนจากทางแอฟริกาเหนือ พลังสมาธิของพวกเขาถูกถอนกลับ ใช้เพียงดวงตาของตนเองเฝ้ามองฉินเฟิงอย่างระแวดระวัง เพราะอย่างไรเสียฉินเฟิงเพิ่งยกระดับถึงสองครั้งซ้อน ดังนั้นเร่งสลายพลังสมาธิ ไม่กล้าแอบตรวจสอบชายคนนี้อีก

 

นี่มันสัตว์ประหลาดประเภทไหนกัน?

 

การต่อสู้ระหว่างสองฝ่าย หนึ่งคือสัตว์เทวะเลเวล A2 อีกหนึ่งคือเผ่าพันธุ์ทรงภูมิปัญญาเลเวล A แต่ฉินเฟิงกับไป๋หลี … มนุษย์เพียงสองคนร่วมมือกัน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าสามารถคว้าชัยชนะมาได้จริงๆ แถมทักษะต่างๆที่พวกเขาปลดปล่อยออกมา ยังทรงพลังพอๆกับผู้ใช้พลังเลเวล A

 

ขณะนี้ ถ้าจะให้บอกว่าใครรู้สึกเหลือเชื่อมากที่สุด คงไม่พ้นคลิฟส์

 

‘นี่มันบ้าอะไรกัน? ก่อนหน้านี้เห็นอยู่ชัดๆว่าเขาเป็นผู้ใช้วรยุทธโบราณ อบิลิตี้มืดที่ฉันรู้สึกในตอนแรกไม่ใช่เกิดจากอุปกรณ์รูนหรอกหรือ? ทำไมตอนนี้เขาถึงเปลี่ยนเป็นผู้ใช้อบิลิตี้ไปได้ แถมยังแข็งแกร่งมากซะด้วย’

 

นี่คือสิ่งที่คลิฟส์คิด แต่หลังจากเห็นว่ามิติกลับมามีเสถียรภาพแล้ว เขาก็รีบพาเครื่องบินลำใหญ่ของตน ขับออกจากอาณาเขตคุ้มครองกลุ่มเฟิงหลีทันที เดินเครื่องหนีไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะไกลได้ และขอบอกเลยว่าในตอนนี้ เขาไม่เหลือเจตนาที่จะสร้างปัญหาแก่ฉินเฟิงอีกแล้ว

 

นอบน้อมเข้าไว้ หุบปากให้เงียบ เพราะตอนนี้คลิฟส์จะมีชะตากรรมอย่างไรต่อไป ทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับกลุ่มเฟิงหลี!

 

ลูกเรือบนเรือเหาะ เมื่อเห็นคลิฟส์เร่งจากไป ก็พากันระเบิดเสียงหัวเราะเยาะอย่างบ้าคลั่ง

 

“เอาล่ะๆ หยุดหัวเราะได้แล้ว ไปเก็บสมบัติกันต่อ!” ไป๋หลีสั่งการ

 

“รับทราบท่านผู้ใหญ่ไป๋”

 

กลุ่มเฟิงหลีคึกคัก กลับมาวุ่นวายอีกครั้ง

 

ทางด้านฉินเฟิง เขาหยิบมีดกษัตริย์ครามออกมา วิญญาณจองจำไม่ได้ถูกกระตุ้นโดยกำลังภายใน ดังนั้นไม่มีอะไรผิดแผกจากปกติ สิ่งเดียวที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า คือจิตวิญญาณที่กำลังถูกดูดซับเข้ามาโดยมีดกษัตริย์คราม

 

ฉินเฟิงชำแหละศพสัตว์เทวะเลเวล A ด้วยมีดในมือ คว้านเอาแก่นอบิลิตี้ของอีกฝ่ายออกมา

 

