โคตรพยัคฆ์โลกาวินาศ Ep.286 – เทียบชั้นเลเวล D4

 

ฉินเฟิงเวลานี้ไม่คิดยั้งมือใดๆ เขาควบรวมรูนมืดลงบนมีด มันเลยดูราวกับถูกปกคลุมไปด้วยแสงสีดำ

 

การดำรงอยู่ของอบิลิตี้มืด ไม่บ่อยนักที่จะพบเจอ ดังนั้นบางคนเลยไม่ทันสังเกตเห็นถึงมันด้วยซ้ำ

 

ปะทะโรมรันกันหลายครั้งหลายคราว สุดท้ายฉินเฟิงพบช่องว่าง จ้วงมีดอาบรูนมืดเข้าใส่แขนของชายชรา

 

แทบจะในทันที ตลอดทั้งแขนของชายชรากลายเป็นสีดำสนิท ผิวหนังเหี่ยวแห้งลงจนกรอบ

 

หากเป็นคนธรรมดา ต้องปล่อยทิ้งไว้อีกสักพักถึงจะเห็นผล แต่ผู้เฒ่าอายุมากแล้ว ดังนั้นเมื่อสัมผัสต้องรูนมืด มันจึงกลืนกินพลังชีวิตเขา สูบจนสิ้นอายุขัยในทันที

 

“นี่เจ้าใช้ยาพิษ!?”

 

ผู้เฒ่าคำรามเกรี้ยวโกรธ เหมือนกับว่าสิ่งที่ฉินเฟิงทำ มันชั่วช้าอย่างไม่น่าให้อภัย

 

“แมวดำกับแมวขาวแข่งกันจับหนู แมวขาวใช้วิธีขาวสะอาด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าแมวดำจะต้องทำแบบเดียวกันซะหน่อย”

 

ตอนนี้พวกเขากำลังต่อสู้เข่นฆ่ากันนะ ฉะนั้นมันจำเป็นต้องมีพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องศีลธรรมกันอีกหรือ?

 

ฉินเฟิงหัวเราะเย็นชา คว้าโอกาสนี้ใช้ออกด้วยทักษะลับกลืนดารา สูบกำลังภายในของอีกฝ่ายเข้ามาอย่างบ้าคลั่ง

 

ผู้เฒ่าคือผู้ใช้วรยุทธโบราณเลเวล D2 ดังนั้นกำลังภายในเหลวที่ครอบครอง จึงมี 2 แอ่งน้ำกำลังภายใน

 

เมื่อถูกสูบเข้ามา มันก็แปรเปลี่ยนเป็นทะเลเมฆกว่า 20 ชั้น

 

กำลังภายในทะเลเมฆในตันเถียนของฉินเฟิงเพิ่มพูนขึ้นอย่างบ้าคลั่ง

 

ผู้เฒ่าเบิกตากว้าง มิอาจรักษาความสงบเอาไว้ได้และ–

 

ตูม!

 

แรงผลักดันระเบิดออก ฉินเฟิงส่งผู้เฒ่าปลิวละลิ่วออกไปทันที

 

ร่างของผู้เฒ่าร่วงตกลงบนถนน จบชีวิตลงอย่างไร้ความยุติธรรม

 

ฉินเฟิงสูดหายใจเข้าออกหนักหน่วง การรับมือกับตาแก่นี่ลำบากมากจริงๆ เวลานี้ตามร่างกายของฉินเฟิงปกคลุมไปด้วยบาดแผลหลายแห่ง ชุดต่อสู้ราชันย์เอง โดยพื้นฐานแล้วไม่สามารถต้านทานการโจมตีของผู้ใช้พลังเลเวล D ได้ ดังนั้นตามแขนขาปรากฏร่องรอยการฉีกขาดเป็นรูใหญ่

 

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงเพิกเฉยต่อมัน หลังจากริบสินสงครามแล้ว เขาก็มุ่งหน้าต่อไป

 

เมื่อฉินเฟิงหายไปลับตา บางคนที่ซุ่มดูก็ก้าวออกมาอย่างเงียบๆ และเริ่มสำรวจศพผู้เฒ่า

 

“ผู้ใช้พลังเลเวล D คนนี้ เขาเป็นใครกัน?”

 

“ก็ใส่หน้ากากไว้ แล้วจะรู้ได้ยังไง?”

