2/2

Ep.375 – ผู้ส่งสารมาเยือนอีกครั้ง

แม้คำพูดเชิงลบของหลายๆคนในเน็ตจะชัดเจนว่ามีเจตนาไม่ดีหรือมีอะไรแอบแฝง แต่ก็ไม่มีใครสามารถปฏิเสธได้ว่ามันไม่มีมูลซะทีเดียว

อย่างไรก็ตาม ฮังอวี่ไม่สนใจบทวิเคราะห์หรือการประเมินต่างๆทางเน็ต ที่เขาสนใจ มีแค่เรื่องมุ่งมั่นพัฒนาพลังรบของตัวเองเท่านั้น

ในการต่อสู้ของเมืองหุบเขาเดียวดาย พลังรบของทุกคนเพิ่มขึ้นกันถ้วนหน้า

ฉูเทียนหัว จ้าวหมิงกำลังจะอัพเลเวล 11 ในไม่ช้า ส่วนฮังอวี่แก่นแท้สีเขียวในตัวเขาเพิ่มขึ้นมาเกือบ 50% แล้ว แม้ยังห่างไกลจากการอัพเลเวล 12 อยู่กว่าครึ่ง แต่นั่นไม่ได้ขัดขวางฮังอวี่จากการอัพเลเวลสกิลของเขา

ฮังอวี่มีแต้มวิญาณเกือบๆ 9000 แต้มในตัว และมดยักษ์ช่วยกักเก็บแต้มวิญญาณเอาไว้อีกราวๆ 8000 กว่าแต้ม

ใช้งานมันให้หมด!

เนตรแห่งเงาอัพเลเวล 3!

สังหารลมกรดอัพเลเวล 3!

ปราณกระบี่ลมกรดอัพเลเวล 3!

สืบทอดมรดกขั้น 3 ของนักรบเงาลมกรดได้สำเร็จ!

[นักรบเงาลมกรด] มรดกขั้น 3 , ว่องไว +15 , พละกำลัง +10 , ค่าพลังชีวิต +14 , ค่าพลังจิต +10 , การโจมตีทางกายภาพ +10 , ความเร็วในการเคลื่อนที่ +9 , ความว่องไว +15% , ความเร็วในการปลดปล่อยสกิลต่อสู้ +30%

มรดกขั้น 3 เป็นอะไรที่เจ๋งมาก!

ในแง่โบนัสคุณสมบัติมันไม่ด้อยกว่าขุนนางคลั่งเลย

และหลังจากสืบทอดมรดกสำเร็จแล้ว เอฟเฟกต์ของสกิลทั้งสามก็เพิ่มขึ้นเช่นกัน

การมองเห็นและความคล่องแคล่วในการใช้งานของเนตรแห่งเงาทรงพลังยิ่งขึ้น

สังหารลมกรดจากเดิมสามารถใช้โจมตีลมกรดได้สี่ครั้งติดต่อกัน ตอนนี้เพิ่มมาเป็นหกครั้ง

ระยะเวลาคูลดาวน์ของปราณกระบี่ลมกรดลดลงเหลือเพียง 0.5 วินาที ถึงพลังทำลายจะอยู่ในระดับปานกลาง แต่คูลดาวน์สั้นมาก ระยะโจมตีเกือบ 20 เมตร สามารถใช้โจมตีได้ทั้งในระยะสั้นและกลาง ช่วยเสริมเทคนิคทางยุทธวิธีได้เป็นอย่างดี

และระหว่างนี้ฮังอวี่ยังสามารถหาหินสกิลอื่นๆมาได้อีก เขาซื้อหินสกิลของนักลอบยิงมาได้สองก้อนจากในตลาด

หินสกิลทั้งสองก้อนนี้เรียกว่า : ศรเหยี่ยวจู่โจมและซุ่มยิงเงามืด

สกิลขั้น 2 ‘ซุ่มยิงเงามืด’ คือสกิลยกระดับของสกิลขั้น 1 ‘ศรซุ่มยิง’

นอกจากมีระยะยิงที่ไกลและทรงพลังกว่าศรซุ่มยิงแล้ว ระยะเวลาคูลดาวน์ยังสั้นกว่าศรซุ่มยิงมาก อีกทั้งเวลายิงออกไป ลูกศรจะล่องหน ไม่สามารถแยกแยะด้วยตาเปล่าได้ จึงเป็นเรื่องยากสำหรับผู้ถูกยิงที่จะระบุว่าโดนยิงจากทิศทางไหน