เอาจริงๆสัตว์เทวะตัวนี้น่ะโคตรจะแข็งแกร่ง มันแค่โชคไม่ดีที่ได้พบกับอสูรโลหิตก็เท่านั้น สุดท้ายเลยต้องจบชีวิตลงอย่างน่าอนาถ ซึ่งอ้างอิงตามอำนาจของมันแล้ว เอาจริงๆแข็งแกร่งยิ่งกว่ามังกรไฟโม่ลี่ซะอีก

 

แต่ก็นะ นี่แหละหนอคือข้อด้อยข้อเสียของความแตกต่างระหว่างเผ่าพันธุ์

 

“ด้วยแก่นอบิลิตี้สัตว์เทวะก้อนนี้ ช่วงเวลาที่ฉันจะตัดผ่านเข้าสู่เลเวล A มันสามารถช่วยยกระดับให้ก้าวไปถึงระดับเทวะได้!”

 

นี่คือแก่นสัตว์เทวะชิ้นที่สองที่ฉินเฟิงได้รับ อย่างเขมือบฟ้าในตอนแรกน่ะไม่นับ มันเพียงเกือบได้กลายเป็นสัตว์เทวะเท่านั้น ยังถือว่าอยู่ในระดับจักรพรรดิสัตว์ร้าย ชิ้นแรกที่ได้ครอบครองจริงๆ คือแก่นที่ซื้อมาจากบ้านประมูลของคลับมังกรดำ แต่นั่นมอบให้ไป๋หลีไปแล้ว

 

อย่างไรก็ตาม ชิ้นนี้ฉินเฟิงมีสิทธิ์ในการเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง เนื่องจากเป็นแก่นอบิลิตี้สัตว์เทวะที่เขาล่ามาได้ด้วยตัวเอง

 

การดำรงอยู่ระดับสัตว์เทวะ ในมิติแห่งหนึ่ง มีแทบจะนับนิ้วได้ เพราะท้ายที่สุดแล้ว ทรัพยากรของมิติๆหนึ่ง มันไม่สามารถช่วยยกระดับให้เกิดการวิวัฒนาการสู่ระดับเทวะได้มากนัก

 

ครั้งนี้ ถือว่าเป็นการพบพานโดยบังเอิญ แต่ฉินเฟิงรู้ดี ว่าในมิติแห่งนี้ สัตว์เทวะที่กำลังก้าวเข้ามา จะมีมากขึ้น และมากขึ้นยิ่งกว่านี้

 

เพราะอย่างไรเสีย ภายในมิติล่มสลาย ตัวตนที่สามารถหลบหนีออกมาจากที่นั่นได้ ย่อมไม่พ้นเป็นตัวตนทรงพลัง ผู้อ่อนแอคงตายอยู่ข้างในไม่เหลือแล้ว

 

หลังเสร็จสิ้นการชำแหละสัตว์เทวะ ฉินเฟิงวาดมือ สลายอบิลิตี้มืดลง หุ่นเชิดแห่งความตายที่เหลืออยู่ สูญสิ้นการควบคุม ร่วงกราวลงกับพื้น

 

พลังสมาธิของฉินเฟิงถูกปลดปล่อยอีกครั้ง แก่นพลังงานบินออกมาจากเหล่าหุ่นเชิดแห่งความตาย

 

หุ่นเชิดแห่งความตายผุผังเน่าเปื่อย ไม่มีค่าอีกต่อไป อย่างไรก็ตาม พลังงานในร่างกายของพวกมันได้กลั่นรวมเข้าด้วยกันในแก่นพลังงานนี้แล้ว

 

อาจกล่าวได้ว่า บนฐานที่ราบซึ่งถูกสร้างโดยสัตว์เทวะ ซากศพของสัตว์ร้ายนับพัน ทั้งหมดถูกกลืนกินโดยฉินเฟิงแต่เพียงผู้เดียว

 

กระนั้น ไม่มีใครคิดเอ่ยปากท้วงติงอะไร

 

แต่ในที่ลับ หลายคนกำลังสนทนากัน

 

“คลิฟส์ ก่อนหน้านี้นายขอให้พวกเราร่วมมือกันกำจัดชายคนนี้ แต่เห็นอยู่ชัดๆว่าเขาเป็นผู้ใช้อบิลิตี้มืด แถมดูจากการควบคุมหุ่นเชิดแห่งความตาย ก็พอระบุได้ว่าเชี่ยวชาญถึงระดับปรมาจารย์แล้ว!”