 

คนในบทสนทนามองหน้ากันและกัน แม้ในแววตาจะเผยให้เห็นถึงความหวาดกลัว แต่สุดท้ายตัดสินใจเอื้อมมือออกไป เปิดหน้ากากของผู้เฒ่า

 

พริบตานั้นทั้งหมดตะลึงงันโดยสิ้นเชิง

 

“นี่ .. ใบหน้านี้มันผู้นำตระกูลหลี่!”

 

ตระกูลหลี่ คือตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณชั้นสองจากในสี่เมืองทะเลเหนือ

 

พวกเขาเป็นตระกูลใหญ่ แม้ไม่อาจเทียบได้กับสี่ตระกูลผู้ใช้วรยุทธโบราณก็จริง แต่ตัวตนระดับนี้ หากนับตามยศ เขามียศพอๆกับระดับผู้นำเมืองนุ่ยเหมิงเลยทีเดียว

 

“ฉันได้ยินมาว่าตอนนี้ตระกูลหลี่มีสมาชิกค่อนข้างมาก แต่กลับมีไม่กี่คนที่ประสบความสำเร็จ ผู้นำคนต่อไปยังไม่สามารถเลือกได้ด้วยซ้ำ เป็นตระกูลแกะดำโดยแท้!”

 

“คิกคิก น่าสงสารจริงๆ ถึงกับต้องให้ผู้เฒ่าผู้แก่ออกมา เพียงเพราะเงิน 3,000 ล้าน”

 

“แค่เพราะเงิน 3,000 ล้านที่ไหนกัน? ฉันคิดว่าน่าจะออกมาเพราะอุปกรณ์รูนมิติของซงหยูเหิงมากกว่า”

 

“ตระกูลหลี่จบสิ้นแล้ว”

 

เหล่าผู้สังเกตการณ์พูดคุยกันอย่างออกรส และข่าวนี้ก็ถูกส่งกระจายออกไป : บลัดฮันเตอร์สามารถสังหารผู้นำตระกูลหลี่ได้อย่างกระทันหัน สร้างความฮือฮาให้แก่ฝูงชน

 

แต่กระนั้น ท่ามกลางข่าวลือเหล่านี้ ยังมีอีกข่าวลือหนึ่งเริ่มกระจายออกไปอย่างเงียบๆ

 

“ผู้นำตระกูลหลี่ไม่ได้อ่อนแอ แต่เป็นบลัดฮันเตอร์ที่แข็งแกร่งมากกว่า”

 

“คงจะเป็นอย่างนั้น ฉันเห็นอยู่ว่าเขาได้รับบาดเจ็บจากการต่อสู้ แต่พอชนะกลับเดินปร๋อ จากไปอย่างสบายใจ”

 

“ตอนนี้บลัดฮันเตอร์น่าจะมีความแข็งแกร่งอยู่ที่เลเวล D2 ”

 

เหล่ามือสังหารที่กำลังเฝ้าสังเกตฉินเฟิง ดวงตาของแต่ละคนแดงฉานไปด้วยความริษยา!

 

คู่ต่อสู้ยิ่งมากขึ้น ความมั่งคั่งของฉินเฟิงก็ยิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ เรื่องนี้ชวนให้หัวใจของผู้คนเต้นแรง

 

ไม่ต้องกล่าวถึง เวลานี้ไม่ใช่แค่ตระกูลเดียวเท่านั้นที่ไล่ล่าฉินเฟิง

 

วงล้อแห่งสงคราม เริ่มหมุนอย่างไม่อาจหยุดลงได้แล้ว

 

 

บนทางหลวง ฉินเฟิงยังคงก้าวเดินต่อไป เขาถึงกับอึ้งเมื่อลองตรวจสอบสมบัติที่ยึดมาจากผู้นำตระกูลหลี่

 

“เป็นไปได้ยังไงกัน ทำไมเขาถึงยากจนขนาดนี้?” ฉินเฟิงพบว่าในอุปกรณ์รูนมิติแทบจะไม่มีอะไรอยู่เลย สิ่งของข้างใน นำไปแลกเปลี่ยนเป็นเงินเต็มที่ก็แค่ 2,000 ล้านเท่านั้น

 

จะน่าสงสารเกินไปแล้ว!