นี่คือสกิลที่ยอดเยี่ยมสำหรับการลอบสังหาร

มันสามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในเวลาที่ใช้ลอบโจมตีมอนสเตอร์

สกิลขั้น 2 ‘ศรเหยี่ยวจู่โจม’ จะคล้ายกับสกิลขั้น 1 ‘ศรจู่โจม’ ทั้งคู่มีความเร็วและแรงกระแทกสูง สร้างเอฟเฟกต์เจาะเกราะและมึนงง

ศรเหยี่ยวจู่โจมเป็นการโจมตีจากฟ้า เมื่อเปิดใช้งาน ลูกศรจะพุ่งขึ้นเบื้องบน แต่จะไม่ตกในทันที มันจะเหินไปไกลเหมือนนกเหยี่ยว วนไปวนมากลางอากาศ และจะตกลงเมื่อผู้ยิงสั่งการ

บวกกับเอฟเฟกต์สกิลหลักของนักลอบยิง ‘ศรติดตาม’ หลังจากล็อคเป้าหมายโดยอัตโนมัติแล้ว เมื่อมันโจมตีจากบนฟ้า ก็ยากที่จะป้องกัน

สกิลศรเหยี่ยวจู่โจมและซุ่มยิงเงามืดเป็นสกิลสายลอบฆ่าที่ดีมาก

ฮังอวี่ไม่ค่อยมีโอกาสได้ใช้ธนู แต่สกิลพวกนี้จำเป็นต้องเรียนรู้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้สามารถสืบทอดมรดก แต่ยังได้รับค่าคุณสมบัติใหม่ และเป็นกลยุทธ์เสริมสำหรับการต่อสู้ระยะไกล

หลังจากอัพเลเวลสกิลทั้งหมดจนเต็ม

ฮังอวี่ก็ได้รับสืบทอดรดกขั้น 2 เพิ่มอีกหนึ่งอาชีพ

[นักลอบยิง] มรดกขั้น 2 , ว่องไว +4 , จิตรับรู้ +3 , ความเร็วในการเคลื่อนที่ +2 , ค่าพลังชีวิต +1 , ระยะอาวุธธนู +10%

ทำให้ฐานค่าคุณสมบัติของฮังอวี่มีคร่าวๆดังนี้ : ค่าพลังชีวิต  180 , ค่าพลังจิต 134 , พละกำลัง +48 , ว่องไว +52.5 , ร่างกาย +19 , จิตวิญญาณ +9 , จิตรับรู้ +6 , การโจมตีทางกายภาพ +40……

จากวันแรกจนถึงวันนี้ เขาไม่นึกเลยว่าตัวเองจะแกร่งขึ้นถึงขนาดนี้!

เมื่อเผชิญหน้ากับเขา ซูหยุนปิงอดทอดถอนหายใจไม่ได้ “รู้ตัวรึเปล่า ว่าตอนนี้นายกำลังกดดันฉันมาก!”

ฮังอวี่ยิ้ม พูดอย่างสงบ “นี่เป็นเรื่องปกติ ผมมีมรดกขั้น 3 สองอาชีพแล้ว คนระดับสูงย่อมสร้างแรงกดดันต่อคนระดับล่างเป็นธรรมดา เอาไว้อาจารย์สืบทอดมรดกขั้น 3 ได้เมื่อไหร่ ผลกระทบนี้ก็จะลดลงเอง”

ปัจจุบัน ซูหยุนปิงสามารถสืบทอดมรดกขั้น 2 ได้ 2 อาชีพแล้ว และยังได้เรียนรู้สกิลขั้น 3 อีกหลายสกิล เธอไม่ได้อ่อนแอกว่าฉูเทียนหัวมากนัก

ไม่ต้องพูดถึงเรื่องที่ว่าเทคนิคเสน่ห์ที่เป็นสกิลพรสวรรค์ของซูหยุนปิงยังไม่พัฒนาเต็มที่

แต่ก็น่าเสียดายจริงๆนั่นแหละ เพราะมรดกขั้น 3 ที่เธอขาดไปมันเหลือแค่สกิลหลักเท่านั้นเอง!