 

“นั่นสิ แม้ฉันจะไม่รู้ว่าทำไมมิตินี้ถึงเป็นแบบนี้ก็เถอะ แต่ที่แน่ๆมีซากศพเต็มไปหมด สภาพแวดล้อมนี่ไม่ต่างจากสวรรค์สำหรับเขา!”

 

“น่ากลัวจริงๆ เห็นเทคนิคหมื่นศพย่างกรายเมื่อกี้ไหม มีศพตั้งมากมายลุกขึ้นมา จำนวนขนาดนั้นสามารถสร้างกระแสกองทัพสัตว์ร้ายได้เลย แล้วแบบนี้พวกเราจะไปสู้กับเขาได้ยังไง!”

 

“คลิฟส์ ไอ้สารเลว เกือบพาพวกเราซวยไปด้วยแล้วไง จิตสำนึกของนายคงถูกหมาคาบไปกินหมดแล้วใช่ไหม!”

 

หลายคนร่วมกันประณามคลิฟส์ แต่ตอนนี้คลิฟส์เต็มไปด้วยความขมขื่น ไม่อาจเอ่ยปากโต้เถียงได้ ก็ใครจะรู้ว่าการต่อสู้กับฉินเฟิงในตอนแรก อีกฝ่ายจะยังเก็บงำไพ่ในมือเอาไว้เล่า?

 

ความแข็งแกร่งของฉินเฟิงในตอนแรก เห็นๆกันอยู่ว่าเป็นแค่ผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล B2 อีกอย่างตอนแรกพวกแกก็เห็นดีเห็นงามด้วยไม่ใช่หรอ!

 

อย่างไรก็ตาม หากเป็นปรมาจารย์เชิดหุ่นแห่งความตายเลเวล B ทุกอย่างจะต่างออกไป เพราะถ้าอีกฝ่ายดันบังเอิญเจอศพเลเวล S เข้า แล้วสามารถเชิดศพได้ นั่นถือเป็นภัยคุกคามร้ายแรงเกินไป!

 

สิ่งที่โชคดีก็คือ การปิดล้อมโจมตีที่คุยกันไว้ไม่ทันเกิดขึ้น แถมยังมีหลายคน เลือกเข้ามาทักทายฉินเฟิงอย่างเป็นมิตร มีแม้กระทั่งจับเข่าคุย ต้องการทราบถึงสถานะของฉินเฟิง

 

ฉินเฟิงไม่ได้เป็นศัตรูกับคนเหล่านี้ ดังนั้นไม่แสดงความเป็นปรปักษ์มากเกินไป อีกอย่างมิติธารโลหิตกว้างขวางมาก ที่ฉินเฟิงเดินทางมาที่นี่ ไม่ใช่แค่เก็บกู้ศพเท่านั้น

 

อสูรโลหิตต่างหาก คือจุดประสงค์ที่แท้จริงของเขา!

 

หลังจากกวาดซากศพบนยอดเขา ฉินเฟิงก็กลับมายังเรือเหาะ ระหว่างสมาชิกคนอื่นๆของสหภาพสาธารณรัฐแอฟริกากำลังประณามคลิฟส์ ฉินเฟิงก็ออกจากบริเวณประตูทางเข้าของมิติธารโลหิตแล้ว

 

“มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เพิ่งเกิดรอยแยกมิติขึ้น” ฉินเฟิงกล่าว

 

