โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.419 – กฏสงคราม

 

กริมที่ยังเหลือ รู้สึกราวชีวิตตนถูกแขวนอยู่บนเส้นด้าย นิ่งงันมิกล้าขยับไหว

 

ขณะเดียวกัน ณ เส้นขอบฟ้า ดวงอาทิตย์เริ่มโผล่ขึ้นมา ความมืดมิดถูกปัดเป่า ผืนดินถูกปกคลุมไปด้วยแสง

 

ภายในสถานชุมชนที่ 3 เลือดและซากศพเริ่มเผยโฉมออกมา เปลี่ยนฉากนี้ให้ราวกับเป็นทุ่งสังหาร

 

แต่สิ่งที่ทุกสิ่งมีชีวิตต่างจดจ้อง กลับเป็นจำนวนเผ่ากริมบนท้องฟ้า ที่บัดนี้กระจุกตัวกันเหลือแค่กลุ่มเดียวเท่านั้น

 

“อ๊าาาาาา” ทหารกริมตนหนึ่งส่งเสียงร้องเศร้าสลดออกมา

 

ต่อสู้มาจนถึงบัดนี้ พวกมันถึงค่อยค้นพบ ว่าสหายร่วมชาติพันธุ์ของตน เหลืออยู่ไม่มากแล้ว

 

“พวกเราถอย!”

 

เผ่ากริมส่งสัญญาณผ่านจิตสำนึก และสัญญาณนี้ ไม่ว่าจะทหารกริมที่เหลืออยู่ หรือมนุษย์ก็ล้วนได้ยินกันถ้วนหน้า

 

ฝ่ายมนุษย์กลายเป็นตกตะลึง

 

ส่วนใหญ่ที่สามารถเข้าไปซ่อนตัวอยู่ในสถานหลบภัยได้แล้ว รีบหยิบอุปกรณ์สื่อสาร และพบว่าเหลือโดรนอยู่เพียงตัวเดียวที่ช่วยให้พวกเขาเห็นสถานการณ์ที่เกิดขึ้นภายนอก–

 

–ท่ามกลางซากปรักหักพังของสถานชุมชนที่ 3 ทหารกริมกำลังบินล่าถอยออกไป จำนวนของพวกมันเบาบางลงมาก มากจนพอที่จะสามารถนับได้ด้วยตาเปล่า

 

ผลลัพธ์จากสงคราม เผ่ากริมหลงเหลืออยู่แค่ 200 – 300 ตัวเท่านั้น

 

ส่วนกวงเว่ยกับซื่อฉิง ยังคงพัวพันอยู่กับกริมบางส่วน แต่การเคลื่อนไหวของพวกเขาเชื่องช้าลงอย่างเห็นได้ชัด

 

อย่างไรก็ตาม แรงกดดันของพวกเขายังคงแข็งแกร่ง มิอ่อนโทรมลง

 

เมื่อเห็นกองทัพกริมถอย ซื่อฉิงกับกวงเว่ยก็ผ่อนลมหายใจยาวด้วยความโล่งอก

 

กองทัพกริมบินห่างทิ้งห่างออกไป ผู้ใช้พลังเลเวล B มิได้ไล่ติดตาม

 

ขณะนี้ ผู้ใช้พลังที่ซ่อนอยู่เริ่มทยอยกันออกมา พวกเขาทั้งหมดทำแค่เพียงมอง มิกล้าไล่ตามไปเช่นกัน

 

เพราะท้ายที่สุดแล้ว ปัจจุบันพวกเขาเหลือเลเวล C อยู่แค่ไม่กี่สิบคนเท่านั้น แม้เลเวล D จะรอดนับพันคนก็ตาม แต่หากเทียบกับจำนวนในตอนแรก ถือว่าน้อยลงจนน่าใจหาย

 

“นายพลหวัง ไม่เป็นไรใช่ไหม?” ฉินเฟิงเอ่ยถามหวังโจว

 