แต่ด้วยเหตุนี้เอง ยามอยู่เบื้องหน้าฮังอวี่ ซูหยุนปิงเลยรู้สึกกดดันมาก

มันเป็นความรู้สึกที่หญิงงามซูไม่เคยพบเคยเจอมาก่อน

เธอมั่นใจว่าตัวเองมีค่าคุณสมบัติทางจิตที่สูงในระดับหนึ่ง เอาง่ายๆต่อให้เผชิญหน้ากับผู้นำระดับชาติก็ไม่เสียอาการ แต่ไม่ว่าคุณสมบัติทางจิตจะสูงส่งแค่ไหน มันก็ไม่สามารถต้านทานแรงข่มที่เกิดจากในระดับเซลล์ได้ ฮ่า ฮ่า ฮ่า~

‘เขาแข็งแกร่งขึ้นอีกแล้ว ….’

‘แม้จะพยายามตามให้ทัน แต่ดูเหมือนจะยิ่งไกลออกไป ฮ๊าาา!’

เกรงว่าคงมีแต่คนแบบนี้เท่านั้น ที่สามารถเป็นเจ้านายของอาจารย์ซูได้!

ซูหยุนปิงเอ่ยถาม “นายมีแผนจะทำอะไรต่อไป? เจอวิธีรับมือกับเมืองธารทะเลทรายแล้วรึยัง?”

“สบายใจได้ ผมมีแผนแล้ว เมืองธารทะเลทรายแข็งแกร่ง แต่ถ้าต้องการทำลายมังกรคราม มันไม่ง่ายขนาดนั้น!”

ฮังอวี่ยังคงสงบและมั่นใจ

เขากล่าวต่อว่า “ผมขอฝากอาจารย์ช่วยประกาศหาหินสกิลมรดกขั้น 3 ของ‘ปรมาจารย์เลือดเหล็ก’ กับ ‘มือยิงเทพเจ้า’ หน่อยนะครับ นอกจากนี้ ผมยังอยากได้มรดกขั้นต่อไปของจอมเวทย์บลิงค์ ‘นักท่องมิติ’ ด้วย ถึงจะหายากหน่อยก็เถอะ แต่ถ้ามีข่าว ขอให้ติดต่อผมทันที”

ซูหยุนปิงพยักหน้า “โอเค อยากได้อะไรอีกไหม?”

ฮังอวี่ยังระบุรายชื่อมรดกออกไปอีกสองสามอย่าง “นี่คือมรดกบางส่วนซึ่งเหมาะมากสำหรับช่วยเพิ่มค่าคุณสมบัติ คงได้หาซื้อพวกมันกันอีกยาวๆ เจ้าพวกนี้ไม่ว่าจะเพื่อผม อาจารย์ หรือเสี่ยวไป๋ ก็เหมาะที่จะสืบทอดมันทั้งนั้น ถึงไม่ใช่มรดกในสายอาชีพเดียวกัน แต่มันจะช่วยเพิ่มพลังรบให้พวกเราได้มาก”

“นอกเหนือจากนี้ ให้ประกาศออกไปว่าพวกเรายินดีรับซื้อสมบัติธรรมชาติและโพชั่นลับที่ช่วยเพิ่มฐานค่าคุณสมบัติที่มีคุณภาพสีเขียวใสและมีเลเวล 10 ขึ้นไป ถ้าไม่มี จะเป็นพวกอุปกรณ์หรือม้วนคัมภีร์คุณภาพสูงก็ได้”

“ตราบใดที่มันมีคุณภาพ เรื่องราคาไม่ใช่ปัญหา”

ซูหยุนปิงจดบันทึกไปพลางยิ้มไปพลาง “อีกไม่กี่วันเมืองเจียงเฉิงจะมีงานประมูล คุณพ่อส่งคำเชิญมาให้ฉัน ฉันตั้งใจว่าจะไป บางทีอาจได้ของดีๆติดไม้ติดมือกลับมา”

“ฮ่า ฮ่า ได้อาจารย์ซูลงมือ ผมก็มั่นใจ คงต้องรบกวนอาจารย์แล้ว!”

เมื่อแจกแจงสิ่งที่ต้องการเสร็จแล้ว

ฮังอวี่ก็รีบกลับไปยังโลกวิญญาณอีกครั้ง

การหลอมรวมระหว่างโลกจริงกับโลกวิญญาณนับวันยิ่งลึกซึ้ง

มนุษย์สามารถใช้เวลาอยู่ในโลกวิญญาณได้เฉลี่ยวันละ 14 – 15 ชั่วโมง

และหลังจบศึกใหญ่

เมืองหุบเขาเดียวดายก็เจริญรุ่งเรืองขึ้นทันตา

“สวัสดีครับบอสฮัง!”

“บอสฮังขอให้เป็นวันที่ดี!”