เรือเหาะเปลี่ยนทิศทาง ยานรบข้างล่างทยอยกันขับตามไป เมื่อเห็นสัตว์ร้ายทรงพลัง ก็เก็บกู้ซากศพพวกมัน ยังไงก็ตาม สมาชิกในยานรบเพิ่มความระมัดระวังขึ้นแล้วในตอนนี้ แม้พวกเขาจะรู้ว่าบนยานรบและอุปกรณ์รูน มีการติดตั้งอักษรรูนมืดคอยปกป้องตนเอาไว้ แต่ก็ไม่กล้าประมาท หลังผ่านพ้นเหตุการ์ทับซ้อนของมิติล่มสลาย และได้รู้ข้อมูลเกี่ยวกับสิ่งมีชีวิตเช่นอสูรโลหิตและหนอนโลหิต พวกเขาก็กระจ่างแก่ใจ ว่าสถานที่แห่งนี้น่ากลัวเพียงใด

 

เรือเหาะและยานรบมุ่งหน้าไปตลอดเส้นทาง เดินทางยาวนานกว่าครึ่งชั่วโมง จนสองภูเขาหายไป ปรากฏพื้นดินซึ่งเป็นที่ราบสู่สายตา เปิดมุมมองใหม่แก่พวกเขา

 

ที่ราบสีแดงเลือดปรากฏขึ้นเบื้องหน้า และจากระยะไกลออกไป หลายคนได้ยินเสียงร้องตะโกนของการฆ่าฟัน

 

ฉินเฟิงทอดสายตายาวออกไป และพบกับเมืองพังทลาย ตึกรามถล่ม มนุษย์นับไม่ถ้วนกำลังเข่นฆ่าต่อสู้อย่างบ้าคลั่ง หลายคนสวมชุดเดียวกัน แต่ตอนนี้กำลังหันดาบฟาดฟันกันเอง หากสังเกตดีๆ จะพบว่าในบรรดาคนที่กำลังต่อสู้กัน มีฝ่ายหนึ่งถูกปกคลุมไปด้วยสีแดงฉาน และมีเลือดไหลออกมา

 

เกรงว่ามนุษย์พวกนั้นคงถูกครอบงำโดยอสูรโลหิต การเข่นฆ่าจึงเริ่มต้นขึ้น

 

“สมรภูมิธารโลหิต!”

 

ที่นี่ ในชีวิตก่อนของฉินเฟิง มีชื่อเสียงขจรขจายไปทั่ว บางทีมันอาจเป็นตำแหน่งทับซ้อนที่ใหญ่ที่สุดของมิติล่มสลาย ที่ระนาบลงมาสู่มิติธารโลหิตก็ได้

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว มีมนุษย์ร่วงตกลงมาตลอดเวลา ขณะเดียวกันอสูรโลหิต แม้ยังเหลืออีกมากซ่อนอยู่ในเงามืด แต่ที่เห็นจากสายตาคร่าวๆ คาดว่ามีจำนวนมหาศาล

 

อ้างอิงตามข้อมูลจากในชีวิตก่อน หลังจากนี้ไม่นาน ผู้คนจากทั้งพันธมิตรมนุษย์และพันธมิตรองค์กรมืดต่างเข้าร่วมสมรภูมินี้ ส่งผลให้เกิดความโกลาหลอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

 

ฉากเบื้องหน้าถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสนามรบนองเลือด!

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่เกิดขึ้นในสมรภูมิแห่งนั้น ไม่ได้มีแค่อสูรโลหิต แต่ยังมีสมบัติในตำนานที่เหลือทิ้งไว้จากมิติล่มสลายอยู่ด้วยเช่นกัน

 

สมบัติระดับเทวะที่เทียบเท่าหรือเหนือยิ่งกว่าเลเวล S อาจปรากฏขึ้น!

 

“ผมกับไป๋หลีจะลงไปข้างล่าง พวกคุณก็คอยปกป้องตัวเองให้ดี” ฉินเฟิงสั่งการน้ำเสียงเฉียบขาด

 

“รับทราบ!”