หวังโจวสูดหายใจลึก รู้สึกเกร็งไปทั้งร่าง โดยเฉพาะบนหัวไหล่ มันเจ็บจนแทบทนไม่ไหว

 

“ไม่เป็นไร ขอบคุณสำหรับการช่วยเหลือในครั้งนี้ คุณไปเก็บกวาดสนามรบเถอะ”

 

“งั้นผมก็วางใจ ขอตัวก่อน” ฉินเฟิงพยักหน้า วาดมือเผาศพกริมเหล่านั้น ใช้พลังสมาธิรวบรวมเอาแก่นพลังงานมา และจากไป

 

สงครามสิ้นสุดลงแล้ว ผู้ใช้พลังถึงเวลาเก็บกวาดเพื่อหาสินสงครามสร้างขวัญกำลังใจให้แก่ตนเอง

 

เนื่องจากสถานชุมชนถูกจัดเตรียมเอาไว้สำหรับสงครามล่วงหน้าแล้ว ดังนั้นพอถึงช่วงเวลาเก็บกวาด มันเลยเป็นไปอย่างง่ายดาย

 

ในส่วนรับผิดชอบของทหารรับจ้างเฟิงหลี ถนนของพวกเขาเกลี้ยงเกลา ไม่มีอะไรให้ต้องจัดการ

 

เพราะในทุกๆครั้งที่ทหารกริมบุกเข้ามา และจบการต่อสู้ ฉินเฟิงจะเผาศพของพวกมันทันที และรวบเอาแก่นพลังงานไป

 

อย่างไรก็ตาม หากสังเกตดูดีๆ จะพบว่าในเวลานี้มีถนนหลายสายว่างเปล่า เนื่องจากเลเวล C และ D ส่วนใหญ่ที่รับผิดชอบตรงจุดนั้นได้ตายไปจนหมดแล้ว

 

และอุปกรณ์รูนมิติของพวกเขา ก็จะตกเป็นของส่วนกลาง กลายเป็นรางวัลชนิดหนึ่งไปโดยปริยาย

 

การกระทำเช่นนี้ แม้จะโหดร้าย แต่ต้องคำนึงถึงผู้ใช้พลังที่ยังเหลือรอดอยู่ด้วย พวกเขาสมควรได้รับรางวัลปลอบขวัญ

 

โชคลาภจากคนตาย … หากคิดเพียงในแง่เม็ดเงินที่ว่ามหาศาล!

 

ใครมาก่อนก็ได้ก่อน ช่วงเวลานี้มือใครยาวสาวได้สาวเอา!

 

สมาชิกทหารรับจ้างเฟิงหลี แยกตัวกระจายกันออกไป เก็บเกี่ยวสินสงคราม

 

สำหรับหัวใจหลักในการต่อสู้ย่อมไม่พ้นฉินเฟิง และไม่คาดคิดเลย หลังจากนับยอดความเสียหายแล้ว ผลปรากฏว่าสมาชิกทหารรับจ้างเฟิงหลี ไม่มีใครตายเลยสักคนเดียว แม้จะมีได้รับบาดเจ็บสาหัสถึงสามคน แต่เมื่อเทียบกับกองทหารรับจ้างกลุ่มอื่นๆที่แทบจะกลายเป็นพิการอยู่แล้ว ถือว่าดีกว่ามาก

 

ฉินเฟิงเริ่มออกเก็บกวาดถนนสายอื่น ในระหว่างที่ยังไม่มีใครอยู่ เขาเผาศพทหารกริมอย่างรวดเร็ว และเริ่มตรวจหาตามร่างไร้วิญญาณของผู้ใช้พลัง

 

เมื่อถึงจุดนี้ คิ้วของฉินเฟิงเริ่มย่นเข้าหากัน

 

พลังสมาธิของเขาแข็งแกร่งมาก ดังนั้นจึงสามารถเลือกถนนเส้นที่ยังไม่เคยมีใครเข้ามาเก็บกวาดได้อย่างสบายๆ แต่เมื่อมาถึง เขากลับพบว่าบนศพผู้ใช้พลัง มันไม่มีอุปกรณ์รูนมิติอยู่เลย

 

หรือต่อให้มี เกือบทั้งหมดล้วนได้รับความเสียหาย!