 

นี่ใช่หรือไม่ คือความแตกต่างระหว่างผู้ใช้พลังเลเวล D ฝ่ายธรรมะกับอธรรม?

 

อย่างไรก็ตาม ฉินเฟิงไม่ทราบว่าอีกฝ่ายเป็นใคร หากเขารู้ บางทีเขาอาจจะเข้าใจก็ได้

 

แต่ฉินเฟิงไม่คิดตรวจสอบสถานะของอีกฝ่าย เพราะจะดีจะร้าย ยังไงก็ไม่เกี่ยวข้องกับเขา

 

สองเท้ามุ่งไปข้างหน้า แต่ไปได้เพียง 500 เมตร เขาก็ถูกตามรังควานอีกครั้ง

 

พลังสมาธิโถมลง ล็อคลงบนตัวเขาจากระยะไกล พยายามแทรกเข้าไปภายใต้หน้ากาก เมื่อไม่ได้ผล ก็คอยก่อกวนสมาธิฉินเฟิง แต่ไม่ยอมทำอะไรไปมากนั้น จนฉินเฟิงต้องปลดปล่อยปราณกำลังภายในออกมาป้องกันมัน

 

“คิดจะลดทอนกำลังภายในของฉันด้วยวิธีนี้งั้นหรือ?”

 

ฉินเฟิงตระหนักถึงความต้องการของอีกฝ่าย พริบตาเดียว ทั้งคนทั้งร่างของเขาบนท้องถนน พลันวูบหายไปอย่างไร้ร่องรอย

 

ผู้ใช้พลังหลายคนที่ไล่ตามฉินเฟิงมาตะลึงงัน เริ่มกวาดพลังสมาธิค้นหาตัวฉินเฟิง

 

“เกิดอะไรขึ้น? คนเล่า? หายไปไหนแล้ว”

 

“พลังสมาธิเองก็ค้นหาไม่เจอ บลัดฮันเตอร์น่าจะสวมใส่อุปกรณ์บางอย่างที่ช่วยบดบังพลังสมาธิ”

 

“น่าจะเป็นหน้ากากนั่น มันสามารถป้องกันการตรวจสอบได้ ไม่เว้นกระทั่งกลิ่นอาย สมบัติชั้นยอดแบบนี้ไปหามาจากที่ไหนกัน”

 

แน่นอนว่าหน้ากากของฉินเฟิงมิได้มีประสิทธิภาพถึงขนาดนั้น เขาเพียงใช้พลังสมาธิอันแข็งแกร่งปิดบังตัวตน และวิ่งหมอบไปตามต้นไม้ต้นหญ้าสองข้างทาง ลอบเข้าหาตำแหน่งที่มีคนซุ่มหาเรื่องเขาอยู่

 

เมื่อพบเจอ ฉินเฟิงไม่คิดสุภาพ เอ่ยทักทายใดๆ ชักมีดสั้นจ้วงสังหารมือปืนทันที

 

อ๊าก!

 

อีกฝ่ายยกมือขึ้นกุมลำคอ ร่วงตกลงจากต้นไม้

 

ฉินเฟิงไม่หยุดเพียงเท่านี้ บรรดานักฆ่าที่ซุ่มอยู่รอบๆ ต่างถูกเก็บกวาดจนเกลี้ยงด้วยความโมโหของเขา

 

หลังจากสังหารไป4 – 5 คน ฉินเฟิงก็เริ่มเดินทางต่อ อย่างไรก็ตามเสื้อผ้าบนร่างกายของเขามีสภาพยับเยินยิ่งกว่าเดิมจากการต่อสู้เมื่อครู่

 

แต่เดินทางต่อคราวนี้ เขาไม่ได้มุ่งหน้าบนถนน แต่เลือกเลี้ยวเปลี่ยนทิศทางแทน

 

ซึ่งสำหรับคนอื่นๆที่ซุ่มสังเกตอยู่ในที่มืด นี่เป็นสัญญาณบ่งบอกชัดเจนว่าฉินเฟิงกำลังวางแผนที่จะหลบหนี!