หลังจากฮังอวี่ปรากฏตัวขึ้นในเมืองหุบเขาเดียวดาย ทุกคนที่ผ่านไปผ่านมาต่างแสดงความเคารพเขา

เจียงหนานรีบวิ่งเข้ามาหลังจากได้ยินข่าว “มหาเทพฮัง! ในที่สุดพี่ก็มา!”

ฮังอวี่พยักหน้าให้เจียงหนาน “สองวันที่ผ่านมาดินแดนของพวกเราเป็นยังไงบ้าง?”

ตอนนี้เมืองเตาหลอมศิลากับเมืองขุนเขาเหล็กพึ่งถูกยึดครอง ที่นั่นยังคงวุ่นวายและไม่มั่นคง ดังนั้นฮังอวี่เลยบอกให้เหล่าฉูกับเหล่าจ้าวแบ่งคนออกไป เพื่อจัดระเบียบดินแดนใหม่

หลังจากจ้าวหมิงกับ ฉูเทียนหัวไปเป็นขุนนาง

เจียงหนานในฐานะหนึ่งในเสาหลักที่เก่าแก่และเป็นที่นิยมมากที่สุดในมังกรคราม

ตอนนี้เลยได้รับการเลื่อนตำแหน่งใหม่โดยฮังอวี่

ทำหน้าที่เป็นรองขุนนางเมืองหุบเขาเดียวดาย

เป็นธรรมดาที่เธอจะตอบรับตำแหน่งนี้ และรู้สึกขอบคุณมากที่ฮังอวี่เลือกเธอ สามารถได้เป็นรองขุนนางเมืองหุบเขาเดียวดายอันโด่งดัง ทำให้เด็กสาวรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ดังนั้นไม่กล้าอยู่เฉย

ในช่วงสองวันที่ผ่านมา กิจการในเมืองส่วนใหญ่ เป็นเธอรับผิดชอบดูแล

“ทุกอย่างปกติดี!”

“และในโลกจริงพวกเรากำลังโฆษณาเชื้อเชิญอย่างหนัก”

“ตอนนี้จำนวนมนุษย์ที่ตัดสินใจเลือกมายังแคว้นเดียวดายเพิ่มขึ้นมาก!”

“จำนวนประชากกรมนุษย์เกิน 4000 คนแล้ว และสมาชิกของมังกรครามเพิ่มขึ้นถึง 2500 คน!”

เจียงหนานเดินตามฮังอวี่อย่างเชื่อฟัง

เธอทำตัวเหมือนเลขาคอยรายงานแก่เจ้านาย

“ส่วนเรื่องเมืองเตาหลอมศิลากับเมืองขุนเขาเหล็กไม่มีอะไรต้องกังวล พื้นที่ล่าสัตว์และทุ่งทรัพยากรของทั้งสองเมืองได้รับการจัดสรรหมดแล้ว ทรัพยากรที่ผลิตได้ไม่ด้อยไปกว่าเมืองหุบเขาเดียวดาย”

“เมืองขุนเขาเหล็กสามารถผลิตเหล็กเย็น ทองแดงไฟ และมิธริลได้สูงเป็นพิเศษ ส่วนเมืองเตาหลอมศิลามีทหารฝ่ายผลิตของคนแคระเทาเป็นจำนวนมาก พวกเขาสามารถหลอมอาวุธอย่างหน้าไม้ยักษ์และอุปกรณ์อื่นๆได้ และถ้านำพวกมันออกไปขายในโลกจริง จะมีค่ามหาศาล สามารถนำรายได้มากมายมาสู่มังกรครามของพวกเรา”

ฮังอวี่เอ่ยถาม “แล้วเมืองทรายดำล่ะ? สำนักกระบี่วิญญาณได้พิมพ์เขียวค่ายกลมิติมารึยัง?”

“เรื่องนี้ … ฉันไปถามมาแล้ว ว่ากันว่าพวกระดับสูงของอเมริกาค่อนข้างซับซ้อน แต่พี่สาวไดอาน่าบอกว่าเรื่องนี้ยังมีหวัง ขอให้พวกเราอดใจรอกันซักพัก” เจียงหนานหดหู่กับเรื่องนี้

หากไม่มีค่ายกลมิติ การเดินทางระหว่างสี่เมืองจะไม่สะดวก

ฮังอวี่กล่าวว่า “เอาจริงๆไม่ควรเสียเวลาเลย ถ้าพวกเขาคิดได้สักนิด ว่าเมื่อค่ายกลมิติถูกสร้างขึ้น มันจะเป็นประโยชน์ต่อเมืองทรายดำไม่ด้อยไปกว่าของพวกเรา”

เจียงหนานรู้สึกแบบเดียวกัน “เห็นด้วย เห็นด้วย เมืองทรายดำอยู่ไกลจากพวกเราที่สุด แล้วอีกอย่างฝั่งนั้นไม่ใช่เมืองของมังกรคราม ไม่สะดวกที่จะเดินทางไป ถ้าไม่มีค่ายกลมิติอำนวยความสะดวก คงมีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะถ่อไปเมืองทรายดำ!”