 

ฉินเฟิงเริ่มย้อนนึกไปถึงเรื่องที่ตนสามารถเก็บอุปกรณ์รูนมิติจากค่ายชั่วคราวของกริมก่อนหน้านี้

 

คล้ายกับมีลางสังหรณ์ร้ายชนิดหนึ่งวาบเข้ามาในหัวใจ

 

“หวังว่าจะไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ”

 

ขณะนั้นเอง ติ๊ด! ติ๊ด! ติ๊ด! อุปกรณ์สื่อสารของฉินเฟิงได้ดังขึ้น

 

“หัวหน้า รีบมาทางนี้เร็วเข้า พวกเรากับกลุ่มเล่ยถังมีปัญหากันอีกแล้ว!” เกาลี่ส่งข้อความมา

 

สถานชุมชนที่ 3 มิได้ใหญ่โต พลังสมาธิของฉินเฟิงกวาดไปก็เจอตำแหน่งของเกาลี่ทันที

 

ฉินเฟิงกับไป๋หลีแยกกันเก็บกวาดสินสงคราม ดังนั้นเมื่อเขามาถึง ไป๋หลีก็ถึงก่อนแล้ว

 

“หรือว่าคุณต้องการสู้กับฉัน?” ไป๋หลีดึงแส้มิติขึ้นจากเอวของเธอ “อยากไปเยี่ยมยมบาลแล้วใช่ไหม?”

 

ใบหน้าของเล่ยหยิงเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด

 

เนื่องจากไป๋หลีเป็นสัตว์ร้าย ดังนั้นมีอารมณ์ร้อนกว่าคนธรรมดา เห็นอยู่ชัดๆว่าเธอสวยราวกับนางฟ้า แต่กลับครองครอบพละกำลังอันแข็งแกร่ง แกร่งจนน่าใจหาย

 

ในเวลานี้ คนที่ยังพอสู้ได้ฝั่งเล่ยถังมีเล่ยหยิงเพียงคนเดียว เขารู้สึกโกรธเกรี้ยวเป็นอย่างมาก

 

แค่ฉินเฟิงคนเดียว ก็ทำให้เขาไม่อาจข่มอารมณ์โกรธได้แล้ว แต่นี่ยังมีไป๋หลีที่หน้าตาใสซื่อ แต่กลับกล่าววาจาร้ายกาจใส่เขาอีก

 

“จะโอหังเกินไปแล้ว!”

 

ความโกรธของเล่ยหยิงปะทุถึงขีดสุด

 

แขนยักษ์พลันผุดขึ้นกลางอากาศอันบางเบา เล่ยหยิงคว้าจับมันไว้ด้วยมือข้างขวาของเขา แก่นอบิลิตี้ส่งพลังงานมหาศาลออกมา บ่งบอกว่ามันเป็นวัตถุดิบระดับราชันย์เลเวล D

 

ถุงมืออุปกรณ์รูนของเขา เปล่งประกายแสงสีม่วง ปลดปล่อยแรงกดดันแข็งกร้าว

 

“เชื่อไหมว่าฉันสามารถใช้สายฟ้าผ่าเธอจนกลายเป็นขี้เถ้าได้!”

 

ไป๋หลีไม่สนคำขู่

 

วินาทีต่อมา แส้มิติเหวี่ยงสะบัดออกไป

 

ท่ามกลางแสงสีเงิน ชั้นอากาศเริ่มปริร้าว รอยแยกแห่งมิติเวลาผุดออกมา

 

เล่ยหยิงสะดุ้งตกใจ ดีดตัวถอยห่างทันที

 

“นี่เธอกล้า!”

 

ไป๋หลีโจมตีใส่เขาจริงๆ!