 

ภายในมุมมืด หลายคนตัดสินใจก้าวออกมาไล่ตามฉินเฟิง แม้จะกลัวตาย แต่ผลประโยชน์มันบังตา

 

สามชั่วโมงต่อมา

 

ฉินเฟิงข้ามผ่านภูเขาใหญ่ หยุดฝีเท้าลงข้างลำธาร

 

สีหน้าของเขาเริ่มกลายเป็นหนักอึ้ง

 

“มีอะไรงั้นหรือ? คราวนี้ไม่คิดหนีแล้วรึไง?” เสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามา แฝงไปด้วยความเยาะเย้ยและดูถูก

 

ฉินเฟิงจ้องมองออกไป และพบกับร่างของอีกฝ่าย

 

ปรากฏว่าเป็นชายหนุ่ม

 

อายุวัยน่าจะอยู่ในช่วงซัก 30 ปี สูงราวๆ1.90 เมตร ดูบึกบึนกำยำ ผมสั้นย้อมสีทอง บนกายสวมชุดต่อสู้ เกราะในที่สวมใส่เป็นสีเงิน ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นสีเงินของเลเวล D

 

มันคือชุดเกราะที่ทำจากวัสดุราชันย์สัตว์ร้ายเลเวล D !

 

ศัตรูคราวนี้ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแข็งแกร่ง

 

ฉินเฟิงพอสำรวจอีกฝ่ายจนรู้ว่าเป็นใคร ดวงตาของเขาก็หดลีบลง

 

“จ้าวหยิงอี้!” ฉินเฟิงเปิดปากเรียกชื่ออีกฝ่าย

 

คนเบื้องหน้าเขา ถูกนับว่าเป็นหนึ่งในผู้ใช้วรยุทธโบราณที่แข็งแกร่งที่สุดในยุคต่อมา

 

ทั้งยังเป็นสมาชิกผู้มีบทบาทสำคัญขององค์กรมืด ในชีวิตก่อนหน้า ช่วงที่ฉินเฟิงกำลังจะตาย อีกฝ่ายมีความแข็งแกร่งอยู่ในเลเวล B

 

ฉินเฟิงไม่รู้มาก่อนเลย ว่าจ้าวหยิงอี้ ที่แท้จะมีต้นกำเนิดมาจากสี่เมืองทะเลเหนือ

 

ตามความทรงจำ ฉินเฟิงจดจำได้ว่าอีกฝ่ายอยู่ในรัฐตะวันออกกลางที่ตกอยู่ในสถานการณ์โกลาหล

 

แต่ตอนนี้ มันไม่ใช่เวลาที่จะมารำลึกความหลัง

 

ปัจจุบัน ฉินเฟิงตรวจพบว่าจ้าวหยิงอี้อยู่ในเลเวล D4

 

ศัตรูที่ทรงพลังเช่นนี้ ฉินเฟิงจะต้องเตรียมตัวให้พร้อม ทุ่มต่อสู้เต็มรูปแบบ

 

ทะเลเมฆกำลังภายในของฉินเฟิงในปัจจุบัน ยังมิได้ถูกกลั่นกรอง ดังนั้นเลยยังคงคลุ้มคลั่ง ไม่อาจนำมานับรวมได้ กล่าวอีกนัยนึงก็คือ กำลังภายในของเขาที่เหมาะจะใช้งานมี 40 ชั้นทะเลเมฆ หรือเท่ากับของจ้าวหยิงอี้เป๊ะๆ

 

ดังนั้นในตอนนี้ วิธีการเดียวที่จะเอาชนะศัตรู คือการโจมตีด้วยกระบวนท่าที่เขาคิดไม่ถึง!

 

ฉินเฟิงตรึงสมาธิลงบนคู่ต่อสู้ ส่งผ่านความคิดในจิตใจ

 

“เสี่ยวไป๋ คราวนี้คงต้องขอความร่วมมือด้วย”

 

วินาทีต่อมา ฉินเฟิงก็โฉบไปข้างหน้า

 

ขณะเดียวกัน ไป๋หลีก็หายวับไปจากในอ้อมอกเขา และปรากฏกายขึ้นอีกทีเบื้องหลังจ้าวหยิงอี้

 

จ้าวหยิงอี้มีประสาทสัมผัสแหลมคม ม้วนตัวหลบไปอีกทาง

 

ฟุบ ฟุบ ฟุบบบ!

 

สามกรงเล็บแหลมกรีดผ่านอากาศที่บางเบา ผลุบออกมาจากความว่างเปล่าอย่างไม่อาจหาร่องรอย