เธอยังคงรายงานสถานการณ์ต่อไป

เนื่องจากในตอนนี้มีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์

อาณาเขตในโลกวิญญาณถูกสร้างขึ้นอย่างรวดเร็ว

อาคารที่อยู่อาศัยทั้งหมดในเมืองหุบเขาเดียวดายได้รับการอัพเกรดจนเต็ม  ค่ายกลและประตูที่เสียหายได้รับการซ่อมแซมและสร้างใหม่เช่นกัน ทรัพยากรทั้งหมดที่ยึดได้ถูกนำมาใช้สร้างทหาร พลังรบของทั้งสี่เมืองกำลังเพิ่มพูนด้วยความเร็วสูงสุด

และฮังอวี่ยังลงทุนด้วยเงินจำนวนมาก ใช้ความสัมพันธ์ระหว่างฉูเทียนหัวกับสกายเน็ต ซื้อปืนใหญ่เหนี่ยวนำมนตรา ‘องค์รักษ์สกายเน็ต’ มาอีก 30 กระบอก และกระสุนอีกนับพันลูก เพื่อใช้เสริมการป้องกันดินแดน

แม้เวลาจะผ่านไปแค่สองสามวัน แต่เมืองมนุษย์ทั้งสี่เติบโตด้วยอัตราเร็วอันน่าตกใจ

ฮังอวี่เอ่ยอย่างพอใจว่า “เธอเก่งมาก ทำงานลุล่วงไปด้วยดี”

เมื่อรองขุนนางได้ยินแบบนี้ ดวงตาทั้งสองยิ้มยีเป็นจันทร์เสี้ยว เธอยืดอกยืนตัวตรงแล้วพูดว่า “เรื่องแค่นี้เอง ฉันจะตั้งใจให้มากกว่านี้อีก!”

หญิงงามเจียงอาจไม่มีความสามารถในการจัดการที่มั่นคงเช่นจ้าวหมิง หรือมีความเป็นผู้นำเช่นฉูเทียนหัว

แต่ข้อดีคือเธอทำงานละเอียด เรียนรู้ได้เร็ว และสุดท้ายจงรักภักดีต่อฮังอวี่มาก ดังนั้นใช้งานแล้วสบายใจได้

“เธอควรทำความคุ้นเคยกับทีมบริหาร ถ้าไม่เข้าใจอะไร ก็ขอคำแนะนำจากลุงจ้าว” ฮังอวี่ตบไหล่เจียงหนานและกล่าวว่า “ทำหน้าที่รองขุนนางเมืองหุบเขาเดียวดายให้ดี ไว้มีโอกาสเธอจะได้เป็นขุนนางเต็มตัวในอนาคต!”

เจียงหนานมีความสุขมากตอนแรกที่ได้ยิน แต่แล้วก็มีบางอย่างแวบเข้ามาในหัว “ฉันไม่ได้อยากเป็นขุนนาง แค่อยากคอยติดตามพี่มหาเทพตลอดไป!”

“นี่คุณผู้หญิง ขุนนางไม่อยากเป็น แต่ชอบรับใช้คนอื่นงั้นหรือ?”

“อืม นั่นก็ขึ้นอยู่กับว่าเป็นลูกน้องของใคร!”

เจียงหนานยิ้ม

อย่างไรก็ตาม ในเวลานั้นเอง

มนุษย์จิ้งจอกเย่กู่วิ่งเข้ามารายงาน “ท่านขุนนาง สถานการณ์ไม่ดี ผู้ส่งสารจากเมืองธารทะเลทราย … เขา … เขามาอีกแล้ว!”

เจียงหนานเกิดอาการเครียดขึ้นมาทันที

ครั้งก่อนที่เซนทอร์ชาร์โมโดเดินทางมาเป็นยังไง

ครั้งนี้ก็เป็นอย่างนั้น

เพียงเวลาสามวัน ผู้ส่งสารก็มาถึงแล้ว–

–เมืองธารทะเลทรายตอบสนองเร็วมาก!