 

ต้องรู้นะว่า ทางพันธมิตรมนุษยชาติมีกฏข้อบังคับเอาไว้ ว่าหลังจบสงคราม จะต้องไม่มีการต่อสู้เพื่อแย่งชิงผลประโยชน์กัน

 

เมื่อเรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ แรงกดดันมหาศาลพลันปกคลุมอยู่เหนือศีรษะของฝูงชน

 

กลิ่นอายเย็นยะเยือก กวาดกระพือลงไป ชวนให้ผู้คนรู้สึกราวกับกำลังต้องลมในฤดูหนาว ทั้งๆที่นี่คือเช้าในช่วงเดือนพฤษภาคม

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน? อุส่าห์รอดชีวิตจากการสงครามมาได้ ยังไม่พอใจอีกหรือ? ทั้งยังพยายามคิดจะสังหารผู้อื่นอีก!”

 

–เป็นกวงเว่ย!

 

ผู้ใช้พลังมากมายหันไปทำความเคารพกวงเว่ย

 

“นายพลกวง!”

 

เล่ยหยิงราวกับพบพระมาโปรด สีหน้าทะมึนของเขาฝืนฉีกยิ้มที่ดูบิดเบี้ยวออกมา

 

“นายพลกวง คุณก็เห็นใช่ไหม พวกเขาเป็นฝ่ายเริ่มก่อน!”

 

ช่วงเวลานี้ ฉินเฟิงก้าวเข้ามาเอ่ยแทรก

 

“เธอแค่ขู่ให้คุณกลัว แต่ไม่คิดเลยว่าความอาจหาญของประธานเล่ยจะมีอยู่เพียงน้อยนิด จริงๆแล้วเป็นคนใจเสาะถึงเพียงนี้!”

 

สีหน้าของเล่ยหยิงกลายเป็นซีดเซียว ถลึงมองฉินเฟิงด้วยความเกลียดชัง

 

“ฉินเฟิง อย่ามาเฉไฉ ทางฝั่งแกแหกกฏ สมควรได้รับโทษ!”

 

ฉินเฟิงหัวเราะเย็นชา “กฏอะไร? ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีกฏแบบนี้ด้วย!”

 

“แกต้องการจะทำลายกฏอย่างนั้นหรือ? ไม่รู้รึไงว่าหลังจบสงคราม ไม่ควรเกิดความขัดแย้งหรือสู้กันเพื่อชิงสินสงคราม แกตั้งใจจะละเมิดมันสินะ!”

 

เกาลี่โกรธขึ้นมาทันที “พวกเรามาถึงก่อนชัดๆ แต่คุณกลับบังคับให้พวกเราออกไป ใครกันแน่ที่ไม่ทำตามกฏ!”

 

เล่ยหยิงตรึงลงบนร่างของเกาลี่ทันที พลังสมาธิอันน่าพรั่นพรึงปะทุออกมา เตรียมกดดันอีกฝ่าย

 

อย่างไรก็ตาม เมื่อย้อนคิดถึงกฏที่ตนเพิ่งเอ่ยไป เขาเลยทำได้แค่เพียงจ้องเกาลี่ด้วยความเดือดดาล คล้ายอย่างไรต้องจดจำใบหน้าของอีกฝ่ายให้ได้

 

เพื่อที่จะแก้แค้นในภายหลัง!

 

ระหว่างนั้นเอง ฉินเฟิงแสร้งทำเป็นประหลาดใจและกล่าว “มีกฏแบบนี้อยู่ด้วยงั้นหรือ? ฉันต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่ผู้ไม่รู้ย่อมไม่ผิด ฉันไม่รู้จริงๆ พอดีว่าแฟนกับฉันเพิ่งปลุกพลังได้เมื่อปีที่แล้วเอง ประธานเล่ยที่เป็นคนจากยุคเก่า เป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่ ทำไมถึงไม่มีเหตุผล แล้วยอมอ่อนข้อให้พวกเราเสียหน่อยล่ะ? ”